ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน
เอเฟซัส 3:21
ฝ่ายดาวิดเมื่อได้ปฏิบัติในคราวอายุของท่านตามพระทัยของพระเจ้าและได้ล่วงหลับไป...
กิจการ 13:36
งานอดิเรกอย่างหนึ่งของผมคือ การทำสวน ผมคิดว่าเหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมชอบมันก็เพราะมันเข้ากับวิธีที่พระเจ้าพัฒนาบุคลิกของผม ผมชอบมองดูสิ่งต่าง ๆ เติบโต ผมมักจะตื่นเต้นเมื่อเห็นต้นไม้แต่ละชนิดเติบโตแตกต่างกัน ไม่มีต้นไม้ชนิดใดที่เติบโตในลักษณะเดียวกัน หรือเร็วเท่ากัน ต้นไม้แต่ละชนิดเติบโตต่างกัน คริสตจักรแต่ละแห่งก็เติบโตต่างกันด้วย พระเจ้าประสงค์ให้คริสตจักรของคุณไม่เหมือนที่อื่น
จากการสังเกตต้นไม้แต่ละชนิด ผมเห็นว่าไฝ่จีนมีการเติบโตที่น่าทึ่งที่สุด เราฝังหน่อลงในดิน แล้วสี่หรือห้าปีผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณรดน้ำใส่ปุ่ย รดน้ำอีก ใส่ปุ่ยอีก รดน้ำอีก ใส่ปุ่ยอีก แต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีจริงๆ แต่ประมาณปีที่ห้ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตื่นเต้น ภายในหกสัปดาห์ไฝ่จีนจะสูงพุ่งพรวดถึง 90 ฟุตสารานุกรมเวิลค์ บุ๊ค บันทึกว่าไฝ่ต้นหนึ่งอาจสูงขึ้นสามฟุตภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าพืชที่แน่นิ่งอยู่เป็นปี ๆ จะเติบโตพรวดพราดขนาดนั้น แต่มันเป็นอย่างนั้นเสมอสำหรับต้นไฝ่
ในการสรุปหนังสือเล่มนี้ ผมอยากให้คำแนะนำสุดท้าย คือ อย่ากังวลกับการเติบโตของคริสตจักรคุณ จงจดจ่ออยู่กับการทำให้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรสำเร็จ รดน้ำ ใส่ปุ่ย พรวนดิน และถอนวัชพืชต่อไป พระเจ้าจะทำให้คริสตจักรเติบโตในขนาดที่พระองค์ต้องการ ในอัตราที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณที่สุด
พระเจ้าอาจอนุญาตให้คุณรับใช้เป็นปี ๆ โดยมองเห็นผลเพียงเล็กน้อย อย่าท้อถอย ใต้ผิวดินกำลังมีบางสิ่งที่คุณมองไม่เห็นเกิดขึ้น รากกำลังหยั่งลงและแผ่ออกเพื่อเตรียมการสำหรับอนาคตข้างหน้า แม้ในเวลาที่คุณไม่เข้าใจพระปัญญาในสิ่งที่พระองค์กระทำ คุณต้องวางใจพระเจ้า จงเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจว่าพระองค์รู้ว่าพระองค์กำลังทำอะไร
จงจำสุภาษิต 19:21 "ในใจของมนุษย์มีแผนการเป็นอันมาก แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้" ถ้าคุณสร้างงานรับใช้ขึ้นบนพระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้า คุณจะไม่มีทางล้มเหลว มันจะดำรงอยู่ จงทำสิ่งที่คุณรู้ว่าถูกต้องต่อไป แม้ในเวลาที่คุณท้อถอย "อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร" (กาลาเทีย 6:9) เช่นเดียวกับต้นไฝ่ เมื่อถึงเวลาพระเจ้าก็สามารถพลิกผันสิ่งต่าง ๆ ในเวลาเพียงข้ามคืน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณยังคงสัตย์ซื่อต่อพระประสงค์ของพระองค์
เป็นคนที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
คริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ย่อมนำโดยผู้นำที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ กิจการ 13:6 หนึ่งในข้อพระคัมภีร์ประจำตัวผม บอกว่าดาวิดเป็นคนที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ "ฝ่ายดาวิดเมื่อได้ปฏิบัติในคราวอายุของท่านตามพระทัย (พระประสงค์) ของพระเจ้า และได้ล่วงหลับไป" ผมคิดไม่ออกว่าจะมีคำจารึกที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ลองนึกดูว่าถ้าคุณตายไปแล้วมีคำจารึกที่หลุมศพของคุณว่า "ท่านได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในคราวอายุของท่าน" ผมอธิษฐานว่า เมื่อผมตายขอให้พระเจ้าสามารถพูดถึงผมแบบนี้ และแรงจูงใจที่ผมเขียนหนังสือนี้ก็เพื่อพระองค์จะพูดถึง คุณ แบบนี้เมื่อคุณตายด้วย เคล็ดลับของการรับใช้ที่เกิดผลคือ การทำให้ทั้งสองส่วนของข้อนี้สำเร็จ
ท่านปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
พลังผลักดันสำคัญของหนังสือเล่นนี้คือ เพื่ออธิบายพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักร และแนวทางปฏิบัติสำหรับคริสเตียนทุกคนด้วย ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ เราต้องใช้ชีวิตของเราเพื่อการนมัสการ รับใช้ ประกาศ สร้างสาวก และสามัคคีธรรม เมื่อคริสตจักรยอมให้เราทำสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน เราก็ไม่เดียวดาย
ผมหวังว่าเมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะสัมผัสถึงความปรารถนาแรงกล้าที่ผมมีต่อคริสตจักร ผมรักคริสตจักรด้วยสุดหัวใจของผม มันเป็นความคิดที่เจิดจ้าที่สุดเท่าที่ผมเคยมี ถ้าเราตั้งใจจะเป็นเหมือนพระเยซู เราต้องรักคริสตจักรเหมือนที่พระองค์รัก และเราต้องสอนคนอื่นให้รักด้วย "พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร... เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเองมีแต่เลี้ยงดูและทนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์" (เอเฟซัส 5:25; 29-30) คริสเตียนมีมากเหลือเกินที่ชอบใช้คริสตจักร แต่ไม่รักคริสตจักร
เท่าที่ผมสามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้า ผมมีความหวังเพียงสองประการสำหรับงานรับใช้ของผม คือ เป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรท้องถิ่นแห่งหนึ่งตลอดชีวิต และหนุนใจศิษยาภิบาลคนอื่น การดูแลอภิบาลคริสตจักรที่ประกอบด้วยสาวกของพระคริสต์เป็นความรับผิดชอบและสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่ที่สุด และเกียรติสูงสุดเท่าที่ผมคิดได้ ผมได้กล่าวแล้วว่า ถ้ามีวิธีลงทุนชีวิตของผมให้เกิดประโยชน์กว่านี้ ผมก็จะทำ เพราะผมไม่อยากใช้ชีวิตของผมอย่างไร้ค่า ภารกิจในการนำคนมาหาพระคริสต์และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ พัฒนาเขาให้เป็นสาวกที่ยิ่งใหญ่ เสริมกำลังและฝึกฝนเขาให้พร้อมสำหรับพันธกิจส่วนตัว และส่งเขาออกไปเพื่อทำภารกิจแห่งชีวิตให้สำเร็จ เหล่านี้คือวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมไม่สงสัยเลยว่ามันคู่ควรที่จะมีชีวิตและสละชีวิตเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้หรือเปล่า
ในคราวอายุของท่าน
คำจารึกส่วนที่สองของดาวิดนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าส่วนแรก ท่านปฏิบัติตามพระทัยของพระเจ้า "ในคราวอายุของท่าน" เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าในคราวอายุของคนอื่น นอกจากในคราวอายุของเราเอง พันธกิจต้องทำในบริบทของยุคสมัยและวัฒนธรรมของเรา เราต้องทำพันธกิจกับคนในวัฒนธรรมตามที่เป็นจริงไม่ใช่ตามภาพในอดีตที่เรานึกอยู่ในสมองของเรา เราสามารถใช้ประโยชน์จากสติปัญญาและประสบการณ์ของผู้นำคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่เราไม่สามารถเทศนาและรับใช้อย่างที่เขาทำ เพราะเราอยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างกัน
พันธกิจของดาวิดเข้ากับยุคสมัยและกาลเวลา ท่านปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า (ซึ่งเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง) ในคราวอายุของท่าน (ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแส) ท่านรับใช้ในลักษณะที่เหมาะกับกาลเวลา ท่านทั้งรักษาจุดยืนที่ถูกต้องและตามยุคสมัย ทั้งตรงตามพระคัมภีร์และเหมาะกับสังคม
การเป็นคนทันสมัยโดยไม่โอนอ่อนความจริงเป็นวัตถุประสงค์ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน กฏเกณฑ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าเราทำสิ่งที่เราเคยทำมาตลอด เราก็จะหยุดอยู่แค่ที่ที่เราเคยอยู่ อดีตอยู่เบื้องหลังเรา เราสามารถใช้ชีวิตได้แค่ในวันนี้ และเตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ เราต้องดำเนินชีวิตตามบทกวีของโลเวลล์ เมสันนำมาใส่ทำนองเพลงเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว
ภารกิจที่ข้าฯ มีต้องรักษา เพื่อมุ่งหาพระสิริแด่พระเจ้า
ช่วยวิญญารอดพ้นตายทุกค่ำเช้า และสร้างเขาให้ควรคู่อยู่เมืองฟ้า
พระทรงเรียกข้าฯ หวังทำจนครบถ้วน รับใช้ล้วนในยุคนี้ไม่ช้า
สุดกำลังสุดแรงกายสุดใจข้าฯ ตามบัญชาพระประสงค์องค์ราชัน
การวัดความสำเร็จ
คุณจะวัดความสำเร็จในงานรับใช้ได้อย่างไร มีคำจำกัดความที่รู้จักกันดีในเรื่องความสำเร็จในการเป็นพยาน ซึ่งกล่าวทำนองนี้ "การเล่าเรื่องพระเยซูคริสต์โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมอบการเกิดผลไว้กับพระเจ้า" ผมอยากแปลงประโยคนี้ และใช้สำหรับการรับใช้ที่ประสบความสำเร็จว่า งานรับใช้ที่ประสบควสำเร็จคือ "การสร้างคริสตจักรบนพระประสงค์ของพระเจ้า โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์และคาดหวังผลจากพระเจ้า"
ผมไม่รู้ว่าบทสุดท้ายของเรื่องราวของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คจะเขียนอย่างไรแต่ผมมั่นใจว่า "พระองค์ผู้ตั้งต้นการดีไว้ในพวกเรา จะกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์" (ฟป. 1:6) ทุกสิ่งที่พระเจ้าเริ่มต้น พระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ พระองค์เป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์จะทำงานต่อไปจนพระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และในคริสตจักรอื่น ๆ ที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
พระเยซูตรัสว่า "ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด" (มธ. 9:29) ผมเรียกสิ่งนี้ว่า "ปัจจัยความเชื่อ" มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่องานรับใช้ของคุณซึ่งคุณควบคุมไม่ได้ เช่น ภูมิหลัง สัญชาติ อายุ และพรสวรรค์ของคุณ สิ่งเหล่านั้นพระเจ้ากำหนดโดยอำนาจสิทธิ์ขาดของพระองค์ แต่ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่คุณควบคุมได้ นั่นคือคุณเลือกจะเชื่อพระเจ้ามากแค่ไหน
จากการศึกษาคริสตจักรต่าง ๆ ที่เติบโตเป็นเวลาหลายปี ผมพบว่าปัจจัยร่วมในคริสตจักรที่เติบโต ไม่ว่าจะเป็นคณะใดหรืออยู่ในทำเลแบบไหน คือ ผู้นำที่ไม่กลัวที่จะเชื่อพระเจ้า คริสตจักรต่าง ๆ ที่เติบโตมีผู้นำที่คาดหวังว่าคริสตจักรเขาจะโต พวกเขาเป็นคนแห่งความเชื่อที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า แม้ในเวลาที่ท้อใจ และนี้คือเคล็ดลับของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราเชื่อว่าพระเจ้าทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ และเราคาดหวังให้พระองค์ใช้เรา โดยพระคุณเพราะความเชื่อ นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจด้วย
บางครั้งสถานการณ์ของคริสตจักรอาจดูเหมือนสิ้นหวังในมุมมองของมนุษย์แต่ผมเชื่อมั่นคง เหมือนที่ประสบการณ์ของเอเสเคียลพิสูจน์ (อสค. 37) ว่า ไม่ว่ากระดูกจะแห้งเพียงใด พระเจ้าสามารถระบายลมปราณใหม่เข้าไปในมัน คริสตจักรทุกแห่งสามารถกลับมีชีวิตได้ ถ้าเรายอมให้พระวิญญาณเติมเราด้วยความเข้าใจใหม่ในพระประสงค์ของพระองค์ นั่นคือการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็ง ทำให้นิมิตของคุณกว้างไกล และทำให้ความรักที่คุณมีต่อพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์หยั่งลึก ผมหวังว่าคุณจะแบ่งบันหนังสือเล่มนี้กับคนที่ห่วงใยคริสตจักรคุณ จงยอมรับคำท้าทายให้เป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ คริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยังรอคนที่จะสร้าง คุณพร้อมสำหรับภารกิจนี้หรือไม่ ผมอธิษฐานขอให้พระเจ้าใช้คุณทำให้พระประสงค์สำเร็จในชั่วอายุของคุณ ไม่มีวิธีอื่นที่คุณจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์กว่านี้อีกแล้ว
ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์เล่มสอง
คริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556
บทที่ 19 ทำให้สมาชิกกลายเป็นผู้รับใช้
เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อประการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
เอเฟซัส 2:10
…เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของคริสต์ให้จำเริญขึ้น
เอเฟซัส 4:12
ครั้งหนึ่งนโปเลียนชี้ให้ดูแผนที่ประเทศจีนและกล่าวว่า "ที่นั่นยักษ์หลับ และถ้ามันตื่นขึ้นเมื่อไร จะไม่มีใครหยุดมันได้" ผมเชื่อว่าคริสตจักรก็เป็นยักษ์หลับ ทุกวันอาทิตย์ที่นั่งในคริสตจักรเต็มไปด้วยสมาชิกที่ไม่ทำอะไรกับความเชื่อของตนนอกจาก "รักษาไว้"
สำหรับคริสตจักรส่วนมาก ความหมายของคำว่า สมาชิกที่ "กระตือรือร้น" คือคนที่มาโบสถ์และถวายทรัพย์เป็นประจำ ไม่มีการคาดหวังอะไรมากกว่านั้น แต่พระเจ้ามีความคาดหวังมากกว่านั้นสำหรับคริสเตียนทุกคนใช้ของประทานและความสามารถพิเศษในการรับใช้ ถ้าเราสามารถปลุกและปลดปล่อยความสามารถ แหล่งทรัพยากร ความคิดสร้างสรรค์ และพลังจำนวนมหาศาลที่หลับไหลอยู่ในคริสตจักรท้องถิ่น คริสตศาสนาก็จะเติบโตรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความจำเป็นที่ย่ิงใหญ่ที่สุดของคริสตจักร คือ การปลดปล่อยสมาชิกไปสู่การรับใช้ การสำรวจของแกลลัปโพล ค้นพบว่าสมาชิกคริสตจักรเพียง 10% เท่านั้นที่กระตือรือร้นในงานรับใช้ส่วนตัว และ 50% ไม่สนใจในงานรับใช้ใด ๆ เลย ลองคิดดูสิครับ ไม่ว่าคริสตจักรจะส่งเสริมให้มีส่วนในงานรับใช้มากแค่ไหน สมาชิกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้ชม คนเหล่านี้คือคนที่บอกว่า "ผมไม่รู้สึกว่าพระเจ้า ทรงนำให้เข้าร่วม"
ข่าวที่ให้คาวมหวังคือ แกลลัปพบว่า 40% ของสมาชิก เคยแสดงความสนใจในงานรับใช้ แต่ไม่เคยมีใครขอให้เขาทำ หรือเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คนกลุ่มนี้แหละคือ ขุมทองที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราสามารถผลักดันคน 40% นี้ และเพิ่มเข้ากับ 10% ที่กำลังรับใช้อยู่แล้ว คริสตจักรก็จะมีสมาชิก 50% ทำงานรับใช้อย่างกระตือรือร้น จะน่ายินดีสักเพียงใดถ้าสมาชิกครึ่งหนึ่งของคุณทำงานเต็มที่ในงานรับใช้ของตน ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริง ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่คงคิดว่าเขาตายแล้วและกำลังอยู่ในสวรรค์
หลังการนมัสการครั้งหนึ่ง ผมคุยกับคนหนึ่งว่า เราต้องการคนที่จะถ่ายทำวีดิโอ เขาชี้ไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วบอกว่า "ทำไมไม่ขอเธอช่วยล่ะครับ" ผมเข้าไปทักทายเธอ เมื่อรู้จักชื่อแล้วก็ถามว่าเธอทำงานอะไร เธอตอบว่า "ฉันเป็นหัวหน้าการผลิตเทปโทรทัศน์ของวอลท์ ดิสนีย์" เธอมาร่วมนมัสการก่อนหน้านั้นเกือบปีแล้ว
อีกครั้งหนึ่ง ผมได้คุยกับอีกคนว่าเราต้องการนักจัดดอกไม้เพื่อตกแต่งเต็นท์สำหรับวันแม่ แล้วก็มีคนชี้ไปที่คนหนึ่งในฝูงชนแล้วบอกว่า "คนนั้นน่ะ เคยออกแบบรถบุปผชาติได้รางวัลมาหลายรายการ" เรื่องนี้ทำให้ผมกลัวว่าความสามารถเช่นนี้จะไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์เพราะความเขลาของผม
คริสตจักรของคุณไม่มีทางเข้มแข็งเกินกว่ากลุ่มสมาชิกที่เป็นแกนในงานรับใช้ คริสตจักรทุกแห่งต้องการระบบที่จงใจและวางแผนอย่างดี เพื่อช่วยให้สมาชิกค้นพบของประทานใช้และได้รับการสนับสนุนให้ใช้ คุณต้องกำหนดกระบวนการเพื่อจะนำคนสู่การอุทิศชีวิตที่ลึกซึ้งขึ้น และสู่งานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คือ กระบวนการทำให้สมาชิกกลายเป็นแกนในการรับใช้ เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า "นำคนไปสู่ฐานสาม" (ภาพเบสบอล)
คริสตจักรที่เชื่อเรื่องความรอดโดยส่วนมากเชื่อว่าสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้ หลายคริสตจักรถึงกับเน้นหนักเรื่องนี้ในการเทศนาและการสอน แต่สมาชิกส่วนมากก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมาโบสถ์และถวายทรัพย์ จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ผู้ฟังกลายเป็นกองทัพ คุณจะเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นผู้เล่นได้อย่างไร ในบทนี้ผมจะอธิบายระบบที่เราตั้งขึ้นเพื่อฝึกฝน เสริมกำลัง และปลดปล่อยสมาชิกไปสู่งานรับใช้
สอนพื้นฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้
ในหนังสือเล่มนี้ผมพยายามเน้นความสำคัญของการวางรากฐานพระคัมภีร์สำหรับทุกสิ่งที่คุณทำ ก่อนที่คุณจะสอนพวกเขาว่า "จะทำอย่างไร" คุณจำเป็นต้องบอกเขาก่อนว่า "ทำไมต้องทำ" จงลงทุนเวลาสอนสมาชิกให้รู้พื้นฐานพระคัมภีร์ตามบ้านและโอกาสอื่น ที่คุณสามารถเน้นย้ำเรื้องนี้ได้ ที่จริง คุณไม่ควร หยุด สอนว่าคริสเตียนทุกคนต้องมีงานรับใช้ของตน
เราสรุปสิ่งที่เราเชื่อในเรื่องการรับใช้ลงในแถลงการณ์พันธกิจ เรามีพื้นฐานจากโรม 12:1-8 เราเชื่อว่าคริสตจักรสร้างขึ้นบนเสาสี่ต้นแห่งพันธกิจของสมาชิก เราสอนความจริงสี่ประการนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ความจริงนี้ฝังลึกในใจสมาชิกของเรา
เสาต้นที่ 1 ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้รับใช้
ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนเป็นศิษยาภิบาล แต่พระเจ้าทรงเรียกผู้เชื่อทุกคนให้เข้าสู่งานรับใช้ พระเจ้าทรงเรียกให้ผู้เชื่อทุกคนปรนบัติรับใช้ผู้คนในโลกและคริสตจักร การรับใช้ในพระกายไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน ไม่มีอาสาสมัครในกองทัพของพระเจ้า พระองค์เกณฑ์เราทุกคนให้เข้าประจำการ
การเป็นคริสเตียนคือ การเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะ ปรนบัติ เขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" (มก. 10:45) การปรนบัติและการให้คือลักษณะสำคัญของชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ ซึ่งพระเจ้าคาดหวังจากผู้เชื่อทุกคน
ที่แซดเดิลแบ็คเราสอนว่าพระเจ้าทรง สร้าง คริสเตียนทุกคนเพื่องานรับใช้ (อฟ. 2:10) ทรงช่วยให้รอด เพื่องานรับใช้ (2 ทธ. 1:9) ทรงเรียก ให้รับใช้ (1 ปต. 2:9-10) ประทานของประทาน เพื่อรับใช้ (1 ปต. 4:10) ประทานสิทธิอำนาจเพื่อรับใช้ (มธ. 28:18-20) บัญชา ให้รับใช้ (20:26-28) คริสเตียนทุกคน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานรับใช้ (อฟ. 4:11-12) จำเป็นสำหรับงานรับใช้ (1 คร. 12:27) มีความรับผิดชอบ สำหรับงานรับใช้ และจะได้รับบำเหน็จ ตามการรับใช้ของตน (คส. 3:23-24)
เสาต้นที่ 2 งานรับใช้ทุกอย่างสำคัญ
ไม่มีใคร "เล็กน้อย" ในพระกายของพระคริสต์ และไม่มีงานรับใช้ใด "ไม่สำคัญ" งานรับใช้ ทุกอย่าง สำคัญ
แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์… และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ (1 คร. 12:18-22)
งานรับใช้บางอย่างเห็นเด่นชัด บางอย่างก็เป็นงานหลังฉาก แต่งานรับใช้ทุกอย่างมีคุณค่าเท่ากัน ในการประชุมฝึกฝนงานรับใช้ของเรา เราเน้นและยอมรับงานรับใช้ทุกชนิดเท่าเทียมกัน
บ่อยครั้งที่งานรับใช้เล็กทำให้อะไรดีขึ้นอย่างมากมาย หลอดไฟดวงสำคัญที่สุดในบ้านผมไม่ใช่โคมไฟใหญ่ในห้องอาหาร แต่เป็นหลอดไฟเล็กๆ ที่เปิดไว้ตลอดคืนเพื่อผมจะไม่เดินเตะอะไรแข็งๆ เวลาลุกไปห้องน้ำ (ภรรยาผมบอกว่าหลอดไฟ ดวงโปรดของผมคือ หลอดที่สว่างขึ้นเมื่อผมเปิดตู้เย็น)
เสาต้นที่ 3 เราพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ไม่เพียงแค่งานรับใช้ทุกอย่างมีความสำคัญ แต่งานรับใช้ทุกอย่างยังเกี่ยวพันกันและกันด้วย ไม่มีงานรับใช้ใดที่เป็นเอกเทศจากงานรับใช้อื่น และเนื่องจากไม่มีงานรับใช้ใดที่สามารถทำหน้าที่ของคริสตจักรอย่างครบถ้วนโดยตัวของมันเอง เราจึงต้องพึ่งพาและร่วมมือกันและกัน เหมือนกับรูปจิ๊กซอว์ ถ้าเราต้องการรูปที่สมบูรณ์ เราก็ต้องการทุกชิ้นส่วน และคุณมักจะมองเห็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายคุณทำหน้าที่ผิดเพี้ยน อวัยวะอื่นๆ ก็ประสบปัญหาไปด้วย ส่วนประกอบที่ขาดหายไปในคริสตจักรสมัยนี้ คือ ความเข้าใจเรื่องการพึ่งพาอาศัยกันและกัน เราต้องทำงานร่วมกัน เราจึงขจัดวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง และการเป็นอิสระไม่พึ่งพาใคร โดยแทนที่ด้วยแนวคิดจากพระคัมภีร์เรื่องการพึ่งพากันและกัน และดำเนินชีวิตร่วมกัน
เสาต้นที่ 4 การรับใช้คือการแสดงออกถึงลักษณะฝ่ายวิญญาณ
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีเอกลักษณ์ในการสอนเรื่องการรับใช้ เราอธิบายส่วนประกอบของงานรับใช้โดยใช้คำย่อที่มีความหมายว่ารูปร่าง (SHAPE) ตัว S คือของประทานฝ่ายวิญญาณ (spirtual gift) H คือ ใจ (heart) A คือ ความสามารถ (abilities) P คือ บุคลิกภาพ (personality) E คือ ประสบการณ์ (experience)
เมื่อพระเจ้าเนรมิตสร้างสัตว์ต่างๆ พระองค์ให้ความชำนาญเฉพาะกับสัตว์แต่ละชนิด บางชนิดวิ่ง บางชนิดกระโดด บางชนิดว่ายน้ำ บางชนิดขุดรู บางชนิดบิน สัตว์แต่ละชนิดมีบทบาทตามรูปลักษณะที่พระเจ้าสร้างมัน มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เราแต่ละคนได้รับการออกแบบที่ไม่เหมือนใครเพื่อจะทำหน้าที่ของเรา
การเป็นผู้รักขาที่ดีใช้ชีวิตอย่างฉลาด เริ่มต้นโดยการเข้าใจรูปลักษณะของคุณ พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นอะไร สิ่งนั้นจะกำหนดว่าพระเจ้าต้องการให้ทำ อะไร
ถ้าคุณไม่เข้าใจลักษณะของคุณ คุณก็จะลงเอยด้วยการทำสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยประสงค์ให้คุณทำ หรือไม่เคยออกแบบคุณเพื่อทำสิ่งนั้น เมื่อความสามารถของคุณไม่เหมาะกับบทบาทในชีวิตคุณ คุณจะรู้สึกเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมที่คนใส่ลงในรูกลม มันทำให้ทั้งคุณและคนอื่นอึดอัดไปหมด การกระทำอย่างนั้นไม่เพียงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่จำกัด มันยังเป็นการใช้ความสามารถ เวลาและกำลังมหาศาลไปอย่างไร้ประโยชน์ด้วย
พระเจ้าทรงแน่วแน่ในแผนการที่พระองค์มีไว้สำหรับชีวิตเรา พระองค์จะไม่ประทานความสามารถที่ติดตัวแต่เกิด อารมณ์ ความสามารถพิเศษ ของประทานฝ่ายวิญญาณ และประสบการณ์ชีวิต แล้วก็ปล่อยไว้โดยไม่ใช้มัน เมื่อเราค้นพบและเข้าใจส่วนประกอบห้าอย่างนี้ (SHAPE) เราก็สร้างค้นพบน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับชีวิตเราคือ หนทางที่พระองค์ประสงค์ให้เราแต่ละคนรับใช้พระองค์ และเมื่อคุณรับใช้การงานของคุณก็จะไหลล้นจากลักษณะที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมา
พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณเพื่องานรับใช้ตั้งแต่คุณเกิดมา แท้จริงพระองค์เริ่มปั้นคุณก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก
เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์โมทนาพระคุณของพระองค์เพราะพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์อัศจรรย์ พระองค์ทรงทราบข้าพระองค์ดี เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลี้ลับ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์ (สดุดี 139:13-19)
ของประทานฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประทานของประทานบางอย่างให้ผู้เชื่อแต่ละคน เพื่อให้ใช้ในงานรับใช้ (1 คร. 12; รม. 8; อฟ. 4) อย่างไรก็ตาม ของประทานฝ่ายวิญญาณก็เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของภาพทั้งหมด คริสเตียนมักเน้นเรื่องของประทานมากเกินไป จนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญเท่ากัน ความสามารถติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิดก็มาจากพระเจ้า ประสบการณ์และบุคลิกลักษณะของคุณก็เช่นกัน ของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นส่วนหนึ่ง ของน้ำพระทัยสำหรับพันธกิจของคุณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
คริสตจักรส่วนมากพูดว่า "จงค้นหาของประทานฝ่ายวิญญาณ แล้วคุณจะรู้ว่าคุณควรทำพันธกิจประเภทไหน" นี่เป็นการเดินย้อนศร ผมเชื่อว่ามันตรงกันข้าม คือให้คุณลองทำพันธกิจหลายๆ อย่าง แล้ว คุณก็จะค้นพบของประทานของคุณ ตราบใดที่คุณยังไม่มีส่วนในงานรับใช้ใด ๆ คุณจะไม่มีวันรู้ว่าคุณมีความสามารถด้านไหน คุณอาจอ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังสับสนว่าคุณมีของประทานด้านไหน
ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับ "วิธีค้นพบของประทาน" หรือแบบทดสอบทำนองนี้มากนัก เหตุผลประการแรกคือ วิธีค้นหาและการทดสอบเหล่านี้ต้องใช้การตั้งมาตรฐานเหมือน ๆ กันสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าพระเจ้าทำงานในชีวิตแต่ละคนด้วยวิธีแตกต่างกัน คนที่มีของประทานผู้ประกาศในคริสตจักรเราอาจใช้ของประทานในลักษณะที่ต่างจากบิลลี่ เกรแฮมใช้ก็ได้ ประการที่สอง ของประทานส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่นั้นไม่มีคำจำกัดความ ดังนั้น คำจำกัดความที่ใช้กันทุกวันนี้จึงมักจะคลุมเครือ จุกจิก และมีความลำเอียงไปตามแนวคิดของคณะนิกาย
ประการที่สามคือ ยิ่งผู้เชื่อเป็นผู้ใหญ่เท่าใด เขายิ่งมีแนวโน้มจะแสดงออกถึงของประทานหลายอย่าง เขาอาจแสดงออกถึงจิตใจของผู้ปรนนิบัติ หรือการให้ด้วยใจกว้างขวาง ซึ่งเกิดจากความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าการมีของประทาน
เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมลองใช้วิธีค้นพบของประทาน และพบว่าของประทานอย่างเดียวที่ผมมีคือ การพลีชีพ ผมคิดว่า "โอ วิเศษ ของประทานนี้ใช้ได้แค่หนเดียว" ผมอาจทำแบบทดสอบเป็นร้อยแบบ แต่ก็ไม่มีวันพบว่าผมมีของประทานในการเทศนาและการสอน ผมจะไม่มีวันพบ เพราะผมไม่เคยทำ ที่ผมพบก็หลังจากผมเริ่มยอมรับโอกาสที่จะพูด และเห็นผลที่เกิดขึ้น และมีคนอื่นช่วยยืนยัน แล้วผมจึงตระหนักว่า "พระเจ้าให้ของประทานเพื่อผมจะทำสิ่งนี้"
ใจ คำที่พระคัมภีร์ใช้สำหรับ หัวใจ แสดงถึงศูนย์กลางของแรงจูงใจ ความปรารถนา ความสนใจ และความชอบ ใจกำหนดสิ่งที่คุณพูด (มธ. 12:34) กำหนดให้รู้สึกอย่างที่คุณรู้สึก (สดด. 37:4) และกำหนดสิ่งที่คุณทำ (สภษ. 4:23)
เราทุกคนมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ต่างกัน เช่นเดียวกันพระเจ้าประทานจังหวะทางอารมณ์ที่แตกต่างกันในเราแต่ละคน เมื่อเราเผชิญกิจกรรม เรื่องราว หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เรามีการตอบสนองทางอารมณ์ต่างกัน เรามีสัญชาตญาณที่รู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องหนึ่ง แต่เฉย ๆ กับอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือการแสดงออกของหัวใจ
แนวโน้มด้านแรงจูงใจซึ่งพระเจ้าประทานให้คุณนั้น ทำหน้าที่เป็นระบบนำทางภายใน เพื่อการดำเนินชีวิตของคุณ มันกำหนดสิ่งที่คุณสนใจ และสิ่งที่ทำให้คุณพึงพอใจและอิ่มใจมากที่สุด มันยังกระตุ้นให้คุณแสวงหากิจกรรมบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่าง อย่าละเลยความสนใจตามธรรมชาติของคุณ น้อยคนนักที่จะทำได้ดีเยี่ยมในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมักจะเป็นคนที่ชอบสิ่งที่เขาทำ
พระเจ้ามีพระประสงค์ในการประทานความสนใจที่ติดตัวมาแต่เกิด จังหวะทางอารมณ์ของคุณจะเปิดเผยกุญแจที่สำคัญยิ่งในการทำความเข้าใจพระประสงค์สำหรับชีวิตคุณ พระเจ้าประทานหัวใจให้คุณ แต่คุณต้องเลือกว่าจะใช้มันสำหรับสิ่งดีหรือเลว จะใช้เพื่อเหตุผลที่เห็นแก่ตัว หรือใช้เพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น ซามูเอล 12:20 กล่าวว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน"
ความสามารถ สำหรับความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิด บางคนมีความสามารถตามธรรมชาติในเชิงถ้อยคำ เขาเกิดมาเพื่อพูด บางคนก็มีความสามารถเชิงกีฬา พวกเขาเป็นเลิศในการควบคุมร่างกายให้ทำงานประสานกัน บางคนเก่งเรื่องตัวเลข พวกเขาคิดในเชิงตัวเลข และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่สามารถเข้าใจแคลคูลัสได้
อพยพ 31:3 แสดงตัวอย่างที่พระเจ้าประทาน "สติปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในวิชาการทุกอย่าง" เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ ในกรณีนี้คือความสามารถเชิงศิลปะเพื่อสร้างพลับพลา เป็นเรื่องน่าสนใจที่พรสวรรค์ทางดนตรีไม่เคยมีการกล่าวถึงในฐานะ "ของประทานฝ่ายวิญญาณ" แน่นอนมันเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่พระเจ้าใช้ในการนมัสการ และน่าสนใจเช่นกันที่พระเจ้าประทานความสามารถในการหาเงิน "เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลัง (หรือความสามารถ) แก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้" (ฉธบ. 8:18)
สำหรับคนที่ไม่เข้าร่วมในงานรับใช้ ข้อแก้ตัวที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือ เขาไม่มีความสามารถอะไรจะให้ เรื่องนี้ห่างไกลความจริงชนิดสุดกู่ การศึกษาวิจัยในระดับชาติหลายครั้งพิสูจน์ว่า โดยเฉลี่ยคนเรามีความสามารถ 500 ถึง 700 อย่างปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ประการ ประการแรกคือ ต้องมีกระบวนการช่วยให้คนรู้จักความสามารถของตน คนส่วนมากกำลังใช้ความสามารถที่เขาไม่รู้ตัวว่าเขามี ประการที่สอง ต้องมีกระบวนการช่วยให้เขาใช้ความสามารถของตนในงานรับใช้ที่ถูกต้อง
ในคริสตจักรของคุณมีคนที่มีความสามารถสารพัด แต่หากไม่มีการนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมคน การศึกษาวิจัย การเขียน การออกแบบบริเวณ การเชิญชวนสัมภาษณ์ การตกแต่ง การปลูกต้นไม้ การสร้างความบันเทิง การซ่อมแซม การวาดเขียน หรือแม้แต่การทำอาหาร ความสามารถเหล่านี้ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า "งานรับใช้มีต่าง ๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน" (1 คร. 12:5)
บุคลิกภาพ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างคนด้วยแม่พิมพ์ พระองค์ชอบความหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่เก็บความรู้สึกและคนที่ชอบแสดงออก พระองค์สร้างคนที่ชอบงานประจำและคนที่ชอบงานหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่ทำงานตามลำพังได้ดี และสร้างคนที่ทำงานเป็นทีมได้ดี
พระคัมภีร์มีข้อพิสูจน์มากมายว่าพระเจ้าใช้คนทุกบุคลิก เปโตรเป็นคนช่างพูด เปิดเผย เปาโลเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว เยเรมีย์เป็นคนโศกเศร้า เมื่อคุณดูความแตกต่างทางบุคลิกภาพของสาวกสิบสองคน คุณก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมบางครั้งเขาจึงมีความขัดแย้งกัน
ไม่มีลักษณะอารมณ์ที่ "ถูก" หรือ "ผิด" สำหรับงานรับใช้ เราต่างต้องการบุคลิกภาพทุกแบบเพื่อให้คริสตจักรสมดุลและมีรสชาติ โลกคงน่าเบื่อพิลึกถ้าเราทุกคนเป็นรสวานิลลา ยังดีที่คนเรามีมากกว่าสามสิบเอ็ดรส
บุคลิกภาพของคุณจะมีผลต่อวิธีและสถานที่ที่คุณจะใช้ของประทาน และความสามารถต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น สองคนมีของประทานแห่งการประกาศเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ส่วนอีกคนช่างพูดช่างแสดงออก สองคนนี้ย่อมใช้ของประทานในลักษณะต่างกัน
ช่างไม้รู้ดีว่าเขาจะทำงานง่ายขึ้นเมื่อไม่ฝืนแนวลายไม้ เช่นเดียวกัน เมื่อคุณถูกบังคับให้รับใช้ในลักษณะอารมณ์ของคุณ คุณก็อาจเครียดและอึดอัดและต้องใช้ความพยายามและกำลังมากกว่าปกติ และไม่เกิดผลสูงสุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลอกเลียนงานรับใช้ของคนอื่นจึงไม่เคยใช้ได้ผล เพราะคุณไม่มีบุคลิกของเขา พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นคุณ คุณสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างของคนอื่น แต่คุณต้องกลั่นกรองบทเรียนนั้นและปรับให้เข้ากับลักษณะของคุณ
เมื่อคุณรับใช้ในลักษณะที่สอดคล้องกับบุคลิกที่พระเจ้าประทานให้ คุณก็จะอิ่มใจ พึงพอใจ และเกิดผล คุณจะรู้สึกเบิกบานเมื่อคุณทำสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้คุณทำ
ประสบการณ์ พระเจ้าไม่เคยให้ประสบการณ์สูญเปล่าแม้แต่อย่างเดียว โรม 8:28 ย้ำกับเราว่า "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งคือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราช่วยให้คนพิจารณาประสบการณ์ห้าประเภทซึ่งมีอิทธิพลกับรูปแบบงานรับใช้ที่เหมาะกับเขามากที่สุด (1) ประสบการณ์ทางการศึกษา วิชาอะไรที่คุณชอบที่สุด (2) ประสบการณ์การทำงาน งานใดบ้างที่คุณทำแล้วชอบ และได้ผล (3) ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ ช่วงเวลาใดในชีวิตที่มีความหมายหรือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างคุณกับพระเจ้า (4) ประสบการณ์การรับใช้ คุณเคยรับใช้พระเจ้าอย่างไรบ้าง (5) ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ปัญหา และการทดสอบใดที่คุณเรียนรู้จากมัน
ลักษณะของคุณมาจากการกำหนดของพระเจ้าเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ คุณจึงไม่ควรขุ่นเคืองหรือต่อต้าน "แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า "ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้" ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิจะเอาดินก้อนเดียวกันมาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ" (รม. 9:20-21) แทนที่จะพยายามเปลี่ยนลักษณะให้เหมือนคนอื่น คุณควรปีติยินดีในลักษณะที่พระเจ้าประทานให้
คุณจะเกิดผลมากที่สุดและทำให้งานรับใช้สำเร็จ เมื่อคุณใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและความสามารถในงานที่ใจคุณปราถนา และในลักษณะที่คุณแสดงออกถึงบุคลิกภาพและประสบการณ์ได้มากที่สุด การเกิดผลเกิดจากการรับใช้ในงานที่เหมาะสม
จัดโครงสร้างให้มีความคล่องตัว
หลังจากที่คุณสอนพื้นฐานทางพระคัมภีร์แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการสร้างพันธกิจของสมาชิก คือ การทำให้โครงสร้างคริสตจักรคล่องตัว เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่สมาชิกจำนวนมากไม่กระตือรือร้นในงานรับใช้ก็เพราะเขามัวยุ่งอยู่กับการประชุม จนไม่มีเวลาลงมือทำงานรับใช้จริง ผมนึกสงสัยบ่อย ๆ ว่าเราจะเหลืออะไรในคริสตศาสนาบ้าง ถ้าเราตัดการประชุมทั้งหมดออกไป พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ประชุม" แต่ถ้าคุณถามคนไม่เป็นคริสเตียนว่า เขาสังเกตเห็นอะไรในวิถีชีวิตเพื่อนบ้านที่เป็นคริสเตียนบ้าง เขาก็อาจตอบว่า "พวกเขาไปประชุมบ่อยนะ" เราอยากมีชื่อเสียงแบบนี้เหรอครับ
ผมเดาว่าคริสตจักรโดยเฉลี่ยจะมีสุขภาพดีขึ้น ถ้าหากยอมลดการประชุมลงครึ่งหนึ่ง เพื่อจะมีเวลามากขึ้นสำหรับการรับใช้และการประกาศโดยใช้ความสัมพันธ์ เหตุผลหนึ่งที่สมาชิกคริสตจักรไม่เป็นพยานกับเพื่อนบ้านก็เพราะเขาไม่รู้จักเพื่อนบ้าน พวกเขาอยู่แต่โบสถ์ เอาแต่ร่วมประชุม
เวลา คือ สมบัติที่มีค่าที่สุดที่คนสามารถให้แก่คริสตจักร เนื่องจากทุกวันนี้คนมีเวลาว่างน้อยลง เราจึงต้องใช้เวลาที่เขามอบให้คริสตจักรอย่างดีที่สุด ถ้าสมาชิกคนหนึ่งมาหาผมแล้วบอกว่า "อาจารย์ครับ ผมสามารถให้สี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่องานรับใช้ของคริสตจักร" สิ่งสุดท้าย ที่ผมจะทำ คือ ตั้งเขาให้เป็นคณะกรรมการ เพราะผมอยากให้เขาเข้าร่วมในงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา
จงสอนให้สมาชิกของคุณรู้ความแตกต่างระหว่างงานบำรุงรักษากับงานรับใช้ งานบำรุงรักษาคือ "งานคริสตจักร" เช่น งานคิดงบประมาณ งานอาคาร งานเกี่ยวกับองค์กรคริสตจักร แต่งานรับใช้คือ "หน้าที่ของคริสตจักร" ยิ่งคนมาร่วมในการตัดสินใจเรื่องงานบำรุงรักษามากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลาเขาสูญเปล่ามากเท่านั้น และทำให้เขาไม่มีเวลารับใช้ และเปิดโอกาสให้เกิดความขัดแย้ง งานบำรุงรักษายังทำให้คนคิดว่าเขารับผิดชอบหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้วเมื่อเขาออกเสียงลงมติในกิจการของคริสตจักร
ความผิดพลาดที่พบบ่อยในหลายคริสตจักร คือ เขาเอาคนที่ฉลาดและดีที่สุดไปอยู่ในระบบราชการ คือ ให้เข้าประชุมมากขึ้น คุณจะทำให้ชีวิตคนแห้งเหือดถ้าคุณจัดตารางเวลาให้เขามีแต่การประชุม ที่แซดเดิลแบ็คเราไม่มีคณะกรรมการ แต่เรามีพันธกิจ 79 อย่างสำหรับสมาชิก
อะไรคือความแตกต่างกันระหว่างคณะกรรมการและพันธกิจสำหรับสมาชิก คำตอบคือ คณะกรรมการนั่งอภิปราย แต่พันธกิจลงมือทำ คณะกรรมการโต้เถียง แต่พันธกิจกระทำ คณะกรรมการบำรุงรักษา แต่พันธกิจลงมือรับใช้ คณะกรรมการการคุยและพิจารณา แต่พันธกิจปรนนิบัติและเอาใจใส่ คณะกรรมการคุยกันเรื่องความต้องการ แต่พันธกิจตอบสนองความต้องการ
คณะกรรมการยังตัดสินใจในเรื่องที่เขาคาดหวังให้คนอื่นนำไปปฏิบัติ ที่แซดเดิลแบ็ค ผู้ปฏิบัติก็คือผู้ตัดสินใจเรื่องพันธกิจนั้นเอง เราไม่แบ่งแยกสิทธิอำนาจออกจากความรับผิดชอบ แต่เราวางใจสมาชิกในทั้งสองสิ่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการ เราไม่ให้คนที่ไม่ทำงานมีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจ
แล้วที่แซดเดิลแบ็คใครทำงานบำรุงรักษาล่ะ ก็คือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนนี่เป็นวิธีที่เราไม่ทำให้เวลาอันมีค่าของสมาชิกสูญเปล่า สมาชิกพอใจมากที่เวลาที่เขาให้นั้นได้นำไปใช้ในงานรับใช้จริง ๆ
ผมแน่ใจว่าคุณคิดว่า นี่ช่างเป็นวิธีที่ตกขอบเสียจริง ๆ แซดเดิลแบ็คได้รับการวางโครงสร้าง ตรงข้ามกับคริสตจักรส่วนมากอย่างสิ้นเชิง ในคริสตจักรส่วนมากนั้นสมาชิกทำงานบำรุงรักษา (ธุรการ) ขณะที่ศิษยาภิบาลทำงานรับใช้ ไม่น่าแปลกใจที่คริสตจักรนั้นไม่สามารถเติบโตได้ ในที่สุดเขาจะหมดไฟ และต้องย้ายไปรักษาตัวที่คริสตจักรอื่น
หนังสือเล่มนี้ไม่มีเป้าหมายที่จะแบ่งปันความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับโครงสร้างคริสตจักรตามพระคัมภีร์ แต่ผมขอให้คุณพิจารณาคำถามนี้ คือ คำเหล่านนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง คณะกรรมาธิการ การเลือกตั้ง การตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ คณะกรรมการ ไม่มีสักคำที่ปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ เรานำเอาระบบรัฐบาลอเมริกาใช้กับคริสตจักรและผลก็คือ คริสตจักรส่วนมากจมปลักอยู่ในระบบราชการเหมือนกับรัฐบาลของเรา (อเมริกา) จะทำอะไรให้เสร็จสักอย่างก็ต้องใช้เวลาชั่วนิจนิรันดร์ โครงสร้างจากฝีมือมนุษย์เป็นอุปสรรคขัดขวางคริสตจักรไม่ให้มีสุขภาพแข็งแรง ผลของมันใหญ่หลวงเกินที่เราจะคิดได้
โครงสร้างลักษณะนี้ไม่เพียงทำให้คริสตจักรไม่เติบโต มันก็ยังควบคุม อัตรา และปริมาณ การเติบโตด้วย ในที่สุดคริสตจักรทุกแห่งต้องตัดสินใจว่าจะจัดโครงสร้างเพื่อ การควบคุม หรือจัดโครงสร้างเพื่อ การเติบโต นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับคริสตจักรคุณ ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรเติบโต ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกต้องยอมสละ อำนาจควบคุม สมาชิกต้องยอมสละอำนาจควบคุมด้าน ภาวะผู้นำ และศิษยาภิบาลต้องสละอำนาจควบคุมใน งานรับใช้ มิเช่นนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกลายเป็นคอขวดสกัดการเติบโต
เมื่อคริสตจักรมีคนมากกว่า 500 คน คน ๆ เดียวหรือคณะกรรมการไม่อาจล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ ผมไม่รู้ทุกเรื่องในคริสตจักรแซดเดิลแบ็คหลายปีแล้ว และผมไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกเรื่อง คุณอาจถามว่า "แล้วคุณควบคุมคริสตจักรได้อย่างไร" ผมก็จะตอบว่า "ผมไม่ควบคุม หน้าที่ของผมไม่ใช่ควบคุม แต่เป็น การนำคริสตจักร" การนำและการควบคุมต่างกันลิบลับ ทีมศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ของเรารับผิดชอบปกป้องคริสตจักรให้มีหลักข้อเชื่อถูกต้อง และมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่การตัดสินใจประจำวันเป็นหน้าที่ของสมาชิกที่ลงมือทำงานรับใช้ของคริสตจักร
ถ้าคุณจริงจังกับการผลักดันสมาชิกสู่งานรับใช้ คุณต้องทำให้โครงสร้างคล่องตัว เพื่อทำให้เกิดงานรับใช้มากที่สุด มีงานบำรุงรักษาน้อยที่สุด ยิ่งคริสตจักรคุณมีวัสดุอุปกรณ์สำหรับงานด้านองค์กรมากเท่าใด คุณต้องใช้เวลา แรงงาน และเงินมากเท่านั้นเพื่อบำรุงรักษา ส่วนเวลา แรงงาน และเงินมีค่า ควรใช้มันในพันธกิจกับผู้คนมากกว่า
ถ้าคุณปลดปล่อยคนไปสู่งานรับใช้ และปล่อยเขาจากงานบำรุงรักษา คุณจะสร้างคริสตจักรที่มีความสุข และรักใคร่กลมเกลียวยิ่งกว่าเดิม และจะมีขวัญกำลังใจดีขึ้นด้วย สมาชิกจะอิ่มใจเมื่อเขาทำงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา การยอมให้พระเจ้าใช้คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตคน จะทำให้ทัศนคติของคุณเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ในสงคราม คุณจะพบว่า คนที่มีขวัญกำลังใจและมิตรภาพความผูกพันมากที่สุด คือ คนที่อยู่แนวหน้า คุณจะไม่มีเวลาโต้เถียงหรือพร่ำบ่นเมื่อคุณกำลังวิ่งหลบลูกกระสุน อย่างไรก็ตาม ถอยหลังไปอีกสิบไมล์ ทหารแนวหลังบ่นพึมพัมเรื่องอาหาร น้ำอาบ และการขาดสิ่งบันเทิง สถานการณ์ไม่ได้แย่เหมือนแนวหน้าสักนิด แต่คนเหล่านั้นช่างวิพากษ์วิจารณ์ ผมมักจะพบว่าเขาไม่มีส่วนในงานรับใช้ คนขี้บ่นที่สุดในคริสตจักรมักจะเป็นกรรมการที่ไม่มีอะไรจะทำ
นาน ๆ ครั้งคุณอาจจำเป็นต้องมีคณะกรรมการจริง ๆ เพื่อศึกษาบางเรื่อง ให้คุณตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษา ซึ่งมีภาระกิจชัดเจน มีกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ให้กำหนดเวลาที่คณะกรรมการนี้จะสลายตัวไป คณะกรรมการส่วนมากเสียพลังงานสมองเปล่า ๆ กับการประชุมตามตารางเวลา แต่ไม่มีความจำเป็น
อย่าใช้วิธีลงคะแนนเสียงสำหรับตำแหน่งในงานรับใช้
มีเหตุผลบางประการที่แซดเดิลแบ็คไม่เคยลงคะแนนเสียงเพื่อรับรองคนที่มาทำงานในพันธกิจของสมาชิก
เพื่อหลีกเลี่ยงการประกวดประชัน ถ้าคุณใช้การลงคะแนนเสียง คุณจะกีดกันคนทั้งหมดที่กลัวถูกปฏิเสธ คนขี้อายหรือขาดความมั่นใจจะไม่มีวันอาสาทำงานรับใช้เพราะกลัวว่าคณะกรรมการ หรือสมาชิกจะปฏิเสธ
พันธกิจใหม่มักจำเป็นต้องพัฒนาไปช้า ๆ ถ้าคุณทำให้พันธกิจใหม่เป็นจุดสนใจตั้งแต่แรก มันอาจตายได้ แค่คำพูดแง่ลบจากคนที่มีอิทธิพลเพียงคนเดียว ก็ถอนรากพันธกิจนี้ได้ตั้งแต่ใบแรกของมันยังไม่ผลิ
สมาชิกใหม่จะเข้าร่วมได้เร็วกว่า การลงคะแนนเสียงทำให้สมาชิกใหม่เสียเปรียบ สมาชิกใหม่อาจมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด แต่เขาอาจไม่เป็นที่รู้จักของคณะกรรมการที่ควบคุมกระบวนการแต่งตั้ง ผมเห็นคนมีของประทานหลายคนถูกกีดกันจากงานรับใช้เป็นปี ๆ เพราะเขาไม่ใช่คนวงใน คือกลุ่มสมาชิกเก่าแก่
คุณสามารถหลีกเลี่ยงการได้คนที่สนใจตำแหน่งนั้นเพียงเพราะอำนาจและเกียรติ เมื่อคุณไม่ใช้การลงคะแนนเสียง คุณก็จะดึงดูดคนที่สนใจจะรับใช้จริง ๆ แทนที่จะได้คนที่ต้องการเพียงตำแหน่ง ครั้งหนึ่งมีคนมาบ่นกับผมว่า "ผมออกจากคริสตจักรเดิมเพราะต้องการเป็นประธานคณะกรรมการ แต่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่มีคณะกรรมการอะไรซักอย่าง" อย่างน้อยเขาก็จริงใจ เขาพบคริสตจักรที่เขาจะมีตำแหน่งโก้หรู และเป็นกบใหญ่ในบึงเล็ก เขาไม่ได้สนใจงานรับใช้เลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแต่อำนาจ
ถ้าคนล้มเหลว คุณก็ถอดถอนได้ง่าย ถ้าคุณเลือกตั้งกันต่อหน้าสาธารณชน คุณจำเป็นต้องถอดถอนเขาต่อหน้าสาธารณชน ถ้าเข้าไม่มีศักยภาพ หรือทำผิดในเรื่องศีลธรรม ในโลกปัจจุบัน การถอดถอนแบบนั้นสามารถกลายเป็นเผือกร้อนด้านการเมือง ความสัมพันธ์ หรือกฏหมายได้ คนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังบางคนอาจเลือกทำให้คริสตจักรแตกแทนที่จะยอมสละตำแหน่ง เขาอาจพาเพื่อนฝูงเรียงแถวกันเข้าข้างเขา แต่ถ้าคุณไม่ใช้วิธีลงคะแนนเสียงตั้งแต่ต้น คุณก็สามารถจัดการกับความล้มเหลวแบบเป็นส่วนตัวได้
คุณสามารถตอบสนองต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งเกิดมีความคิดดี ๆ เรื่องการรับใช้ คริสตจักรไม่ควรต้องรอจนถึงการประชุมธุรกิจคริสตจักรครั้งต่อไป ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค บางครั้งเราก็จัดตั้งพันธกิจใหม่ทันทีหลังจบการนมัสการ เนื่องจากบางสิ่งที่ผมพูดในการเทศนา คนที่สนใจจับกลุ่มคุยกันที่ลานด้านหน้า แล้วงานก็เริ่มขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย
ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับผม "เราจำเป็นต้องมีพันธกิจอธิษฐาน" ผมบอก "ผมเห็นด้วยครับ คุณนี่แหละ" เธอถามว่า "แล้วไม่ต้องมีการเลือกตั้งหรือผ่านกระบวนการอะไรเลยเหรอคะ" เธอคิดว่าเธอต้องผ่านขั้นตอนทางการเมืองก่อน ผมบอกเธอว่า "แน่นอนครับ ไม่ต้องเลย แค่ประกาศในสูจิบัตรแล้วก็เริ่มเลย" แล้วเธอก็ทำตามนั้น
อีกครั้งหนึ่งมีคนพูดกับผมว่า "เราจำเป็นต้องมีกลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย" ผมตอบว่า "ความคิดดีมาก คุณเริ่มทำเลยสิครับ" แล้วเขาก็เริ่ม อีกคนบอกผมว่า "ผมสอนไม่เป็น ร้องเพลงไม่เป็น แค่ผมเก่งเรื่องซ่อมบ้านแล้วก็งานไม้เล็ก ๆ ผมอยากเริ่มพันธกิจรับซ่อมบ้านฟรีสำหรับแม่ม่ายในคริสตจักรเรา" ประเด็นสำคัญก็คือ คุณไม่ควรต้องลงคะแนนเสียงว่าคนจะใช้ของประทานของเขาในพระกายของพระคริสตจักรได้หรือไม่ เมื่อใดก็ตามที่มีคนแสดงความปราถนาจะรับใช้ เราก็เริ่มจัดให้เขาทำงานทันที
เริ่มกระบวนการจัดคนเข้าทำพันธกิจ
การนำสมาชิกเข้าสู่งานรับใช้ควรเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำพิเศษเป็นครั้งคราว ที่ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของแซดเดิลแบ็ค เรามีสามส่วนที่สำคัญยิ่ง
ชั้นเรียนประจำเดือน แต่ละเดือน เรามีชั้นเรียน 301 ชื่อ "วิธีค้นพบพันธกิจของตน" เป็นชั้นเรียนยามสี่ชั่วโมง ซึ่งสอนให้คนรู้พื้นฐานทางพระคัมภีร์เกี่ยวกับงานรับใช้ แนวคิดที่เราเรียกว่า SHAPE และโอกาสมากมายในการรับใช้ที่แซดเดิลแบ็คโดยสอนทุกบ่ายวันอาทิตย์ที่สองของเดือน จากบ่ายสี่ถึงทุ่มครึ่ง เรามีอาหารฟรีสำหรับคนที่เข้าเรียนด้วย นี่เป็นชั้นเรียนต่อเนื่องจากชั้น 101 (สมาชิกใหม่) และ 201 (ความเป็นผู้ใหญ่) เราทำให้ชั้นเรียนเหล่านี้เด่นชัดสำหรับสมาชิก และทำการเชิญชวนอย่างมากด้วย
กระบวนการจัดสรรคน กระบวนการจัดสรรคนของเรามี 6 ขั้นตอน (1) เข้าเรียนชั้น 301 (2) อุทิศตนให้การรับใช้และลงนามในพันธสัญญาพันธกิจของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค (3) กรอกข้อมูล SHAPE (4) สัมภาษณ์ส่วนตัวกับที่ปรึกษาด้านพันธกิจเพื่อจะรู้สามหรือสี่แนวทางที่เป็นไปได้ในการรับใช้ (5) พบเจ้าหน้าที่หรือสมาชิกที่เป็นผู้นำ ซึ่งดูแลพันธกิจที่คุณสนใจ (6) ได้รับการประกาศต่อสาธารณชนในการประชุม SALT
กระบวนการจัดสรรคนของคุณควรจะเน้นที่การเสริมสร้างคนให้มีพลัง ไม่ใช่ทำให้มีตำแหน่งครบ ถ้าคุณให้ความสำคัญกับลักษณะของคน แทนที่จะให้ความสำคัญกับความต้องการของสถาบัน คุณจะประสบความสำเร็จสูงกว่าในการนำคนเข้าสู่งานรับใช้ จำไว้ว่างานรับใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน ไม่ใช่รายการ
เจ้าหน้าที่ที่จะบริหารกระบวนการนี้ สมาชิกต้องการความสนใจและการชี้แนะเป็นส่วนตัว เมื่อเขาพยายามค้นหาว่าพระเจ้าสร้างเขาเพื่อพันธกิจใด เพียงแค่สอนในชั้นเรียนจะไม่ช่วยให้สิ่งนี้สำเร็จ สมาชิกแต่ละคนสมควรได้รับคำปรึกษาส่วนตัว
ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คนำโดยศิษยาภิบาลด้านงานรับใช้ และอาสาสมัครในทีมงานของเขา พวกเขาสัมภาษณ์คนที่กรอกข้อมูล SHAPE เสร็จแล้ว เพื่อช่วยให้เขาพบงานรับใช้ที่เหมาะสมที่สุด พวกเขายังช่วยแนะนำสมาชิกที่ต้องการเริ่มพันธกิจใหม่ ๆ ด้วย ถ้าผมตั้งคริสตจักรใหม่ในวันนี้ สิ่งหนึ่งที่จะทำเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือ หาอาสาสมัครที่เหมาะสมสำหรับงานสัมภาษณ์ แล้วฝึกเขาให้สามารถทำหน้าที่สำคัญยิ่งนี้ คุณไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือน แต่คุณจำเป็นต้องมีคนที่มีบุคลิกภาพและทักษะที่เหมาะสมสำหรับหน้าที่นี้
จัดให้มีการฝึกฝนในงานรับใช้จริง
เมื่อคนเริ่มทำงานรับใช้ เขาจำเป็นต้องฝึกทำงานจริง การฝึกงานจริงนั้นสำคัญและมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกนอกงานจริงหลายเท่า ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเรามีการฝึกนอกงานจริงน้อยมาก เพราะรู้สึกว่าสมาชิกจะยังไม่รู้แม้แต่จะถามอะไรจนกว่าเขาจะเข้าร่วมในงานรับใช้จริง ๆ
อีกเหตุผลที่เราไม่ใช้การฝึกนอกงานจริง ก็เพราะเราต้องการให้คนมีส่วนในงานรับใช้จริงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฝึกนอกงานจริงที่ยาวนานจะทำให้คนสูญเสียความกระตือรือร้นแรกเริ่ม มันทำให้เขาเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำ ผมพบว่าคนที่เต็มใจจะฝึกห้าสิบสองสัปดาห์ ก่อน ลงมือทำ เวลาทำจริงมักไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เขามีแนวโน้มจะเป็นนักศึกษาอาชีพที่ชอบเรียนวิชาการรับใช้มากกว่าจะลงมือทำ เราต้องการให้คนกระโจนลงน้ำทันที เมื่อเขาจะมีแรงจูงใจให้เรียนว่ายน้ำ วิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือ เริ่มต้น
แกนกลางพันธกิจฆราวาสของเรา คือ การประชุม SALT เป็นการอบรมนานสองชั่วโมง จัดในค่ำวันอาทิตย์แรกของเดือนสำหรับกลุ่มแกนของคริสตจักรเรา วาระประชุม SALT ประกอบด้วยการนมัสการยาว ๆ และใคร่ครวญ การแนะนำพันธกิจทั้งหมด คำพยานจากการทำงาน การแต่งตั้งผู้รับใช้ฆราวาสใหม่ การอธิษฐานเป็นกลุ่มข่าว "วงใน" ของคริสตจักร การฝึกงานรับใช้ คำเทศนา "นิมิต" โดยผมเองพูดถึงค่านิยมของเรา นิมิตของเรา และลักษณะนิสัยและทักษะที่จำเป็นสำหรับงานรับใช้ คำเทศนาสำหรับผู้นำฆราวาสนี้เรียกว่า "การยกระดับผู้นำ" และบันทึกเทปไว้เพื่อคนที่พลาดการประชุมจะหาฟังได้ ในการประชุม SALT เรายังให้รางวัล "ผู้ฆ่ายักษ์" ประจำเดือนแก่พันธกิจที่จัดการกับปัญหาใหญ่ที่สุดในเดือนที่ผ่านมา
นอกจากการประชุม SALT สถาบันพัฒนาชีวิตของเรายังมีชั้นฝึกอบรมหลากหลายสำหรับพันธกิจที่เจาะจง ชั้นเรียนระดับ 300 สอนทักษะต่าง ๆ ในการรับใช้ และฝึกคนให้พร้อมรับใช้ในพันธกิจหลากหลายของคริสตจักรเรา เช่น ชั้นเรียน 302 ชื่อว่า "ถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำกลุ่มย่อย" เรายังมีการฝึกอบรมสำหรับพันธกิจอนุชน เด็ก ดนตรี การให้คำปรึกษา และการเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส และอื่น ๆ อีกมากมาย
อย่าเริ่มพันธกิจโดยปราศจากผู้รับใช้
เราไม่เคยตั้งตำแหน่งรับใช้ไว้ก่อนแล้วหาคนมาลงทีหลัง มันจะไม่ได้ผลปัจจัยสำคัญที่สุดของพันธกิจใหม่ไม่ใช่ ความคิด แต่เป็น ผู้นำ พันธกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ ถ้าไม่มีผู้นำที่เหมาะสม พันธกิจคุณก็จะได้แต่ล้มลุกคลุกคลานและอาจทำความเสียหายมากกว่าประโยชน์ก็ได้
จงวางใจในจังหวะเวลาของพระเจ้า เจ้าหน้าที่ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่เคยเริ่มพันธกิจใหม่ เราอาจเสนอความคิด แต่เราปล่อยความคิดนั้นไว้จนกว่าพระเจ้าจะประทานคนที่เหมาะสมมานำพันธกิจนั้น ผมแบ่งปันก่อนหน้านี้ว่าเราไม่มีพันธกิจอนุชนจนเรามีผู้ร่วมประชุมเกือบ 500 คน และเราไม่มีพันธกิจคนโสดจนเรามีเกือบ 1,000 คนร่วมประชุม ทำไมเหรอครับ ก็เพราะจนถึงเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ประทานผู้นำให้เรา
เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องไม่ผลักไสคนเข้าสู่งานรับใช้ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะติดชะงักอยู่กับปัญหาเรื่องแรงจูงใจไปตลอดชีวิตของพันธกิจนั้น คริสตจักรเล็ก ๆ ส่วนมากมักรีบร้อนและพยายามทำมากเกินไป แทนที่จะทำอย่างนั้น ให้คุณอธิษฐานและคอยให้พระเจ้าประทานคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำพันธกิจนั้น แล้วค่อยให้เขาเริ่มพันธกิจ ไม่ต้องกังวลถ้าไม่มีใครแสดงความสนใจพันธกิจบางอย่าง สิ่งสำคัญสำหรับผู้นำคริสตจักรคือ การมีมุมมองในระยะยาวในเรื่องการพัฒนาคริสตจักร การเติบโตที่มั่นคงต้องใช้เวลา
ถ้าศึกษาพระธรรมกิจการ คุณจะพบว่าการจัดตั้งงานทุกครั้งเกิดขึ้นภายหลังการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีสักครั้งที่คุณจะพบว่าคนจัดตั้งงานรับใช้ขึ้นแล้วค่อยอธิษฐานว่า "พระเจ้า โปรดอวยพระพรความคิดริเริ่มของเรา" ตรงกันข้ามพระเจ้าจะเริ่มต้นโดยการทำงานในจิตใจคน แล้วงานรับใช้ก็จะเริ่มต้นขึ้นในขนาดเล็กและเมื่อเติบโตขึ้น เขาก็จะเริ่มวางโครงสร้างบางอย่างลงไป
นี่คือวิธีที่พันธกิจทุกอย่างในแซดเดิลแบ็คเริ่มขึ้น เช่น พันธกิจสตรี เริ่มจากกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่เคย์สอนในบ้านเรา มันเติบโตและขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดมีโครงสร้างและทีมงาน
กำหนดมาตราฐานขั้นต่ำและเสนอแนะแนวทาง
เป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณต้องกำหนดมาตราฐานขั้นต่ำสำหรับงานรับใช้ เพราะความตั้งใจดีนั้นยังไม่เพียงพอเมื่อคุณได้ทำงานกับมนุษย์ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีข้อกำหนดลักษณะงานสำหรับทุกตำแหน่งในแต่ละพันธกิจ มันบ่งบอกถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ทำงานต้องอุทิศเวลามากเท่าใด มีแหล่งทรัพยากรสนับสนุนอะไรบ้าง มีข้อห้ามอะไร สายการบังคับบัญชาและสายการสื่อสารเป็นอย่างไร และงานนี้คาดหวังผลอะไร
ให้คุณกำหนดมาตราฐานเหล่านี้อย่างชัดเจนและกระชับ อย่าดับอนาคตคนด้วยระเบียบวิธีและคณะกรรมการ ให้เขามีอิสระมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่คริสตจักรเราสมาชิกทุกคนที่ผ่านชั้น 301 และการสัมภาษณ์ SHAPE สามารถเริ่มพันธกิจใหม่ได้ตราบใดที่เขาตกลงจะทำตามแนวทางพื้นฐานสามประการ
แนวทางที่ 1 อย่าคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่คริสตจักรจะทำงานรับใช้ของคุณ คนมักจะพูดกันว่า "ฉันมีความคิดยอดเยี่ยมสำหรับคริสตจักรเรา" หรือ "เราควรทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ…" ผมมักจะขอให้เขาอธิบายให้ชัดเจนว่า คำว่า "เรา" ของเขานั้นหมายความว่าอะไร เพราะเมื่อคนพูดว่า "คริสตจักรควร…" เขามักจะหมายความว่า "ศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ควร…"
ครั้งหนึ่งมีคนบอกผมว่า "ผมมีภาระใจมากกับคนที่อยู่ในคุก ผมจึงไปที่นั่นและนำคนศึกษาพระคัมภีร์ ผมคิดว่า คริสตจักร ควรทำบางสิ่งสำหรับคนเหล่านั้น" ผมพูดกับเขาว่า "ผมฟังดูแล้วเหมือนกับว่าคริสตจักรก็ ได้ทำ บางสิ่งไปแล้วนะ คุณเองก็เป็นคริสตจักรนี่" สัปดาห์ถัดมาผมบอกทั้งคริสตจักรว่า "ผมปลดปล่อยพวกคุณทั้งหมดให้สามารถไปเยี่ยมคุก เลี้ยงคนหิวโหย แจกเสื้อผ้าคนยากจน และให้ที่พักแก่คนไม่มีบ้าน และพวกคุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไรผม ทำไปเลย จงเป็นตัวแทนของคริสตจักรในนามพระเยซู" พันธกิจนี้ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คอยสั่งการ จงช่วยให้สมาชิกตระหนักว่าพวกเขาคือ คริสตจักร
แนวทางที่ 2 พันธกิจต้องสอดคล้องกับความเชื่อ ค่านิยม และปรัชญาในการรับใช้ของคริสตจักร ถ้าคุณยอมให้มีงานรับใช้ที่มุ่งไปคนละทางกับเป้าหมายของคริสตจักร คุณกำลังเชื้อเชิญความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นประโยชน์กับคริสตจักร งานรับใช้เช่นนั้นจะขัดขวางสิ่งที่คุณพยายามทำ และอาจถึงกับทำลายคำพยานของคริสตจักรคุณด้วย
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราระมัดระวังเป็นพิเศษกับพันธกิจที่ได้รับการสนับสนุนร่วมจากองค์การภายนอกคริสตจักร บ่อยครั้งที่องค์การเหล่านี้มีความสนใจที่ต่างจากคริสตจักรเรา ซึ่งมักจะทำให้สมาชิกจงรักภักดีแบบสองจิตสองใจ
แนวทางที่ 3 ไม่อนุญาตให้มีการเรี่ยไรเงินสนับสนุน ถ้าคุณยอมให้พันธกิจทุกอย่างเรี่ยไรเงินเอง สนามหน้าคริสตจักรคุณจะกลายเป็นตลาดนัด จะมีคนรับล้างรถและขายคุ้กกี้เต็มไปหมด และการแข่งขันหาเงินจะเข้มข้น สมาชิกของคุณจะขุ่นเคืองกับจดหมายขอเงินและกลเม็ดการขายต่าง ๆ ดังนั้น งบประมาณกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคริสตจักรที่มีพันธกิจหลากหลาย ผู้นำของแต่ละพันธกิจควรยื่นเสนอความต้องการทางการเงินเพื่อให้พิจารณาในงบประมาณรวมของคริสตจักร
ยอมให้คนหยุดหรือเปลี่ยนงานรับใช้อย่างสง่างาม
ในบางคริสตจักร คุณจะออกจากงานรับใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณเสียชีวิต ออกจากคริสตจักร หรือสมัครใจจะใช้ชีวิตในความรู้สึกผิดอันใหญ่หลวง คุณจำเป็นต้องยอมให้คนหยุดปีสะบาโต หรือเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด บางครั้งสมาชิกอาจรู้สึกอิ่มตัวกับงานรับใช้เดิม หรือเขาอาจต้องการเปลี่ยนจังหวะชีวิต หรืออาจต้องการพักบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องพร้อมให้เขาโยกย้ายงาน
เราไม่เคยสวมกุญแจมือสมาชิกให้ติดอยู่กับงานใดงานหนึ่ง การตัดสินใจจะทำงานใดงานหนึ่งไม่ได้สลักแน่นไว้บนศิลา ถ้าบางคนไม่เป็นสุขหรือไม่เหมาะกับงานนั้น เราก็หนุนใจให้เขาเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องอับอายขายหน้า
ให้สมาชิกมีอิสระที่จะลอง ให้เขาลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง เหมือนที่ผมกล่าวก่อนหน้านี้ เราเชื่อว่าการลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง คือ วิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบของประทานของคุณ แม้เราจะเรียกร้องให้อุทิศเวลาหนึ่งปีในงานหนึ่ง แต่เราไม่เคยบีบบังคับให้เป็นอย่างนั้น ถ้าคนตระหนักว่าเขาไม่เหมาะ เราก็จะไม่ทำให้เขารู้สึกผิดที่จะลาออก เมื่อเราเรียกว่า "ลอง" เราก็สามารถหนุนใจให้เขาลองทำอย่างอื่นได้ ทุกปีระหว่างเดือนแห่งพันธกิจของสมาชิก เราจะหนุนใจทุกคนให้ลองงานรับใช้ใหม่ถ้าเขาไม่พอใจกับงานที่กำลังรับใช้อยู่
จงวางใจสมาชิก มอบหมายอำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ
เคล็ดลับในการจูงใจคนให้รับใช้นาน ๆ คือ การทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของงานนั้น ผมอยากย้ำเรื้องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คุณต้องยอมให้สมาชิกที่นำพันธกิจตัดสินใจเอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากคณะกรรมการใด ๆ เช่น ให้คนที่ทำพันธกิจเด็กอ่อนตัดสินใจเองว่าจะตกแต่งห้องอย่างไร จะเลือกเปลเด็กแบบไหน และจำนวนเท่าใด จะใช้ระบบนับเด็กเข้าออกอย่างไร คนที่อยู่ในงานจริง ๆ จะตัดสินใจโดยรู้ข้อมูลจริงมากกว่าคณะกรรมการบางคนที่พยายามควบคุมทุกสิ่งจากระยะไกล
คนเราตอบสนองต่อความรับผิดชอบ เขาจะพัฒนาและเติบโตเมื่อคุณวางใจเขา แต่ถ้าคุณปฏิบัติต่อเขาเหมือนทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คุณก็จะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อมนมเขาไปตลอดชีวิตคุณ เมื่อคุณให้อำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ คุณจะทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิก คนเรามักจะมีความคิดสร้างสรรค์เท่าที่โครงสร้างงานยอมให้เขาคิดเอง ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คให้มีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานสำหรับทุกพันธกิจของสมาชิก แต่เราพยายามหลีกทางให้สมาชิกมากที่สุดที่ทำได้
จงคาดหวังให้สมาชิกทำอย่างดีที่สุด และไว้วางใจให้เขารับผิดชอบงานรับใช้ คริสตจักรมากมายหวาดกลัว ไฟป่า ก็เลยดับกองไฟเล็ก ๆ ทุกกองที่จะทำให้คริสตจักรอบอุ่น ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล จงยอมให้คนอื่นทำผิดพลาดเสียบ้าง อย่ายืนกรานที่จะทำผิดพลาดทั้งหมดอยู่คนเดียว คุณจะดึงความสามารถที่ดีที่สุดของคนออกมาโดยการให้เขาทำงานที่ ท้าทาย ให้เขามีอำนาจ และให้เขาได้รับ ความดีความชอบ
ช่วงเริ่มแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เคย์และผมช่วยกันทำงานทุกอย่างในคริสตจักร ทุกอย่างจริง ๆ ครับ จัดห้องประชุม เก็บห้องประชุม พิมพ์สูจิบัตร ล้างห้องน้ำ ชงกาแฟ ทำป้ายชื่อ และอะไรอีกมากมาย ผมเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในโรงรถทั้งเปลเด็ก เครื่องเสียง และอื่น ๆ ทุกเช้าวันอาทิตย์ผมจะยืมรถบรรทุกมาขนทุกอย่างไปยังโรงเรียนที่เราเช่า ผมมักทำงานวันละ 15 ชั่วโมง และผมก็มีความสุขกับทุกนาที
แต่เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีอายุสองสามปี ผมก็รู้ตัวว่ากำลังหมดแรงคริสตจักรมีคนสองสามร้อย ผมก็ยังพยายามทำงานรับใช้ทุกอย่างในทุกรายละเอียด ไฟผมเริ่มมอด ทั้งด้านร่างกายและอารมณ์
ในการประชุมกลางสัปดาห์หนึ่ง ผมสารภาพกับสมาชิกว่าผมอ่อนล้า และไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้ คือ ทั้งนำคริสตจักรและมีส่วนในงานรับใช้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือเตรียมสมาชิกให้พร้อมสำหรับพันธกิจ ของพวกเขา ผมกล่าวว่า "ผมจะทำข้อตกลงกับคุณ ถ้าคุณตกลงทำงานรับใช้ของคริสตจักรนี้ ผมรับรองว่าคุณจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี" สมาชิกชอบข้อตกลงนี้และคืนนั้นเราลงนามในพันธสัญญาที่ว่า นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะทำพันธกิจและผมจะเลี้ยงดูและนำพวกเขา หลังจากการตัดสินใจครั้งนั้น คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เติบโตพรวดพราดทีเดียว
ตั้งแต่วันแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค แผนของผม คือ เอางานรับใช้ออกไปจากตัว และเมื่อใดก็ตามที่มีคริสตจักรเกิดใหม่ ศิษยาภิบาลก็มักจะยึดงานรับใช้ต่าง ๆ ไว้กับตัวในระยะแรก แต่เป้าหมาย คือ การทำให้คริสตจักรหลุดออกจากการพึ่งพาศิษยาภิบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น ผมจะมอบความรับผิดชอบทีละอย่างให้ผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกและเจ้าหน้าที่คริสตจักร ในปัจจุบันผมมีความรับผิดชอบหลักอยู่สองอย่าง คือ นำ และ เลี้ยงดู และแม้แต่สองอย่างนี้ผมก็มีทีมศิษยาภิบาลมาช่วยแบ่งเบาอีกหกคน ศิษยาภิบาลบริหารของเราช่วยผมในการนำคริสตจักร และทีมงานเทศนาก็ช่วยรับผิดชอบเรื่องเทศนา ทำไมผมจึงทำเช่นนี้ก็เพราะผมเชื่อจากส่วนลึกเลยว่า คริสตจักรไม่ใช่ที่สำหรับพระเอกฉายเดี่ยว
เราเคยเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับพันธกิจโดดเด่นที่อิงอยู่กับคนคนเดียว ถ้าคนนั้นตาย ย้าย หรือทำผิดทางศีลธรรม พันธกิจนั้นก็พังคลืนลงมา ถ้าผมตายในวันนี้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็จะเติบโตต่อไป เพราะมัน เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เคลื่อนไปด้วยบุคคล เราอาจสูญเสียพันคนที่ผมเรียกว่า "พวกติดนักเทศน์" คือ ผู้ร่วมประชุมที่ชอบฟังผมเทศน์ แต่เราก็ยังเหลือสมาชิกที่อุทิศตัว มอบถวายชีวิต และเป็นแกนของคริสตจักรอีกหลายพันคน
จัดให้มีการสนับสนุนที่จำเป็น
อย่าคาดหวังว่าคนจะประสบความสำเร็จโดยปราศจากการสนับสนุน คุณต้องลงทุนบางอย่างในพันธกิจของสมาชิกเสมอ
ให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ พันธกิจของสมาชิกจำเป็นต้องใช้เครื่องถ่ายเอกสาร กระดาษ อุปกรณ์ และแหล่งทรัพยากรหลายอย่าง และมักจะต้องใช้ห้องประชุม ในอาคารที่เราสร้างในอนาคตเราวางแผนจะจัดห้องใหญ่ให้เป็น "ตู้ฟักไข่สำหรับพันธกิจ" คือ แบ่งเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เป็นสัดส่วน สำหรับพันธกิจของพวกเขา เราถือว่าผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกมีความสำคัญเท่ากับเจ้าหน้าที่ที่รับเงินเดือน การจัดสถานที่ไว้สำหรับสมาชิกคือ การบอกเขาว่า "สิ่งที่คุณทำมีความสำคัญ"
ให้การสนับสนุนด้านการสื่อสาร จัดเตรียมหนทางที่คอยติดต่อสื่อสารกับผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิก อุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับสมาชิก (เช่น บัตรต้อนรับ การโทรศัพท์ถามไถ่ รายงานศิษยาภิบาลฆราวาส) ก็เป็นประโยชน์สำหรับงานนี้เช่นกัน
ให้การสนับสนุนในการทำให้เป็นที่รู้จัก เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้สมาชิกมองพันธกิจต่าง ๆ มีวิธีมากมายที่คุณจะทำให้พันธกิจต่าง ๆ เป็นที่รู้จัก เรามีคำแนะนำบางอย่างคือ
๐ ให้พันธกิจต่าง ๆ ตั้งโต๊ะไว้นอกห้องประชุมหรือในห้องสามัคคีธรรมทุกวันอาทิตย์ เพื่อคนจะมีโอกาสเห็นว่ามีพันธกิจอะไรบ้าง ถ้ามีที่ว่างไม่พอให้คุณสับเปลี่ยนหมุนเวียนการใช้พื้นที่
๐ ทำป้ายให้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้แต่ละคน เพื่อสมาชิกคนอื่น ๆ จะเห็นว่าใครทำงานรับใช้อะไร
๐ จัดงาน "พันธกิจ" เรามีงานนี้ปีละอย่าางน้อยสองครั้ง ทุกพันธกิจจะได้โฆษณาความสนใจ โครงการ และรายการของตน
๐ พิมพ์สูจิบัตรสำหรับพันธกิจทุกอย่างและเขียนบทความเกี่ยวกับพันธกิจต่าง ๆ ถ้าคุณมีจดหมายข่าว
๐ กล่าวถึงพันธกิจต่าง ๆ ในคำเทศนาของคุณ ใช้คำพยานเพื่อบอกว่าพันธกิจนั้น ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ให้การสนับสนุนด้านกำลังใจ แสดงความชื่นชมต่อคนที่รับใช้ในคริสตจักรทั้งในที่สาธารณะและเป็นส่วนตัว จัดรายการพิเศษเช่นงานเลี้ยงขอบคุณ หรือค่ายพักผ่อนสำหรับผู้นำ เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้รับใช้ที่เป็นแกนของคริสตจักร ให้รางวัลแก่ "ผู้ฆ่ายักษ์" สำหรับงานรับใช้ที่โดดเด่นในแต่ละเดือน
ตลอดทั้งบทนี้ผมใช้คำว่า "พันธกิจของสมาชิก" หรือ "งานรับใช้ของสมาชิก" เพื่อผู้อ่านจะไม่คิดว่าผมกำลังพูดถึงเจ้าหน้าที่รับเงินเดือน ความคิดที่ว่ามีคริสตจักรสองระดับ ผู้รับใช้ (พระ) และสมาชิก (ฆราวาส) เป็นผลงานของประเพณีโรมันคาธอลิกในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้รับใช้อาสาสมัครกับผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน เราต้องปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่ไม่รับเงินเดือนเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน
ย้ำนิมิตนี้อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้สมาชิกมองเห็นนิมิตแห่งงานรับใช้อยู่เสมอ สื่อสารถึงความสำคัญของพันธกิจของเขา เมื่อคุณเรียกคนสู่การรับใช้ ให้คุณเน้นถึงความสำคัญนิรันดร์ของการทำพันธกิจในพระนามของพระเยซู อย่าเรียกคนให้รับใช้โดยการกดดันหรือทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอันขาด สิ่งที่จูงใจคน คือ นิมิต ความรู้สึกผิดและการกดดันมีแต่จะทำให้เขาท้อถอย จงช่วยให้สมาชิกเห็นว่าไม่มีเป้าหมายใดยิ่งใหญ่เกินกว่าอาณาจักรของพระเจ้า (คือ แผ่นดินของพระเจ้า)
คุณจำหลักการของเนหะมีย์ที่ผมกล่าวในบทที่ 6 ได้ไหมครับ หลักการนี้บอกว่า นิมิตจะต้องมีการย้ำทุก ๆ 26 วัน เท่ากับประมาณเดือนละครั้ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้การประชุม SALT ของเรามีความสำคัญมาก เพราะในการประชุมนี้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ต้องการฟังผมย้ำเรื่องนิมิตและคุณค่าของงานรับใช้ ถ้าผมรู้สึกป่วยผมจะไม่ลังเลเลยที่จะให้คนอื่นพูดต่อหน้าฝูงชนนับหมื่นแทนผม แต่ถ้าจะให้ผมพลาดการพบปะกลุ่มแกนในการประชุม SALT ละก็ ต้องให้ผมถึงขั้นปางตายเสียก่อน เพราะมันเป็นโอกาสที่ผมจะเน้นย้ำเรื่องสิทธิพิเศษในการรับใช้พระคริสต์
ผมมักจะพูดกับสมาชิกว่า "ลองนึกดูว่าถ้าคุณตายไป แล้วอีกห้าสิบปีมีคนมาพูดกับคุณในสวรรค์ว่า "เราอยากขอบคุณคุณ" คุณบอกว่า "ขอโทษเถอะครับ ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณ" แล้วพวกเขาก็อธิบายว่า "คุณเป็นสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คุณรับใช้และเสียสละและสร้างคริสตจักรที่นำเรามาหาพระคริสตจักรหลังจากที่คุณตายแล้ว เราอยู่ในสวรรค์ได้ก็เพราะคุณ" คุณคิดว่าการทุ่มเทของคุณมีค่าขนาดนั้นไหมล่ะ"
ถ้าผมรู้วิธีลงทุนชีวิตที่มีความหมายมากกว่าการรับใช้พระเยซูคริสต์ ผมคงทำสิ่งนั้น แต่ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้ ดังนั้นผมจึงบอกคนอื่นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาจะทำในชีวิตคือ เข้าร่วมในคริสตจักร เข้าร่วมในงานรับใช้ และรับใช้พระคริสต์โดยการรับใช้ผู้อื่น ผลที่เกิดจากงานรับใช้ที่เขาทำเพื่อพระคริสต์จะคงอยู่นานแสนนานเกินกว่าอาชีพ งานอดิเรก หรือสิ่งอื่นใดที่เขาทำ
เคล็ดลับที่คริสตจักรเก็บงำไว้มิดชิดที่สุดคือ สมาชิกกำลังทุรนทุรายอยากทำให้ชีวิตเขาเกิดประโยชน์ พระเจ้าสร้างเรามาเพื่องารับใช้ คริสตจักรที่เข้าใจสิ่งนี้และเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนแสดงลักษณะของตนในงานรับใช้ ก็จะประสบกับชีวิตชีวา สุขภาพ และการเติบโตที่น่าทึ่ง ยักษ์หลับก็จะตื่นขึ้น และไม่มีใครอาจหยุดมันได้
เอเฟซัส 2:10
…เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของคริสต์ให้จำเริญขึ้น
เอเฟซัส 4:12
ครั้งหนึ่งนโปเลียนชี้ให้ดูแผนที่ประเทศจีนและกล่าวว่า "ที่นั่นยักษ์หลับ และถ้ามันตื่นขึ้นเมื่อไร จะไม่มีใครหยุดมันได้" ผมเชื่อว่าคริสตจักรก็เป็นยักษ์หลับ ทุกวันอาทิตย์ที่นั่งในคริสตจักรเต็มไปด้วยสมาชิกที่ไม่ทำอะไรกับความเชื่อของตนนอกจาก "รักษาไว้"
สำหรับคริสตจักรส่วนมาก ความหมายของคำว่า สมาชิกที่ "กระตือรือร้น" คือคนที่มาโบสถ์และถวายทรัพย์เป็นประจำ ไม่มีการคาดหวังอะไรมากกว่านั้น แต่พระเจ้ามีความคาดหวังมากกว่านั้นสำหรับคริสเตียนทุกคนใช้ของประทานและความสามารถพิเศษในการรับใช้ ถ้าเราสามารถปลุกและปลดปล่อยความสามารถ แหล่งทรัพยากร ความคิดสร้างสรรค์ และพลังจำนวนมหาศาลที่หลับไหลอยู่ในคริสตจักรท้องถิ่น คริสตศาสนาก็จะเติบโตรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความจำเป็นที่ย่ิงใหญ่ที่สุดของคริสตจักร คือ การปลดปล่อยสมาชิกไปสู่การรับใช้ การสำรวจของแกลลัปโพล ค้นพบว่าสมาชิกคริสตจักรเพียง 10% เท่านั้นที่กระตือรือร้นในงานรับใช้ส่วนตัว และ 50% ไม่สนใจในงานรับใช้ใด ๆ เลย ลองคิดดูสิครับ ไม่ว่าคริสตจักรจะส่งเสริมให้มีส่วนในงานรับใช้มากแค่ไหน สมาชิกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้ชม คนเหล่านี้คือคนที่บอกว่า "ผมไม่รู้สึกว่าพระเจ้า ทรงนำให้เข้าร่วม"
ข่าวที่ให้คาวมหวังคือ แกลลัปพบว่า 40% ของสมาชิก เคยแสดงความสนใจในงานรับใช้ แต่ไม่เคยมีใครขอให้เขาทำ หรือเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คนกลุ่มนี้แหละคือ ขุมทองที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราสามารถผลักดันคน 40% นี้ และเพิ่มเข้ากับ 10% ที่กำลังรับใช้อยู่แล้ว คริสตจักรก็จะมีสมาชิก 50% ทำงานรับใช้อย่างกระตือรือร้น จะน่ายินดีสักเพียงใดถ้าสมาชิกครึ่งหนึ่งของคุณทำงานเต็มที่ในงานรับใช้ของตน ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริง ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่คงคิดว่าเขาตายแล้วและกำลังอยู่ในสวรรค์
หลังการนมัสการครั้งหนึ่ง ผมคุยกับคนหนึ่งว่า เราต้องการคนที่จะถ่ายทำวีดิโอ เขาชี้ไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วบอกว่า "ทำไมไม่ขอเธอช่วยล่ะครับ" ผมเข้าไปทักทายเธอ เมื่อรู้จักชื่อแล้วก็ถามว่าเธอทำงานอะไร เธอตอบว่า "ฉันเป็นหัวหน้าการผลิตเทปโทรทัศน์ของวอลท์ ดิสนีย์" เธอมาร่วมนมัสการก่อนหน้านั้นเกือบปีแล้ว
อีกครั้งหนึ่ง ผมได้คุยกับอีกคนว่าเราต้องการนักจัดดอกไม้เพื่อตกแต่งเต็นท์สำหรับวันแม่ แล้วก็มีคนชี้ไปที่คนหนึ่งในฝูงชนแล้วบอกว่า "คนนั้นน่ะ เคยออกแบบรถบุปผชาติได้รางวัลมาหลายรายการ" เรื่องนี้ทำให้ผมกลัวว่าความสามารถเช่นนี้จะไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์เพราะความเขลาของผม
คริสตจักรของคุณไม่มีทางเข้มแข็งเกินกว่ากลุ่มสมาชิกที่เป็นแกนในงานรับใช้ คริสตจักรทุกแห่งต้องการระบบที่จงใจและวางแผนอย่างดี เพื่อช่วยให้สมาชิกค้นพบของประทานใช้และได้รับการสนับสนุนให้ใช้ คุณต้องกำหนดกระบวนการเพื่อจะนำคนสู่การอุทิศชีวิตที่ลึกซึ้งขึ้น และสู่งานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คือ กระบวนการทำให้สมาชิกกลายเป็นแกนในการรับใช้ เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า "นำคนไปสู่ฐานสาม" (ภาพเบสบอล)
คริสตจักรที่เชื่อเรื่องความรอดโดยส่วนมากเชื่อว่าสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้ หลายคริสตจักรถึงกับเน้นหนักเรื่องนี้ในการเทศนาและการสอน แต่สมาชิกส่วนมากก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมาโบสถ์และถวายทรัพย์ จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ผู้ฟังกลายเป็นกองทัพ คุณจะเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นผู้เล่นได้อย่างไร ในบทนี้ผมจะอธิบายระบบที่เราตั้งขึ้นเพื่อฝึกฝน เสริมกำลัง และปลดปล่อยสมาชิกไปสู่งานรับใช้
สอนพื้นฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้
ในหนังสือเล่มนี้ผมพยายามเน้นความสำคัญของการวางรากฐานพระคัมภีร์สำหรับทุกสิ่งที่คุณทำ ก่อนที่คุณจะสอนพวกเขาว่า "จะทำอย่างไร" คุณจำเป็นต้องบอกเขาก่อนว่า "ทำไมต้องทำ" จงลงทุนเวลาสอนสมาชิกให้รู้พื้นฐานพระคัมภีร์ตามบ้านและโอกาสอื่น ที่คุณสามารถเน้นย้ำเรื้องนี้ได้ ที่จริง คุณไม่ควร หยุด สอนว่าคริสเตียนทุกคนต้องมีงานรับใช้ของตน
เราสรุปสิ่งที่เราเชื่อในเรื่องการรับใช้ลงในแถลงการณ์พันธกิจ เรามีพื้นฐานจากโรม 12:1-8 เราเชื่อว่าคริสตจักรสร้างขึ้นบนเสาสี่ต้นแห่งพันธกิจของสมาชิก เราสอนความจริงสี่ประการนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ความจริงนี้ฝังลึกในใจสมาชิกของเรา
เสาต้นที่ 1 ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้รับใช้
ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนเป็นศิษยาภิบาล แต่พระเจ้าทรงเรียกผู้เชื่อทุกคนให้เข้าสู่งานรับใช้ พระเจ้าทรงเรียกให้ผู้เชื่อทุกคนปรนบัติรับใช้ผู้คนในโลกและคริสตจักร การรับใช้ในพระกายไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน ไม่มีอาสาสมัครในกองทัพของพระเจ้า พระองค์เกณฑ์เราทุกคนให้เข้าประจำการ
การเป็นคริสเตียนคือ การเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะ ปรนบัติ เขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" (มก. 10:45) การปรนบัติและการให้คือลักษณะสำคัญของชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ ซึ่งพระเจ้าคาดหวังจากผู้เชื่อทุกคน
ที่แซดเดิลแบ็คเราสอนว่าพระเจ้าทรง สร้าง คริสเตียนทุกคนเพื่องานรับใช้ (อฟ. 2:10) ทรงช่วยให้รอด เพื่องานรับใช้ (2 ทธ. 1:9) ทรงเรียก ให้รับใช้ (1 ปต. 2:9-10) ประทานของประทาน เพื่อรับใช้ (1 ปต. 4:10) ประทานสิทธิอำนาจเพื่อรับใช้ (มธ. 28:18-20) บัญชา ให้รับใช้ (20:26-28) คริสเตียนทุกคน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานรับใช้ (อฟ. 4:11-12) จำเป็นสำหรับงานรับใช้ (1 คร. 12:27) มีความรับผิดชอบ สำหรับงานรับใช้ และจะได้รับบำเหน็จ ตามการรับใช้ของตน (คส. 3:23-24)
เสาต้นที่ 2 งานรับใช้ทุกอย่างสำคัญ
ไม่มีใคร "เล็กน้อย" ในพระกายของพระคริสต์ และไม่มีงานรับใช้ใด "ไม่สำคัญ" งานรับใช้ ทุกอย่าง สำคัญ
แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์… และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ (1 คร. 12:18-22)
งานรับใช้บางอย่างเห็นเด่นชัด บางอย่างก็เป็นงานหลังฉาก แต่งานรับใช้ทุกอย่างมีคุณค่าเท่ากัน ในการประชุมฝึกฝนงานรับใช้ของเรา เราเน้นและยอมรับงานรับใช้ทุกชนิดเท่าเทียมกัน
บ่อยครั้งที่งานรับใช้เล็กทำให้อะไรดีขึ้นอย่างมากมาย หลอดไฟดวงสำคัญที่สุดในบ้านผมไม่ใช่โคมไฟใหญ่ในห้องอาหาร แต่เป็นหลอดไฟเล็กๆ ที่เปิดไว้ตลอดคืนเพื่อผมจะไม่เดินเตะอะไรแข็งๆ เวลาลุกไปห้องน้ำ (ภรรยาผมบอกว่าหลอดไฟ ดวงโปรดของผมคือ หลอดที่สว่างขึ้นเมื่อผมเปิดตู้เย็น)
เสาต้นที่ 3 เราพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ไม่เพียงแค่งานรับใช้ทุกอย่างมีความสำคัญ แต่งานรับใช้ทุกอย่างยังเกี่ยวพันกันและกันด้วย ไม่มีงานรับใช้ใดที่เป็นเอกเทศจากงานรับใช้อื่น และเนื่องจากไม่มีงานรับใช้ใดที่สามารถทำหน้าที่ของคริสตจักรอย่างครบถ้วนโดยตัวของมันเอง เราจึงต้องพึ่งพาและร่วมมือกันและกัน เหมือนกับรูปจิ๊กซอว์ ถ้าเราต้องการรูปที่สมบูรณ์ เราก็ต้องการทุกชิ้นส่วน และคุณมักจะมองเห็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายคุณทำหน้าที่ผิดเพี้ยน อวัยวะอื่นๆ ก็ประสบปัญหาไปด้วย ส่วนประกอบที่ขาดหายไปในคริสตจักรสมัยนี้ คือ ความเข้าใจเรื่องการพึ่งพาอาศัยกันและกัน เราต้องทำงานร่วมกัน เราจึงขจัดวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง และการเป็นอิสระไม่พึ่งพาใคร โดยแทนที่ด้วยแนวคิดจากพระคัมภีร์เรื่องการพึ่งพากันและกัน และดำเนินชีวิตร่วมกัน
เสาต้นที่ 4 การรับใช้คือการแสดงออกถึงลักษณะฝ่ายวิญญาณ
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีเอกลักษณ์ในการสอนเรื่องการรับใช้ เราอธิบายส่วนประกอบของงานรับใช้โดยใช้คำย่อที่มีความหมายว่ารูปร่าง (SHAPE) ตัว S คือของประทานฝ่ายวิญญาณ (spirtual gift) H คือ ใจ (heart) A คือ ความสามารถ (abilities) P คือ บุคลิกภาพ (personality) E คือ ประสบการณ์ (experience)
เมื่อพระเจ้าเนรมิตสร้างสัตว์ต่างๆ พระองค์ให้ความชำนาญเฉพาะกับสัตว์แต่ละชนิด บางชนิดวิ่ง บางชนิดกระโดด บางชนิดว่ายน้ำ บางชนิดขุดรู บางชนิดบิน สัตว์แต่ละชนิดมีบทบาทตามรูปลักษณะที่พระเจ้าสร้างมัน มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เราแต่ละคนได้รับการออกแบบที่ไม่เหมือนใครเพื่อจะทำหน้าที่ของเรา
การเป็นผู้รักขาที่ดีใช้ชีวิตอย่างฉลาด เริ่มต้นโดยการเข้าใจรูปลักษณะของคุณ พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นอะไร สิ่งนั้นจะกำหนดว่าพระเจ้าต้องการให้ทำ อะไร
ถ้าคุณไม่เข้าใจลักษณะของคุณ คุณก็จะลงเอยด้วยการทำสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยประสงค์ให้คุณทำ หรือไม่เคยออกแบบคุณเพื่อทำสิ่งนั้น เมื่อความสามารถของคุณไม่เหมาะกับบทบาทในชีวิตคุณ คุณจะรู้สึกเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมที่คนใส่ลงในรูกลม มันทำให้ทั้งคุณและคนอื่นอึดอัดไปหมด การกระทำอย่างนั้นไม่เพียงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่จำกัด มันยังเป็นการใช้ความสามารถ เวลาและกำลังมหาศาลไปอย่างไร้ประโยชน์ด้วย
พระเจ้าทรงแน่วแน่ในแผนการที่พระองค์มีไว้สำหรับชีวิตเรา พระองค์จะไม่ประทานความสามารถที่ติดตัวแต่เกิด อารมณ์ ความสามารถพิเศษ ของประทานฝ่ายวิญญาณ และประสบการณ์ชีวิต แล้วก็ปล่อยไว้โดยไม่ใช้มัน เมื่อเราค้นพบและเข้าใจส่วนประกอบห้าอย่างนี้ (SHAPE) เราก็สร้างค้นพบน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับชีวิตเราคือ หนทางที่พระองค์ประสงค์ให้เราแต่ละคนรับใช้พระองค์ และเมื่อคุณรับใช้การงานของคุณก็จะไหลล้นจากลักษณะที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมา
พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณเพื่องานรับใช้ตั้งแต่คุณเกิดมา แท้จริงพระองค์เริ่มปั้นคุณก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก
เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์โมทนาพระคุณของพระองค์เพราะพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์อัศจรรย์ พระองค์ทรงทราบข้าพระองค์ดี เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลี้ลับ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์ (สดุดี 139:13-19)
ของประทานฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประทานของประทานบางอย่างให้ผู้เชื่อแต่ละคน เพื่อให้ใช้ในงานรับใช้ (1 คร. 12; รม. 8; อฟ. 4) อย่างไรก็ตาม ของประทานฝ่ายวิญญาณก็เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของภาพทั้งหมด คริสเตียนมักเน้นเรื่องของประทานมากเกินไป จนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญเท่ากัน ความสามารถติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิดก็มาจากพระเจ้า ประสบการณ์และบุคลิกลักษณะของคุณก็เช่นกัน ของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นส่วนหนึ่ง ของน้ำพระทัยสำหรับพันธกิจของคุณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
คริสตจักรส่วนมากพูดว่า "จงค้นหาของประทานฝ่ายวิญญาณ แล้วคุณจะรู้ว่าคุณควรทำพันธกิจประเภทไหน" นี่เป็นการเดินย้อนศร ผมเชื่อว่ามันตรงกันข้าม คือให้คุณลองทำพันธกิจหลายๆ อย่าง แล้ว คุณก็จะค้นพบของประทานของคุณ ตราบใดที่คุณยังไม่มีส่วนในงานรับใช้ใด ๆ คุณจะไม่มีวันรู้ว่าคุณมีความสามารถด้านไหน คุณอาจอ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังสับสนว่าคุณมีของประทานด้านไหน
ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับ "วิธีค้นพบของประทาน" หรือแบบทดสอบทำนองนี้มากนัก เหตุผลประการแรกคือ วิธีค้นหาและการทดสอบเหล่านี้ต้องใช้การตั้งมาตรฐานเหมือน ๆ กันสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าพระเจ้าทำงานในชีวิตแต่ละคนด้วยวิธีแตกต่างกัน คนที่มีของประทานผู้ประกาศในคริสตจักรเราอาจใช้ของประทานในลักษณะที่ต่างจากบิลลี่ เกรแฮมใช้ก็ได้ ประการที่สอง ของประทานส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่นั้นไม่มีคำจำกัดความ ดังนั้น คำจำกัดความที่ใช้กันทุกวันนี้จึงมักจะคลุมเครือ จุกจิก และมีความลำเอียงไปตามแนวคิดของคณะนิกาย
ประการที่สามคือ ยิ่งผู้เชื่อเป็นผู้ใหญ่เท่าใด เขายิ่งมีแนวโน้มจะแสดงออกถึงของประทานหลายอย่าง เขาอาจแสดงออกถึงจิตใจของผู้ปรนนิบัติ หรือการให้ด้วยใจกว้างขวาง ซึ่งเกิดจากความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าการมีของประทาน
เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมลองใช้วิธีค้นพบของประทาน และพบว่าของประทานอย่างเดียวที่ผมมีคือ การพลีชีพ ผมคิดว่า "โอ วิเศษ ของประทานนี้ใช้ได้แค่หนเดียว" ผมอาจทำแบบทดสอบเป็นร้อยแบบ แต่ก็ไม่มีวันพบว่าผมมีของประทานในการเทศนาและการสอน ผมจะไม่มีวันพบ เพราะผมไม่เคยทำ ที่ผมพบก็หลังจากผมเริ่มยอมรับโอกาสที่จะพูด และเห็นผลที่เกิดขึ้น และมีคนอื่นช่วยยืนยัน แล้วผมจึงตระหนักว่า "พระเจ้าให้ของประทานเพื่อผมจะทำสิ่งนี้"
ใจ คำที่พระคัมภีร์ใช้สำหรับ หัวใจ แสดงถึงศูนย์กลางของแรงจูงใจ ความปรารถนา ความสนใจ และความชอบ ใจกำหนดสิ่งที่คุณพูด (มธ. 12:34) กำหนดให้รู้สึกอย่างที่คุณรู้สึก (สดด. 37:4) และกำหนดสิ่งที่คุณทำ (สภษ. 4:23)
เราทุกคนมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ต่างกัน เช่นเดียวกันพระเจ้าประทานจังหวะทางอารมณ์ที่แตกต่างกันในเราแต่ละคน เมื่อเราเผชิญกิจกรรม เรื่องราว หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เรามีการตอบสนองทางอารมณ์ต่างกัน เรามีสัญชาตญาณที่รู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องหนึ่ง แต่เฉย ๆ กับอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือการแสดงออกของหัวใจ
แนวโน้มด้านแรงจูงใจซึ่งพระเจ้าประทานให้คุณนั้น ทำหน้าที่เป็นระบบนำทางภายใน เพื่อการดำเนินชีวิตของคุณ มันกำหนดสิ่งที่คุณสนใจ และสิ่งที่ทำให้คุณพึงพอใจและอิ่มใจมากที่สุด มันยังกระตุ้นให้คุณแสวงหากิจกรรมบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่าง อย่าละเลยความสนใจตามธรรมชาติของคุณ น้อยคนนักที่จะทำได้ดีเยี่ยมในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมักจะเป็นคนที่ชอบสิ่งที่เขาทำ
พระเจ้ามีพระประสงค์ในการประทานความสนใจที่ติดตัวมาแต่เกิด จังหวะทางอารมณ์ของคุณจะเปิดเผยกุญแจที่สำคัญยิ่งในการทำความเข้าใจพระประสงค์สำหรับชีวิตคุณ พระเจ้าประทานหัวใจให้คุณ แต่คุณต้องเลือกว่าจะใช้มันสำหรับสิ่งดีหรือเลว จะใช้เพื่อเหตุผลที่เห็นแก่ตัว หรือใช้เพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น ซามูเอล 12:20 กล่าวว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน"
ความสามารถ สำหรับความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิด บางคนมีความสามารถตามธรรมชาติในเชิงถ้อยคำ เขาเกิดมาเพื่อพูด บางคนก็มีความสามารถเชิงกีฬา พวกเขาเป็นเลิศในการควบคุมร่างกายให้ทำงานประสานกัน บางคนเก่งเรื่องตัวเลข พวกเขาคิดในเชิงตัวเลข และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่สามารถเข้าใจแคลคูลัสได้
อพยพ 31:3 แสดงตัวอย่างที่พระเจ้าประทาน "สติปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในวิชาการทุกอย่าง" เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ ในกรณีนี้คือความสามารถเชิงศิลปะเพื่อสร้างพลับพลา เป็นเรื่องน่าสนใจที่พรสวรรค์ทางดนตรีไม่เคยมีการกล่าวถึงในฐานะ "ของประทานฝ่ายวิญญาณ" แน่นอนมันเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่พระเจ้าใช้ในการนมัสการ และน่าสนใจเช่นกันที่พระเจ้าประทานความสามารถในการหาเงิน "เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลัง (หรือความสามารถ) แก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้" (ฉธบ. 8:18)
สำหรับคนที่ไม่เข้าร่วมในงานรับใช้ ข้อแก้ตัวที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือ เขาไม่มีความสามารถอะไรจะให้ เรื่องนี้ห่างไกลความจริงชนิดสุดกู่ การศึกษาวิจัยในระดับชาติหลายครั้งพิสูจน์ว่า โดยเฉลี่ยคนเรามีความสามารถ 500 ถึง 700 อย่างปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ประการ ประการแรกคือ ต้องมีกระบวนการช่วยให้คนรู้จักความสามารถของตน คนส่วนมากกำลังใช้ความสามารถที่เขาไม่รู้ตัวว่าเขามี ประการที่สอง ต้องมีกระบวนการช่วยให้เขาใช้ความสามารถของตนในงานรับใช้ที่ถูกต้อง
ในคริสตจักรของคุณมีคนที่มีความสามารถสารพัด แต่หากไม่มีการนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมคน การศึกษาวิจัย การเขียน การออกแบบบริเวณ การเชิญชวนสัมภาษณ์ การตกแต่ง การปลูกต้นไม้ การสร้างความบันเทิง การซ่อมแซม การวาดเขียน หรือแม้แต่การทำอาหาร ความสามารถเหล่านี้ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า "งานรับใช้มีต่าง ๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน" (1 คร. 12:5)
บุคลิกภาพ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างคนด้วยแม่พิมพ์ พระองค์ชอบความหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่เก็บความรู้สึกและคนที่ชอบแสดงออก พระองค์สร้างคนที่ชอบงานประจำและคนที่ชอบงานหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่ทำงานตามลำพังได้ดี และสร้างคนที่ทำงานเป็นทีมได้ดี
พระคัมภีร์มีข้อพิสูจน์มากมายว่าพระเจ้าใช้คนทุกบุคลิก เปโตรเป็นคนช่างพูด เปิดเผย เปาโลเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว เยเรมีย์เป็นคนโศกเศร้า เมื่อคุณดูความแตกต่างทางบุคลิกภาพของสาวกสิบสองคน คุณก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมบางครั้งเขาจึงมีความขัดแย้งกัน
ไม่มีลักษณะอารมณ์ที่ "ถูก" หรือ "ผิด" สำหรับงานรับใช้ เราต่างต้องการบุคลิกภาพทุกแบบเพื่อให้คริสตจักรสมดุลและมีรสชาติ โลกคงน่าเบื่อพิลึกถ้าเราทุกคนเป็นรสวานิลลา ยังดีที่คนเรามีมากกว่าสามสิบเอ็ดรส
บุคลิกภาพของคุณจะมีผลต่อวิธีและสถานที่ที่คุณจะใช้ของประทาน และความสามารถต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น สองคนมีของประทานแห่งการประกาศเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ส่วนอีกคนช่างพูดช่างแสดงออก สองคนนี้ย่อมใช้ของประทานในลักษณะต่างกัน
ช่างไม้รู้ดีว่าเขาจะทำงานง่ายขึ้นเมื่อไม่ฝืนแนวลายไม้ เช่นเดียวกัน เมื่อคุณถูกบังคับให้รับใช้ในลักษณะอารมณ์ของคุณ คุณก็อาจเครียดและอึดอัดและต้องใช้ความพยายามและกำลังมากกว่าปกติ และไม่เกิดผลสูงสุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลอกเลียนงานรับใช้ของคนอื่นจึงไม่เคยใช้ได้ผล เพราะคุณไม่มีบุคลิกของเขา พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นคุณ คุณสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างของคนอื่น แต่คุณต้องกลั่นกรองบทเรียนนั้นและปรับให้เข้ากับลักษณะของคุณ
เมื่อคุณรับใช้ในลักษณะที่สอดคล้องกับบุคลิกที่พระเจ้าประทานให้ คุณก็จะอิ่มใจ พึงพอใจ และเกิดผล คุณจะรู้สึกเบิกบานเมื่อคุณทำสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้คุณทำ
ประสบการณ์ พระเจ้าไม่เคยให้ประสบการณ์สูญเปล่าแม้แต่อย่างเดียว โรม 8:28 ย้ำกับเราว่า "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งคือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราช่วยให้คนพิจารณาประสบการณ์ห้าประเภทซึ่งมีอิทธิพลกับรูปแบบงานรับใช้ที่เหมาะกับเขามากที่สุด (1) ประสบการณ์ทางการศึกษา วิชาอะไรที่คุณชอบที่สุด (2) ประสบการณ์การทำงาน งานใดบ้างที่คุณทำแล้วชอบ และได้ผล (3) ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ ช่วงเวลาใดในชีวิตที่มีความหมายหรือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างคุณกับพระเจ้า (4) ประสบการณ์การรับใช้ คุณเคยรับใช้พระเจ้าอย่างไรบ้าง (5) ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ปัญหา และการทดสอบใดที่คุณเรียนรู้จากมัน
ลักษณะของคุณมาจากการกำหนดของพระเจ้าเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ คุณจึงไม่ควรขุ่นเคืองหรือต่อต้าน "แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า "ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้" ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิจะเอาดินก้อนเดียวกันมาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ" (รม. 9:20-21) แทนที่จะพยายามเปลี่ยนลักษณะให้เหมือนคนอื่น คุณควรปีติยินดีในลักษณะที่พระเจ้าประทานให้
คุณจะเกิดผลมากที่สุดและทำให้งานรับใช้สำเร็จ เมื่อคุณใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและความสามารถในงานที่ใจคุณปราถนา และในลักษณะที่คุณแสดงออกถึงบุคลิกภาพและประสบการณ์ได้มากที่สุด การเกิดผลเกิดจากการรับใช้ในงานที่เหมาะสม
จัดโครงสร้างให้มีความคล่องตัว
หลังจากที่คุณสอนพื้นฐานทางพระคัมภีร์แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการสร้างพันธกิจของสมาชิก คือ การทำให้โครงสร้างคริสตจักรคล่องตัว เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่สมาชิกจำนวนมากไม่กระตือรือร้นในงานรับใช้ก็เพราะเขามัวยุ่งอยู่กับการประชุม จนไม่มีเวลาลงมือทำงานรับใช้จริง ผมนึกสงสัยบ่อย ๆ ว่าเราจะเหลืออะไรในคริสตศาสนาบ้าง ถ้าเราตัดการประชุมทั้งหมดออกไป พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ประชุม" แต่ถ้าคุณถามคนไม่เป็นคริสเตียนว่า เขาสังเกตเห็นอะไรในวิถีชีวิตเพื่อนบ้านที่เป็นคริสเตียนบ้าง เขาก็อาจตอบว่า "พวกเขาไปประชุมบ่อยนะ" เราอยากมีชื่อเสียงแบบนี้เหรอครับ
ผมเดาว่าคริสตจักรโดยเฉลี่ยจะมีสุขภาพดีขึ้น ถ้าหากยอมลดการประชุมลงครึ่งหนึ่ง เพื่อจะมีเวลามากขึ้นสำหรับการรับใช้และการประกาศโดยใช้ความสัมพันธ์ เหตุผลหนึ่งที่สมาชิกคริสตจักรไม่เป็นพยานกับเพื่อนบ้านก็เพราะเขาไม่รู้จักเพื่อนบ้าน พวกเขาอยู่แต่โบสถ์ เอาแต่ร่วมประชุม
เวลา คือ สมบัติที่มีค่าที่สุดที่คนสามารถให้แก่คริสตจักร เนื่องจากทุกวันนี้คนมีเวลาว่างน้อยลง เราจึงต้องใช้เวลาที่เขามอบให้คริสตจักรอย่างดีที่สุด ถ้าสมาชิกคนหนึ่งมาหาผมแล้วบอกว่า "อาจารย์ครับ ผมสามารถให้สี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่องานรับใช้ของคริสตจักร" สิ่งสุดท้าย ที่ผมจะทำ คือ ตั้งเขาให้เป็นคณะกรรมการ เพราะผมอยากให้เขาเข้าร่วมในงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา
จงสอนให้สมาชิกของคุณรู้ความแตกต่างระหว่างงานบำรุงรักษากับงานรับใช้ งานบำรุงรักษาคือ "งานคริสตจักร" เช่น งานคิดงบประมาณ งานอาคาร งานเกี่ยวกับองค์กรคริสตจักร แต่งานรับใช้คือ "หน้าที่ของคริสตจักร" ยิ่งคนมาร่วมในการตัดสินใจเรื่องงานบำรุงรักษามากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลาเขาสูญเปล่ามากเท่านั้น และทำให้เขาไม่มีเวลารับใช้ และเปิดโอกาสให้เกิดความขัดแย้ง งานบำรุงรักษายังทำให้คนคิดว่าเขารับผิดชอบหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้วเมื่อเขาออกเสียงลงมติในกิจการของคริสตจักร
ความผิดพลาดที่พบบ่อยในหลายคริสตจักร คือ เขาเอาคนที่ฉลาดและดีที่สุดไปอยู่ในระบบราชการ คือ ให้เข้าประชุมมากขึ้น คุณจะทำให้ชีวิตคนแห้งเหือดถ้าคุณจัดตารางเวลาให้เขามีแต่การประชุม ที่แซดเดิลแบ็คเราไม่มีคณะกรรมการ แต่เรามีพันธกิจ 79 อย่างสำหรับสมาชิก
อะไรคือความแตกต่างกันระหว่างคณะกรรมการและพันธกิจสำหรับสมาชิก คำตอบคือ คณะกรรมการนั่งอภิปราย แต่พันธกิจลงมือทำ คณะกรรมการโต้เถียง แต่พันธกิจกระทำ คณะกรรมการบำรุงรักษา แต่พันธกิจลงมือรับใช้ คณะกรรมการการคุยและพิจารณา แต่พันธกิจปรนนิบัติและเอาใจใส่ คณะกรรมการคุยกันเรื่องความต้องการ แต่พันธกิจตอบสนองความต้องการ
คณะกรรมการยังตัดสินใจในเรื่องที่เขาคาดหวังให้คนอื่นนำไปปฏิบัติ ที่แซดเดิลแบ็ค ผู้ปฏิบัติก็คือผู้ตัดสินใจเรื่องพันธกิจนั้นเอง เราไม่แบ่งแยกสิทธิอำนาจออกจากความรับผิดชอบ แต่เราวางใจสมาชิกในทั้งสองสิ่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการ เราไม่ให้คนที่ไม่ทำงานมีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจ
แล้วที่แซดเดิลแบ็คใครทำงานบำรุงรักษาล่ะ ก็คือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนนี่เป็นวิธีที่เราไม่ทำให้เวลาอันมีค่าของสมาชิกสูญเปล่า สมาชิกพอใจมากที่เวลาที่เขาให้นั้นได้นำไปใช้ในงานรับใช้จริง ๆ
ผมแน่ใจว่าคุณคิดว่า นี่ช่างเป็นวิธีที่ตกขอบเสียจริง ๆ แซดเดิลแบ็คได้รับการวางโครงสร้าง ตรงข้ามกับคริสตจักรส่วนมากอย่างสิ้นเชิง ในคริสตจักรส่วนมากนั้นสมาชิกทำงานบำรุงรักษา (ธุรการ) ขณะที่ศิษยาภิบาลทำงานรับใช้ ไม่น่าแปลกใจที่คริสตจักรนั้นไม่สามารถเติบโตได้ ในที่สุดเขาจะหมดไฟ และต้องย้ายไปรักษาตัวที่คริสตจักรอื่น
หนังสือเล่มนี้ไม่มีเป้าหมายที่จะแบ่งปันความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับโครงสร้างคริสตจักรตามพระคัมภีร์ แต่ผมขอให้คุณพิจารณาคำถามนี้ คือ คำเหล่านนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง คณะกรรมาธิการ การเลือกตั้ง การตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ คณะกรรมการ ไม่มีสักคำที่ปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ เรานำเอาระบบรัฐบาลอเมริกาใช้กับคริสตจักรและผลก็คือ คริสตจักรส่วนมากจมปลักอยู่ในระบบราชการเหมือนกับรัฐบาลของเรา (อเมริกา) จะทำอะไรให้เสร็จสักอย่างก็ต้องใช้เวลาชั่วนิจนิรันดร์ โครงสร้างจากฝีมือมนุษย์เป็นอุปสรรคขัดขวางคริสตจักรไม่ให้มีสุขภาพแข็งแรง ผลของมันใหญ่หลวงเกินที่เราจะคิดได้
โครงสร้างลักษณะนี้ไม่เพียงทำให้คริสตจักรไม่เติบโต มันก็ยังควบคุม อัตรา และปริมาณ การเติบโตด้วย ในที่สุดคริสตจักรทุกแห่งต้องตัดสินใจว่าจะจัดโครงสร้างเพื่อ การควบคุม หรือจัดโครงสร้างเพื่อ การเติบโต นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับคริสตจักรคุณ ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรเติบโต ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกต้องยอมสละ อำนาจควบคุม สมาชิกต้องยอมสละอำนาจควบคุมด้าน ภาวะผู้นำ และศิษยาภิบาลต้องสละอำนาจควบคุมใน งานรับใช้ มิเช่นนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกลายเป็นคอขวดสกัดการเติบโต
เมื่อคริสตจักรมีคนมากกว่า 500 คน คน ๆ เดียวหรือคณะกรรมการไม่อาจล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ ผมไม่รู้ทุกเรื่องในคริสตจักรแซดเดิลแบ็คหลายปีแล้ว และผมไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกเรื่อง คุณอาจถามว่า "แล้วคุณควบคุมคริสตจักรได้อย่างไร" ผมก็จะตอบว่า "ผมไม่ควบคุม หน้าที่ของผมไม่ใช่ควบคุม แต่เป็น การนำคริสตจักร" การนำและการควบคุมต่างกันลิบลับ ทีมศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ของเรารับผิดชอบปกป้องคริสตจักรให้มีหลักข้อเชื่อถูกต้อง และมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่การตัดสินใจประจำวันเป็นหน้าที่ของสมาชิกที่ลงมือทำงานรับใช้ของคริสตจักร
ถ้าคุณจริงจังกับการผลักดันสมาชิกสู่งานรับใช้ คุณต้องทำให้โครงสร้างคล่องตัว เพื่อทำให้เกิดงานรับใช้มากที่สุด มีงานบำรุงรักษาน้อยที่สุด ยิ่งคริสตจักรคุณมีวัสดุอุปกรณ์สำหรับงานด้านองค์กรมากเท่าใด คุณต้องใช้เวลา แรงงาน และเงินมากเท่านั้นเพื่อบำรุงรักษา ส่วนเวลา แรงงาน และเงินมีค่า ควรใช้มันในพันธกิจกับผู้คนมากกว่า
ถ้าคุณปลดปล่อยคนไปสู่งานรับใช้ และปล่อยเขาจากงานบำรุงรักษา คุณจะสร้างคริสตจักรที่มีความสุข และรักใคร่กลมเกลียวยิ่งกว่าเดิม และจะมีขวัญกำลังใจดีขึ้นด้วย สมาชิกจะอิ่มใจเมื่อเขาทำงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา การยอมให้พระเจ้าใช้คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตคน จะทำให้ทัศนคติของคุณเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ในสงคราม คุณจะพบว่า คนที่มีขวัญกำลังใจและมิตรภาพความผูกพันมากที่สุด คือ คนที่อยู่แนวหน้า คุณจะไม่มีเวลาโต้เถียงหรือพร่ำบ่นเมื่อคุณกำลังวิ่งหลบลูกกระสุน อย่างไรก็ตาม ถอยหลังไปอีกสิบไมล์ ทหารแนวหลังบ่นพึมพัมเรื่องอาหาร น้ำอาบ และการขาดสิ่งบันเทิง สถานการณ์ไม่ได้แย่เหมือนแนวหน้าสักนิด แต่คนเหล่านั้นช่างวิพากษ์วิจารณ์ ผมมักจะพบว่าเขาไม่มีส่วนในงานรับใช้ คนขี้บ่นที่สุดในคริสตจักรมักจะเป็นกรรมการที่ไม่มีอะไรจะทำ
นาน ๆ ครั้งคุณอาจจำเป็นต้องมีคณะกรรมการจริง ๆ เพื่อศึกษาบางเรื่อง ให้คุณตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษา ซึ่งมีภาระกิจชัดเจน มีกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ให้กำหนดเวลาที่คณะกรรมการนี้จะสลายตัวไป คณะกรรมการส่วนมากเสียพลังงานสมองเปล่า ๆ กับการประชุมตามตารางเวลา แต่ไม่มีความจำเป็น
อย่าใช้วิธีลงคะแนนเสียงสำหรับตำแหน่งในงานรับใช้
มีเหตุผลบางประการที่แซดเดิลแบ็คไม่เคยลงคะแนนเสียงเพื่อรับรองคนที่มาทำงานในพันธกิจของสมาชิก
เพื่อหลีกเลี่ยงการประกวดประชัน ถ้าคุณใช้การลงคะแนนเสียง คุณจะกีดกันคนทั้งหมดที่กลัวถูกปฏิเสธ คนขี้อายหรือขาดความมั่นใจจะไม่มีวันอาสาทำงานรับใช้เพราะกลัวว่าคณะกรรมการ หรือสมาชิกจะปฏิเสธ
พันธกิจใหม่มักจำเป็นต้องพัฒนาไปช้า ๆ ถ้าคุณทำให้พันธกิจใหม่เป็นจุดสนใจตั้งแต่แรก มันอาจตายได้ แค่คำพูดแง่ลบจากคนที่มีอิทธิพลเพียงคนเดียว ก็ถอนรากพันธกิจนี้ได้ตั้งแต่ใบแรกของมันยังไม่ผลิ
สมาชิกใหม่จะเข้าร่วมได้เร็วกว่า การลงคะแนนเสียงทำให้สมาชิกใหม่เสียเปรียบ สมาชิกใหม่อาจมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด แต่เขาอาจไม่เป็นที่รู้จักของคณะกรรมการที่ควบคุมกระบวนการแต่งตั้ง ผมเห็นคนมีของประทานหลายคนถูกกีดกันจากงานรับใช้เป็นปี ๆ เพราะเขาไม่ใช่คนวงใน คือกลุ่มสมาชิกเก่าแก่
คุณสามารถหลีกเลี่ยงการได้คนที่สนใจตำแหน่งนั้นเพียงเพราะอำนาจและเกียรติ เมื่อคุณไม่ใช้การลงคะแนนเสียง คุณก็จะดึงดูดคนที่สนใจจะรับใช้จริง ๆ แทนที่จะได้คนที่ต้องการเพียงตำแหน่ง ครั้งหนึ่งมีคนมาบ่นกับผมว่า "ผมออกจากคริสตจักรเดิมเพราะต้องการเป็นประธานคณะกรรมการ แต่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่มีคณะกรรมการอะไรซักอย่าง" อย่างน้อยเขาก็จริงใจ เขาพบคริสตจักรที่เขาจะมีตำแหน่งโก้หรู และเป็นกบใหญ่ในบึงเล็ก เขาไม่ได้สนใจงานรับใช้เลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแต่อำนาจ
ถ้าคนล้มเหลว คุณก็ถอดถอนได้ง่าย ถ้าคุณเลือกตั้งกันต่อหน้าสาธารณชน คุณจำเป็นต้องถอดถอนเขาต่อหน้าสาธารณชน ถ้าเข้าไม่มีศักยภาพ หรือทำผิดในเรื่องศีลธรรม ในโลกปัจจุบัน การถอดถอนแบบนั้นสามารถกลายเป็นเผือกร้อนด้านการเมือง ความสัมพันธ์ หรือกฏหมายได้ คนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังบางคนอาจเลือกทำให้คริสตจักรแตกแทนที่จะยอมสละตำแหน่ง เขาอาจพาเพื่อนฝูงเรียงแถวกันเข้าข้างเขา แต่ถ้าคุณไม่ใช้วิธีลงคะแนนเสียงตั้งแต่ต้น คุณก็สามารถจัดการกับความล้มเหลวแบบเป็นส่วนตัวได้
คุณสามารถตอบสนองต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งเกิดมีความคิดดี ๆ เรื่องการรับใช้ คริสตจักรไม่ควรต้องรอจนถึงการประชุมธุรกิจคริสตจักรครั้งต่อไป ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค บางครั้งเราก็จัดตั้งพันธกิจใหม่ทันทีหลังจบการนมัสการ เนื่องจากบางสิ่งที่ผมพูดในการเทศนา คนที่สนใจจับกลุ่มคุยกันที่ลานด้านหน้า แล้วงานก็เริ่มขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย
ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับผม "เราจำเป็นต้องมีพันธกิจอธิษฐาน" ผมบอก "ผมเห็นด้วยครับ คุณนี่แหละ" เธอถามว่า "แล้วไม่ต้องมีการเลือกตั้งหรือผ่านกระบวนการอะไรเลยเหรอคะ" เธอคิดว่าเธอต้องผ่านขั้นตอนทางการเมืองก่อน ผมบอกเธอว่า "แน่นอนครับ ไม่ต้องเลย แค่ประกาศในสูจิบัตรแล้วก็เริ่มเลย" แล้วเธอก็ทำตามนั้น
อีกครั้งหนึ่งมีคนพูดกับผมว่า "เราจำเป็นต้องมีกลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย" ผมตอบว่า "ความคิดดีมาก คุณเริ่มทำเลยสิครับ" แล้วเขาก็เริ่ม อีกคนบอกผมว่า "ผมสอนไม่เป็น ร้องเพลงไม่เป็น แค่ผมเก่งเรื่องซ่อมบ้านแล้วก็งานไม้เล็ก ๆ ผมอยากเริ่มพันธกิจรับซ่อมบ้านฟรีสำหรับแม่ม่ายในคริสตจักรเรา" ประเด็นสำคัญก็คือ คุณไม่ควรต้องลงคะแนนเสียงว่าคนจะใช้ของประทานของเขาในพระกายของพระคริสตจักรได้หรือไม่ เมื่อใดก็ตามที่มีคนแสดงความปราถนาจะรับใช้ เราก็เริ่มจัดให้เขาทำงานทันที
เริ่มกระบวนการจัดคนเข้าทำพันธกิจ
การนำสมาชิกเข้าสู่งานรับใช้ควรเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำพิเศษเป็นครั้งคราว ที่ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของแซดเดิลแบ็ค เรามีสามส่วนที่สำคัญยิ่ง
ชั้นเรียนประจำเดือน แต่ละเดือน เรามีชั้นเรียน 301 ชื่อ "วิธีค้นพบพันธกิจของตน" เป็นชั้นเรียนยามสี่ชั่วโมง ซึ่งสอนให้คนรู้พื้นฐานทางพระคัมภีร์เกี่ยวกับงานรับใช้ แนวคิดที่เราเรียกว่า SHAPE และโอกาสมากมายในการรับใช้ที่แซดเดิลแบ็คโดยสอนทุกบ่ายวันอาทิตย์ที่สองของเดือน จากบ่ายสี่ถึงทุ่มครึ่ง เรามีอาหารฟรีสำหรับคนที่เข้าเรียนด้วย นี่เป็นชั้นเรียนต่อเนื่องจากชั้น 101 (สมาชิกใหม่) และ 201 (ความเป็นผู้ใหญ่) เราทำให้ชั้นเรียนเหล่านี้เด่นชัดสำหรับสมาชิก และทำการเชิญชวนอย่างมากด้วย
กระบวนการจัดสรรคน กระบวนการจัดสรรคนของเรามี 6 ขั้นตอน (1) เข้าเรียนชั้น 301 (2) อุทิศตนให้การรับใช้และลงนามในพันธสัญญาพันธกิจของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค (3) กรอกข้อมูล SHAPE (4) สัมภาษณ์ส่วนตัวกับที่ปรึกษาด้านพันธกิจเพื่อจะรู้สามหรือสี่แนวทางที่เป็นไปได้ในการรับใช้ (5) พบเจ้าหน้าที่หรือสมาชิกที่เป็นผู้นำ ซึ่งดูแลพันธกิจที่คุณสนใจ (6) ได้รับการประกาศต่อสาธารณชนในการประชุม SALT
กระบวนการจัดสรรคนของคุณควรจะเน้นที่การเสริมสร้างคนให้มีพลัง ไม่ใช่ทำให้มีตำแหน่งครบ ถ้าคุณให้ความสำคัญกับลักษณะของคน แทนที่จะให้ความสำคัญกับความต้องการของสถาบัน คุณจะประสบความสำเร็จสูงกว่าในการนำคนเข้าสู่งานรับใช้ จำไว้ว่างานรับใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน ไม่ใช่รายการ
เจ้าหน้าที่ที่จะบริหารกระบวนการนี้ สมาชิกต้องการความสนใจและการชี้แนะเป็นส่วนตัว เมื่อเขาพยายามค้นหาว่าพระเจ้าสร้างเขาเพื่อพันธกิจใด เพียงแค่สอนในชั้นเรียนจะไม่ช่วยให้สิ่งนี้สำเร็จ สมาชิกแต่ละคนสมควรได้รับคำปรึกษาส่วนตัว
ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คนำโดยศิษยาภิบาลด้านงานรับใช้ และอาสาสมัครในทีมงานของเขา พวกเขาสัมภาษณ์คนที่กรอกข้อมูล SHAPE เสร็จแล้ว เพื่อช่วยให้เขาพบงานรับใช้ที่เหมาะสมที่สุด พวกเขายังช่วยแนะนำสมาชิกที่ต้องการเริ่มพันธกิจใหม่ ๆ ด้วย ถ้าผมตั้งคริสตจักรใหม่ในวันนี้ สิ่งหนึ่งที่จะทำเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือ หาอาสาสมัครที่เหมาะสมสำหรับงานสัมภาษณ์ แล้วฝึกเขาให้สามารถทำหน้าที่สำคัญยิ่งนี้ คุณไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือน แต่คุณจำเป็นต้องมีคนที่มีบุคลิกภาพและทักษะที่เหมาะสมสำหรับหน้าที่นี้
จัดให้มีการฝึกฝนในงานรับใช้จริง
เมื่อคนเริ่มทำงานรับใช้ เขาจำเป็นต้องฝึกทำงานจริง การฝึกงานจริงนั้นสำคัญและมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกนอกงานจริงหลายเท่า ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเรามีการฝึกนอกงานจริงน้อยมาก เพราะรู้สึกว่าสมาชิกจะยังไม่รู้แม้แต่จะถามอะไรจนกว่าเขาจะเข้าร่วมในงานรับใช้จริง ๆ
อีกเหตุผลที่เราไม่ใช้การฝึกนอกงานจริง ก็เพราะเราต้องการให้คนมีส่วนในงานรับใช้จริงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฝึกนอกงานจริงที่ยาวนานจะทำให้คนสูญเสียความกระตือรือร้นแรกเริ่ม มันทำให้เขาเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำ ผมพบว่าคนที่เต็มใจจะฝึกห้าสิบสองสัปดาห์ ก่อน ลงมือทำ เวลาทำจริงมักไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เขามีแนวโน้มจะเป็นนักศึกษาอาชีพที่ชอบเรียนวิชาการรับใช้มากกว่าจะลงมือทำ เราต้องการให้คนกระโจนลงน้ำทันที เมื่อเขาจะมีแรงจูงใจให้เรียนว่ายน้ำ วิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือ เริ่มต้น
แกนกลางพันธกิจฆราวาสของเรา คือ การประชุม SALT เป็นการอบรมนานสองชั่วโมง จัดในค่ำวันอาทิตย์แรกของเดือนสำหรับกลุ่มแกนของคริสตจักรเรา วาระประชุม SALT ประกอบด้วยการนมัสการยาว ๆ และใคร่ครวญ การแนะนำพันธกิจทั้งหมด คำพยานจากการทำงาน การแต่งตั้งผู้รับใช้ฆราวาสใหม่ การอธิษฐานเป็นกลุ่มข่าว "วงใน" ของคริสตจักร การฝึกงานรับใช้ คำเทศนา "นิมิต" โดยผมเองพูดถึงค่านิยมของเรา นิมิตของเรา และลักษณะนิสัยและทักษะที่จำเป็นสำหรับงานรับใช้ คำเทศนาสำหรับผู้นำฆราวาสนี้เรียกว่า "การยกระดับผู้นำ" และบันทึกเทปไว้เพื่อคนที่พลาดการประชุมจะหาฟังได้ ในการประชุม SALT เรายังให้รางวัล "ผู้ฆ่ายักษ์" ประจำเดือนแก่พันธกิจที่จัดการกับปัญหาใหญ่ที่สุดในเดือนที่ผ่านมา
นอกจากการประชุม SALT สถาบันพัฒนาชีวิตของเรายังมีชั้นฝึกอบรมหลากหลายสำหรับพันธกิจที่เจาะจง ชั้นเรียนระดับ 300 สอนทักษะต่าง ๆ ในการรับใช้ และฝึกคนให้พร้อมรับใช้ในพันธกิจหลากหลายของคริสตจักรเรา เช่น ชั้นเรียน 302 ชื่อว่า "ถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำกลุ่มย่อย" เรายังมีการฝึกอบรมสำหรับพันธกิจอนุชน เด็ก ดนตรี การให้คำปรึกษา และการเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส และอื่น ๆ อีกมากมาย
อย่าเริ่มพันธกิจโดยปราศจากผู้รับใช้
เราไม่เคยตั้งตำแหน่งรับใช้ไว้ก่อนแล้วหาคนมาลงทีหลัง มันจะไม่ได้ผลปัจจัยสำคัญที่สุดของพันธกิจใหม่ไม่ใช่ ความคิด แต่เป็น ผู้นำ พันธกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ ถ้าไม่มีผู้นำที่เหมาะสม พันธกิจคุณก็จะได้แต่ล้มลุกคลุกคลานและอาจทำความเสียหายมากกว่าประโยชน์ก็ได้
จงวางใจในจังหวะเวลาของพระเจ้า เจ้าหน้าที่ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่เคยเริ่มพันธกิจใหม่ เราอาจเสนอความคิด แต่เราปล่อยความคิดนั้นไว้จนกว่าพระเจ้าจะประทานคนที่เหมาะสมมานำพันธกิจนั้น ผมแบ่งปันก่อนหน้านี้ว่าเราไม่มีพันธกิจอนุชนจนเรามีผู้ร่วมประชุมเกือบ 500 คน และเราไม่มีพันธกิจคนโสดจนเรามีเกือบ 1,000 คนร่วมประชุม ทำไมเหรอครับ ก็เพราะจนถึงเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ประทานผู้นำให้เรา
เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องไม่ผลักไสคนเข้าสู่งานรับใช้ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะติดชะงักอยู่กับปัญหาเรื่องแรงจูงใจไปตลอดชีวิตของพันธกิจนั้น คริสตจักรเล็ก ๆ ส่วนมากมักรีบร้อนและพยายามทำมากเกินไป แทนที่จะทำอย่างนั้น ให้คุณอธิษฐานและคอยให้พระเจ้าประทานคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำพันธกิจนั้น แล้วค่อยให้เขาเริ่มพันธกิจ ไม่ต้องกังวลถ้าไม่มีใครแสดงความสนใจพันธกิจบางอย่าง สิ่งสำคัญสำหรับผู้นำคริสตจักรคือ การมีมุมมองในระยะยาวในเรื่องการพัฒนาคริสตจักร การเติบโตที่มั่นคงต้องใช้เวลา
ถ้าศึกษาพระธรรมกิจการ คุณจะพบว่าการจัดตั้งงานทุกครั้งเกิดขึ้นภายหลังการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีสักครั้งที่คุณจะพบว่าคนจัดตั้งงานรับใช้ขึ้นแล้วค่อยอธิษฐานว่า "พระเจ้า โปรดอวยพระพรความคิดริเริ่มของเรา" ตรงกันข้ามพระเจ้าจะเริ่มต้นโดยการทำงานในจิตใจคน แล้วงานรับใช้ก็จะเริ่มต้นขึ้นในขนาดเล็กและเมื่อเติบโตขึ้น เขาก็จะเริ่มวางโครงสร้างบางอย่างลงไป
นี่คือวิธีที่พันธกิจทุกอย่างในแซดเดิลแบ็คเริ่มขึ้น เช่น พันธกิจสตรี เริ่มจากกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่เคย์สอนในบ้านเรา มันเติบโตและขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดมีโครงสร้างและทีมงาน
กำหนดมาตราฐานขั้นต่ำและเสนอแนะแนวทาง
เป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณต้องกำหนดมาตราฐานขั้นต่ำสำหรับงานรับใช้ เพราะความตั้งใจดีนั้นยังไม่เพียงพอเมื่อคุณได้ทำงานกับมนุษย์ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีข้อกำหนดลักษณะงานสำหรับทุกตำแหน่งในแต่ละพันธกิจ มันบ่งบอกถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ทำงานต้องอุทิศเวลามากเท่าใด มีแหล่งทรัพยากรสนับสนุนอะไรบ้าง มีข้อห้ามอะไร สายการบังคับบัญชาและสายการสื่อสารเป็นอย่างไร และงานนี้คาดหวังผลอะไร
ให้คุณกำหนดมาตราฐานเหล่านี้อย่างชัดเจนและกระชับ อย่าดับอนาคตคนด้วยระเบียบวิธีและคณะกรรมการ ให้เขามีอิสระมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่คริสตจักรเราสมาชิกทุกคนที่ผ่านชั้น 301 และการสัมภาษณ์ SHAPE สามารถเริ่มพันธกิจใหม่ได้ตราบใดที่เขาตกลงจะทำตามแนวทางพื้นฐานสามประการ
แนวทางที่ 1 อย่าคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่คริสตจักรจะทำงานรับใช้ของคุณ คนมักจะพูดกันว่า "ฉันมีความคิดยอดเยี่ยมสำหรับคริสตจักรเรา" หรือ "เราควรทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ…" ผมมักจะขอให้เขาอธิบายให้ชัดเจนว่า คำว่า "เรา" ของเขานั้นหมายความว่าอะไร เพราะเมื่อคนพูดว่า "คริสตจักรควร…" เขามักจะหมายความว่า "ศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ควร…"
ครั้งหนึ่งมีคนบอกผมว่า "ผมมีภาระใจมากกับคนที่อยู่ในคุก ผมจึงไปที่นั่นและนำคนศึกษาพระคัมภีร์ ผมคิดว่า คริสตจักร ควรทำบางสิ่งสำหรับคนเหล่านั้น" ผมพูดกับเขาว่า "ผมฟังดูแล้วเหมือนกับว่าคริสตจักรก็ ได้ทำ บางสิ่งไปแล้วนะ คุณเองก็เป็นคริสตจักรนี่" สัปดาห์ถัดมาผมบอกทั้งคริสตจักรว่า "ผมปลดปล่อยพวกคุณทั้งหมดให้สามารถไปเยี่ยมคุก เลี้ยงคนหิวโหย แจกเสื้อผ้าคนยากจน และให้ที่พักแก่คนไม่มีบ้าน และพวกคุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไรผม ทำไปเลย จงเป็นตัวแทนของคริสตจักรในนามพระเยซู" พันธกิจนี้ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คอยสั่งการ จงช่วยให้สมาชิกตระหนักว่าพวกเขาคือ คริสตจักร
แนวทางที่ 2 พันธกิจต้องสอดคล้องกับความเชื่อ ค่านิยม และปรัชญาในการรับใช้ของคริสตจักร ถ้าคุณยอมให้มีงานรับใช้ที่มุ่งไปคนละทางกับเป้าหมายของคริสตจักร คุณกำลังเชื้อเชิญความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นประโยชน์กับคริสตจักร งานรับใช้เช่นนั้นจะขัดขวางสิ่งที่คุณพยายามทำ และอาจถึงกับทำลายคำพยานของคริสตจักรคุณด้วย
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราระมัดระวังเป็นพิเศษกับพันธกิจที่ได้รับการสนับสนุนร่วมจากองค์การภายนอกคริสตจักร บ่อยครั้งที่องค์การเหล่านี้มีความสนใจที่ต่างจากคริสตจักรเรา ซึ่งมักจะทำให้สมาชิกจงรักภักดีแบบสองจิตสองใจ
แนวทางที่ 3 ไม่อนุญาตให้มีการเรี่ยไรเงินสนับสนุน ถ้าคุณยอมให้พันธกิจทุกอย่างเรี่ยไรเงินเอง สนามหน้าคริสตจักรคุณจะกลายเป็นตลาดนัด จะมีคนรับล้างรถและขายคุ้กกี้เต็มไปหมด และการแข่งขันหาเงินจะเข้มข้น สมาชิกของคุณจะขุ่นเคืองกับจดหมายขอเงินและกลเม็ดการขายต่าง ๆ ดังนั้น งบประมาณกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคริสตจักรที่มีพันธกิจหลากหลาย ผู้นำของแต่ละพันธกิจควรยื่นเสนอความต้องการทางการเงินเพื่อให้พิจารณาในงบประมาณรวมของคริสตจักร
ยอมให้คนหยุดหรือเปลี่ยนงานรับใช้อย่างสง่างาม
ในบางคริสตจักร คุณจะออกจากงานรับใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณเสียชีวิต ออกจากคริสตจักร หรือสมัครใจจะใช้ชีวิตในความรู้สึกผิดอันใหญ่หลวง คุณจำเป็นต้องยอมให้คนหยุดปีสะบาโต หรือเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด บางครั้งสมาชิกอาจรู้สึกอิ่มตัวกับงานรับใช้เดิม หรือเขาอาจต้องการเปลี่ยนจังหวะชีวิต หรืออาจต้องการพักบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องพร้อมให้เขาโยกย้ายงาน
เราไม่เคยสวมกุญแจมือสมาชิกให้ติดอยู่กับงานใดงานหนึ่ง การตัดสินใจจะทำงานใดงานหนึ่งไม่ได้สลักแน่นไว้บนศิลา ถ้าบางคนไม่เป็นสุขหรือไม่เหมาะกับงานนั้น เราก็หนุนใจให้เขาเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องอับอายขายหน้า
ให้สมาชิกมีอิสระที่จะลอง ให้เขาลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง เหมือนที่ผมกล่าวก่อนหน้านี้ เราเชื่อว่าการลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง คือ วิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบของประทานของคุณ แม้เราจะเรียกร้องให้อุทิศเวลาหนึ่งปีในงานหนึ่ง แต่เราไม่เคยบีบบังคับให้เป็นอย่างนั้น ถ้าคนตระหนักว่าเขาไม่เหมาะ เราก็จะไม่ทำให้เขารู้สึกผิดที่จะลาออก เมื่อเราเรียกว่า "ลอง" เราก็สามารถหนุนใจให้เขาลองทำอย่างอื่นได้ ทุกปีระหว่างเดือนแห่งพันธกิจของสมาชิก เราจะหนุนใจทุกคนให้ลองงานรับใช้ใหม่ถ้าเขาไม่พอใจกับงานที่กำลังรับใช้อยู่
จงวางใจสมาชิก มอบหมายอำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ
เคล็ดลับในการจูงใจคนให้รับใช้นาน ๆ คือ การทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของงานนั้น ผมอยากย้ำเรื้องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คุณต้องยอมให้สมาชิกที่นำพันธกิจตัดสินใจเอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากคณะกรรมการใด ๆ เช่น ให้คนที่ทำพันธกิจเด็กอ่อนตัดสินใจเองว่าจะตกแต่งห้องอย่างไร จะเลือกเปลเด็กแบบไหน และจำนวนเท่าใด จะใช้ระบบนับเด็กเข้าออกอย่างไร คนที่อยู่ในงานจริง ๆ จะตัดสินใจโดยรู้ข้อมูลจริงมากกว่าคณะกรรมการบางคนที่พยายามควบคุมทุกสิ่งจากระยะไกล
คนเราตอบสนองต่อความรับผิดชอบ เขาจะพัฒนาและเติบโตเมื่อคุณวางใจเขา แต่ถ้าคุณปฏิบัติต่อเขาเหมือนทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คุณก็จะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อมนมเขาไปตลอดชีวิตคุณ เมื่อคุณให้อำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ คุณจะทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิก คนเรามักจะมีความคิดสร้างสรรค์เท่าที่โครงสร้างงานยอมให้เขาคิดเอง ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คให้มีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานสำหรับทุกพันธกิจของสมาชิก แต่เราพยายามหลีกทางให้สมาชิกมากที่สุดที่ทำได้
จงคาดหวังให้สมาชิกทำอย่างดีที่สุด และไว้วางใจให้เขารับผิดชอบงานรับใช้ คริสตจักรมากมายหวาดกลัว ไฟป่า ก็เลยดับกองไฟเล็ก ๆ ทุกกองที่จะทำให้คริสตจักรอบอุ่น ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล จงยอมให้คนอื่นทำผิดพลาดเสียบ้าง อย่ายืนกรานที่จะทำผิดพลาดทั้งหมดอยู่คนเดียว คุณจะดึงความสามารถที่ดีที่สุดของคนออกมาโดยการให้เขาทำงานที่ ท้าทาย ให้เขามีอำนาจ และให้เขาได้รับ ความดีความชอบ
ช่วงเริ่มแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เคย์และผมช่วยกันทำงานทุกอย่างในคริสตจักร ทุกอย่างจริง ๆ ครับ จัดห้องประชุม เก็บห้องประชุม พิมพ์สูจิบัตร ล้างห้องน้ำ ชงกาแฟ ทำป้ายชื่อ และอะไรอีกมากมาย ผมเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในโรงรถทั้งเปลเด็ก เครื่องเสียง และอื่น ๆ ทุกเช้าวันอาทิตย์ผมจะยืมรถบรรทุกมาขนทุกอย่างไปยังโรงเรียนที่เราเช่า ผมมักทำงานวันละ 15 ชั่วโมง และผมก็มีความสุขกับทุกนาที
แต่เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีอายุสองสามปี ผมก็รู้ตัวว่ากำลังหมดแรงคริสตจักรมีคนสองสามร้อย ผมก็ยังพยายามทำงานรับใช้ทุกอย่างในทุกรายละเอียด ไฟผมเริ่มมอด ทั้งด้านร่างกายและอารมณ์
ในการประชุมกลางสัปดาห์หนึ่ง ผมสารภาพกับสมาชิกว่าผมอ่อนล้า และไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้ คือ ทั้งนำคริสตจักรและมีส่วนในงานรับใช้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือเตรียมสมาชิกให้พร้อมสำหรับพันธกิจ ของพวกเขา ผมกล่าวว่า "ผมจะทำข้อตกลงกับคุณ ถ้าคุณตกลงทำงานรับใช้ของคริสตจักรนี้ ผมรับรองว่าคุณจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี" สมาชิกชอบข้อตกลงนี้และคืนนั้นเราลงนามในพันธสัญญาที่ว่า นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะทำพันธกิจและผมจะเลี้ยงดูและนำพวกเขา หลังจากการตัดสินใจครั้งนั้น คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เติบโตพรวดพราดทีเดียว
ตั้งแต่วันแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค แผนของผม คือ เอางานรับใช้ออกไปจากตัว และเมื่อใดก็ตามที่มีคริสตจักรเกิดใหม่ ศิษยาภิบาลก็มักจะยึดงานรับใช้ต่าง ๆ ไว้กับตัวในระยะแรก แต่เป้าหมาย คือ การทำให้คริสตจักรหลุดออกจากการพึ่งพาศิษยาภิบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น ผมจะมอบความรับผิดชอบทีละอย่างให้ผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกและเจ้าหน้าที่คริสตจักร ในปัจจุบันผมมีความรับผิดชอบหลักอยู่สองอย่าง คือ นำ และ เลี้ยงดู และแม้แต่สองอย่างนี้ผมก็มีทีมศิษยาภิบาลมาช่วยแบ่งเบาอีกหกคน ศิษยาภิบาลบริหารของเราช่วยผมในการนำคริสตจักร และทีมงานเทศนาก็ช่วยรับผิดชอบเรื่องเทศนา ทำไมผมจึงทำเช่นนี้ก็เพราะผมเชื่อจากส่วนลึกเลยว่า คริสตจักรไม่ใช่ที่สำหรับพระเอกฉายเดี่ยว
เราเคยเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับพันธกิจโดดเด่นที่อิงอยู่กับคนคนเดียว ถ้าคนนั้นตาย ย้าย หรือทำผิดทางศีลธรรม พันธกิจนั้นก็พังคลืนลงมา ถ้าผมตายในวันนี้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็จะเติบโตต่อไป เพราะมัน เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เคลื่อนไปด้วยบุคคล เราอาจสูญเสียพันคนที่ผมเรียกว่า "พวกติดนักเทศน์" คือ ผู้ร่วมประชุมที่ชอบฟังผมเทศน์ แต่เราก็ยังเหลือสมาชิกที่อุทิศตัว มอบถวายชีวิต และเป็นแกนของคริสตจักรอีกหลายพันคน
จัดให้มีการสนับสนุนที่จำเป็น
อย่าคาดหวังว่าคนจะประสบความสำเร็จโดยปราศจากการสนับสนุน คุณต้องลงทุนบางอย่างในพันธกิจของสมาชิกเสมอ
ให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ พันธกิจของสมาชิกจำเป็นต้องใช้เครื่องถ่ายเอกสาร กระดาษ อุปกรณ์ และแหล่งทรัพยากรหลายอย่าง และมักจะต้องใช้ห้องประชุม ในอาคารที่เราสร้างในอนาคตเราวางแผนจะจัดห้องใหญ่ให้เป็น "ตู้ฟักไข่สำหรับพันธกิจ" คือ แบ่งเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เป็นสัดส่วน สำหรับพันธกิจของพวกเขา เราถือว่าผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกมีความสำคัญเท่ากับเจ้าหน้าที่ที่รับเงินเดือน การจัดสถานที่ไว้สำหรับสมาชิกคือ การบอกเขาว่า "สิ่งที่คุณทำมีความสำคัญ"
ให้การสนับสนุนด้านการสื่อสาร จัดเตรียมหนทางที่คอยติดต่อสื่อสารกับผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิก อุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับสมาชิก (เช่น บัตรต้อนรับ การโทรศัพท์ถามไถ่ รายงานศิษยาภิบาลฆราวาส) ก็เป็นประโยชน์สำหรับงานนี้เช่นกัน
ให้การสนับสนุนในการทำให้เป็นที่รู้จัก เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้สมาชิกมองพันธกิจต่าง ๆ มีวิธีมากมายที่คุณจะทำให้พันธกิจต่าง ๆ เป็นที่รู้จัก เรามีคำแนะนำบางอย่างคือ
๐ ให้พันธกิจต่าง ๆ ตั้งโต๊ะไว้นอกห้องประชุมหรือในห้องสามัคคีธรรมทุกวันอาทิตย์ เพื่อคนจะมีโอกาสเห็นว่ามีพันธกิจอะไรบ้าง ถ้ามีที่ว่างไม่พอให้คุณสับเปลี่ยนหมุนเวียนการใช้พื้นที่
๐ ทำป้ายให้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้แต่ละคน เพื่อสมาชิกคนอื่น ๆ จะเห็นว่าใครทำงานรับใช้อะไร
๐ จัดงาน "พันธกิจ" เรามีงานนี้ปีละอย่าางน้อยสองครั้ง ทุกพันธกิจจะได้โฆษณาความสนใจ โครงการ และรายการของตน
๐ พิมพ์สูจิบัตรสำหรับพันธกิจทุกอย่างและเขียนบทความเกี่ยวกับพันธกิจต่าง ๆ ถ้าคุณมีจดหมายข่าว
๐ กล่าวถึงพันธกิจต่าง ๆ ในคำเทศนาของคุณ ใช้คำพยานเพื่อบอกว่าพันธกิจนั้น ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ให้การสนับสนุนด้านกำลังใจ แสดงความชื่นชมต่อคนที่รับใช้ในคริสตจักรทั้งในที่สาธารณะและเป็นส่วนตัว จัดรายการพิเศษเช่นงานเลี้ยงขอบคุณ หรือค่ายพักผ่อนสำหรับผู้นำ เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้รับใช้ที่เป็นแกนของคริสตจักร ให้รางวัลแก่ "ผู้ฆ่ายักษ์" สำหรับงานรับใช้ที่โดดเด่นในแต่ละเดือน
ตลอดทั้งบทนี้ผมใช้คำว่า "พันธกิจของสมาชิก" หรือ "งานรับใช้ของสมาชิก" เพื่อผู้อ่านจะไม่คิดว่าผมกำลังพูดถึงเจ้าหน้าที่รับเงินเดือน ความคิดที่ว่ามีคริสตจักรสองระดับ ผู้รับใช้ (พระ) และสมาชิก (ฆราวาส) เป็นผลงานของประเพณีโรมันคาธอลิกในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้รับใช้อาสาสมัครกับผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน เราต้องปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่ไม่รับเงินเดือนเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน
ย้ำนิมิตนี้อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้สมาชิกมองเห็นนิมิตแห่งงานรับใช้อยู่เสมอ สื่อสารถึงความสำคัญของพันธกิจของเขา เมื่อคุณเรียกคนสู่การรับใช้ ให้คุณเน้นถึงความสำคัญนิรันดร์ของการทำพันธกิจในพระนามของพระเยซู อย่าเรียกคนให้รับใช้โดยการกดดันหรือทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอันขาด สิ่งที่จูงใจคน คือ นิมิต ความรู้สึกผิดและการกดดันมีแต่จะทำให้เขาท้อถอย จงช่วยให้สมาชิกเห็นว่าไม่มีเป้าหมายใดยิ่งใหญ่เกินกว่าอาณาจักรของพระเจ้า (คือ แผ่นดินของพระเจ้า)
คุณจำหลักการของเนหะมีย์ที่ผมกล่าวในบทที่ 6 ได้ไหมครับ หลักการนี้บอกว่า นิมิตจะต้องมีการย้ำทุก ๆ 26 วัน เท่ากับประมาณเดือนละครั้ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้การประชุม SALT ของเรามีความสำคัญมาก เพราะในการประชุมนี้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ต้องการฟังผมย้ำเรื่องนิมิตและคุณค่าของงานรับใช้ ถ้าผมรู้สึกป่วยผมจะไม่ลังเลเลยที่จะให้คนอื่นพูดต่อหน้าฝูงชนนับหมื่นแทนผม แต่ถ้าจะให้ผมพลาดการพบปะกลุ่มแกนในการประชุม SALT ละก็ ต้องให้ผมถึงขั้นปางตายเสียก่อน เพราะมันเป็นโอกาสที่ผมจะเน้นย้ำเรื่องสิทธิพิเศษในการรับใช้พระคริสต์
ผมมักจะพูดกับสมาชิกว่า "ลองนึกดูว่าถ้าคุณตายไป แล้วอีกห้าสิบปีมีคนมาพูดกับคุณในสวรรค์ว่า "เราอยากขอบคุณคุณ" คุณบอกว่า "ขอโทษเถอะครับ ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณ" แล้วพวกเขาก็อธิบายว่า "คุณเป็นสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คุณรับใช้และเสียสละและสร้างคริสตจักรที่นำเรามาหาพระคริสตจักรหลังจากที่คุณตายแล้ว เราอยู่ในสวรรค์ได้ก็เพราะคุณ" คุณคิดว่าการทุ่มเทของคุณมีค่าขนาดนั้นไหมล่ะ"
ถ้าผมรู้วิธีลงทุนชีวิตที่มีความหมายมากกว่าการรับใช้พระเยซูคริสต์ ผมคงทำสิ่งนั้น แต่ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้ ดังนั้นผมจึงบอกคนอื่นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาจะทำในชีวิตคือ เข้าร่วมในคริสตจักร เข้าร่วมในงานรับใช้ และรับใช้พระคริสต์โดยการรับใช้ผู้อื่น ผลที่เกิดจากงานรับใช้ที่เขาทำเพื่อพระคริสต์จะคงอยู่นานแสนนานเกินกว่าอาชีพ งานอดิเรก หรือสิ่งอื่นใดที่เขาทำ
เคล็ดลับที่คริสตจักรเก็บงำไว้มิดชิดที่สุดคือ สมาชิกกำลังทุรนทุรายอยากทำให้ชีวิตเขาเกิดประโยชน์ พระเจ้าสร้างเรามาเพื่องารับใช้ คริสตจักรที่เข้าใจสิ่งนี้และเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนแสดงลักษณะของตนในงานรับใช้ ก็จะประสบกับชีวิตชีวา สุขภาพ และการเติบโตที่น่าทึ่ง ยักษ์หลับก็จะตื่นขึ้น และไม่มีใครอาจหยุดมันได้
บทที่ 18 พัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่
…เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
…จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
เอเฟซัส 4:12-13
เราอธิษฐานขอสิ่งนี้ด้วย คือขอให้ท่านทั้งหลาย
บรรลุถึงความบริบูรณ์ในพระคริสต์
2 โครินธ์ 13:9
พระคัมภีร์ ใหม่กล่าวอย่าางชัดเจนว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ต้องการให้เราเติบโต เปาโลกล่าวใน เอเฟซัส 4:14-15 ว่า "เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง… แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือ พระคริสต์"
เป้าหมายสูงสุดของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คือ การเป็นเหมือนพระคริสต์ พระเจ้ามีแผนการสำหรับเราตั้งแต่ปฐมกาลเพื่อเราจะเป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ "เพราะว่าผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว (รู้จักล่วงหน้า) ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นมาก" (รม. 8:29) พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนมีลักษณะเหมือนพระคริสต์
ดังนั้น คำถามสำคัญก็คือ การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ได้อย่างไร
ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ก่อนที่จะแบ่งบันยุทธวิธีที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คใช้ในการพัฒนาผู้เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ ผมขอขจัดความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเสียก่อน เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ยุทธวิธีต้องวางอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 1 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อคุณบังเกิดใหม่
คริสตจักรมากมายๆม่มีแผนการสำหรับติดตามผลผู้เชื่อใหม่ และไม่มียุทธวิธีที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความบังเอิญ และเหมาเอาว่าคริสเตียนจะเติบโตโดยอัตโนมัติเมื่อเขามาร่วมนมัสการ พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่ต้องทำคือ กระตุ้นให้คนมาร่วมประชุม แล้วก็เป็นอันเสร็จงาน
แน่นอนนี่ไม่เป็นความจริงเลย การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อคุณได้รับความรอด แม้ว่าคุณจะมาร่วมประชุมสม่ำเสมอก็ตาม คริสตจักรมากมายเต็มไปด้วยคนที่มานมัสการตลอดชีวิต แต่ยังคงเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ สมาชิกที่มาเป็นประจำกับสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่นั้นไม่เหมือนกัน ในแผนผัง "กระบวนการพัฒนาชีวิต" ของเรา ภารกิจในการเตรียมคนให้มีอุปนิสัยที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ "การพาคนไปยังฐานสอง" (ใช้ภาพกีฬาเบสบอล ซึ่งผู้เล่นต้องตีลูกและวิ่งวนครบสี่ฐานจึงจะได้คะแนน)
การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามกาลเวลา ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวอย่างน่าเศร้าว่า "ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง" (ฮบ. 5:12) มีคริสเตียนมากมายแก่ตัวลงโดยไม่ได้เติบโตขึ้น
ความจริงคือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องของความตั้งใจ การเติบโตต้องอาศัยความตั้งใจแน่วแน่และความพยายาม บุคคลนั้นต้องอยากเติบโต ตัดสินใจที่จะโต และใช้ความพยายามที่จะโต การเป็นสาวกเริ่มโดยการตัดสินใจ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน แต่จำเป็นต้องจริงใจ แน่นอนพวกสาวกไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดของการตัดสินใจติดตามพระคริสต์ พวกเขาเพียงแค่แสดงออกถึงความปรารถณาที่จะติดตามพระองค์ พระเยซูก็ทรงยอมรับการตัดสินใจที่เรียบง่ายแต่จริงใจนี้ และทรงสร้างพวกเขาบนรากฐานนี้เอง
ฟีลิปปี 2:12-13 กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงอุตสาห์ประพฤติเพื่อให้ได้ความรอดด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น… เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่านให้ท่านมีใจปรารถณาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์" เปาโลกล่าวประโยคนี้สำหรับคนที่ได้รับความรอดแล้ว และสิ่งสำคัญที่ท่านบอกก็คือ พระเจ้ามีส่วนในการเติบโตของเรา และเราก็มีส่วนเช่นกัน
การเป็นเหมือนพระคริสต์เป็นผลจากการตัดสินใจอุทิศชีวิตของเรา เราอุทิศชีวิตเพื่ออะไร การอุทิศชีวิตเพื่อพระบัญญัติข้อใหญ่และพระมหาบัญชาจะทำให้เกิดคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกัน การอุทิศชีวิตจะทำให้คนกลายเป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเติบโต การเติบโตที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามกระแสเท่านั้น แต่การเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นสำคัญเกินกว่าที่เราจะปล่อยให้เป็นตามกระแส หรือสถานการณ์
การเติบโตฝ่ายวิญญาณที่นำไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่นั้น เริ่มจากการตัดสินใจแน่วแน่ที่กล่าวในโรม 6:13 "อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า" ผมจะอธิบายภายหลังว่า จะนำคนให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตในลักษณะนี้ได้อย่างไร
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 2 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องลึกลับและน้อยคนที่จะเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่
ทุกวันนี้พอเราพูดคำว่า "ชีวิตฝ่ายวิญญาณ" คนก็จะนึกภาพคนสวมชุดยาวสีขาว หลับตานั่งทำท่าโยคะ จุดธูปเทียน และท่องคาถา บางคนก็คิดถึงคริสเตียนหรือนักพรตที่ปลีกตัวจากโลกแห่งความจริง ทำตนให้ยากไร้และสันโดษ
น่าเสียดาย คริสเตียนมากมายรู้สึกว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม และพวกเขาจึงไม่แม้แต่จะลองพยายามไปให้ถึง พวกเขาถูกครอบงำด้วยภาพในลักษณะลี้ลับ เป็นอุดมคติ และคิดว่าคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องเป็นอย่างนั้น เขาจึงคิดไปว่าคนที่จะเป็นผู้ใหญ่คือ "สุดยอดนักบุญ" เท่านั้น หนังสือชีวประวัติคริสเตียนหลายเล่มก็มีส่วนทำให้คนคิดอย่างนี้ เพราะมันปกปิดความเป็นมนุษย์ของคนของพระเจ้า และบอกเป็นนัย ๆ ว่า ถ้าคุณไม่อธิษฐานวันละสิบชั่วโมง ไม่ย้ายไปอยู่ในป่า และไม่วางแผนที่จะถูกฆ่าตายล่ะก็ อย่าได้ฝันว่าจะเป็นผู้ใหญ่เลย และนี่เองที่ทำให้คริสเตียนมากมายท้อใจ และคิดว่าควรพึงพอใจกับการเป็น "คริสเตียนชั้นสอง"
ความจริงคือ การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องปฏิบัติได้จริง ๆ ผู้เชื่อทุกคนสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเขาหรือเธอจะพัฒนาอุปนิสัยที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เราจำเป็นต้องเอาเรื่องลี้ลับออกไปจากการเติบโต โดยจำแนกองค์ประกอบต่าง ๆ ออกเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และเป็นเรื่องของอุปนิสัยในชีวิตประจำวัน
เปาโลมักเปรียบเทียบการฝึกตนในชีวิตคริสเตียนกับการฝึกซ้อมของนักกีฬา เจ. บี. ฟิลลิปห์ เรียบเรียง 1 ทิโมธี 4:7 เป็นภาษาชาวบ้านว่า "จงใช้เวลา และความพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ" หนทางสู่ความแข็งแกร่งฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้เช่นเดียวกับหนทางสู่ความแข็งแกร่งฝ่ายร่างกาย
คนที่จะรักษาร่างกายให้แข็งแกร่งก็ต้องออกกำลังกาย และฝึกซ้อมจนเป็นอุปนิสัย เช่นเดียวกัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็ต้องมีการออกกำลัง เรียนรู้ และฝึกนิสัยจนกลายเป็นอุปนิสัย และลักษณะนิสัยก็เกิดจากอุปนิสัยที่เราสร้างขึ้น
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเน้นการพัฒนาอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณอย่างมากเราเห็นผู้คนเติบโตอย่างอัศจรรย์ เมื่อเราทำให้ความคิดเรื่องการเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นขั้นตอนที่ปฏิบัติได้ และเป็นอุปนิสัยในชีวิตประจำวัน
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 3 :
ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อคุณพบ"กุญแจ"นั้น
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมาก เห็นได้ชัดว่ามันมาจากหนังสือคริสเตียนขายดีหลายเล่มที่คริสเตีบนมากมายหวังว่าจะเป็นจริง หนังสือที่สัญญาถึง "ขั้นตอนง่าย ๆ สี่ประการสู่ความเป็นผู้ใหญ่" หรือท"กุญแจสู่ความบริสุทธิ์ในวันนี้" คือ แรงเสริมที่ทำให้คนเชื่อในนิยายเหลวไหลที่ว่าลักษณะนิสัยแบบคริสเตียนสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาชั่วข้ามคืน
คริสเตียนที่จริงใจจำนวนมากทุ่มเทเวลาตลอดชีวิตเพื่อแสวงหาประสบการณ์ การประชุม การฟื้นฟู หนังสือ หรือเทป หรือสัจธรรม อันนั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงเขสให้เป็นผู้ใหญ่ โดยฉับพลัน การค้นหาของพวกเขาจะสูญเปล่า แม้เราจะมีกาแฟสำเร็จรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือแม้แต่เครื่องดื่มลดน้ำหนักสำเร็จรูปก็ยังมี แต่ในโลกนี้ไม่มีของที่เรียกว่า "ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณสำเร็จรูป"
ความจริงคือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา พระเจ้าใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในการพัฒนาเราให้เหมือนพระคริสต์ ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เอเฟซัส 4:13 กล่าวว่า "จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่คือ เต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์" เมื่อกล่าวว่าความเป็นผู้ใหญ่ คือ จุดหมายปลายทาง ก็หมายความว่าเราต้องเดินทาง แม้เราจะอยากให้กระบวนการนี้รวบรัดรวดเร็ว แต่การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็ยังคงเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาตลอดชีวิต
ผมใช้เวลามากมายพยายามเข้าใจองค์ประกอบของกระบวนการนี้ และหาทางสื่อสารกระบวนการนี้อย่างเรียบง่าย เพื่อสมาชิกจะเข้าใจและจำได้ ผมเชื่อมั่นว่า ผู้เชื่อจะโตเร็วขึ้นเมื่อคุณเตรียมทางให้เขาเดินไป ผลก็คือเราได้ปรัชญาในการสอนที่เรียกว่า "กระบวนการพัฒนาชีวิต"
กระบวนการนี้ใช้กีฬาเบสบอลเป็นภาพเปรียบเทียบ เนื่องจากมันเป็นกีฬาที่คนอเมริกาทุกคนเข้าใจ และมันทำให้คนที่เราสอนเข้าใจได้ง่ายว่า เราต้องการให้เขาเป็นผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง เมื่อถึงฐานแต่ละฐาน เราอธิบายให้สมาชิกฟังว่า เราต้องการช่วยให้พวกเขาวิ่งครบทั้งสี่ฐาน เราต้องการให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คทำคะแนนเพราะในกีฬาเบสบอล เมื่อจบเกมแต่ละรอบ เราจะไม่ได้คะแนนสำหรับผู้เล่นที่ค้างอยู่ที่ฐานหนึ่ง สอง และสาม คนที่วนจนครบสี่ฐานเท่านั้นที่ได้คะแนน และฐานทั้งสี่ของเรา คือการเป็นสมาชิก ความเป็นผู้ใหญ่ การรับใช้ และภารกิจ และศิษยาภิบาลแต่ละคนทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน
เมื่อคุณนำคนให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อจะเติบโต และสอนอุปนิสัยพื้นฐานบางอย่าง และให้คำแนะนำขณะที่เขาก้าวหน้าไปแต่ละขั้น คุณก็คาดหวังได้ว่าเขาจะเติบโต
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 4 :
ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณวัดจากสิ่งที่คุณรู้
คริสตจักรมากมายประเมินความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณโดยวัดเพียงแค่ว่า คุณรู้จักบุคคลในพระคัมภีร์ ตีความพระครัมภีร์ ท่องจำข้อพระคัมภีร์ และอธิบายหลักศาสนศาสตร์ได้ดีแค่ไหน บางคนมองว่าความสามารถในการถกประเด็นหลักข้อเชื่อ คือ ข้อพิสูจน์ถึงความเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความรู้จะเป็นพื้นฐานของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ แต่มันก็ไม่ใช่มาตรฐานเดียวที่ใช้วัด
ความจริงคือ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแสดงออกทางพฤติกรรมมากกว่าความเชื่อ ชีวิตคริสเตียนไม่ได้เป็นเพียงหลักข้อเชื่อหรือความเชื่อ แต่มันครอบคลุมถึงการประพฤติและลักษณะนิสัย ความเชื่อต้องมีพฤติกรรมเป็นข้อสนับสนุน การกระทำของเราต้องสอดคล้องกับความเชื่อ
พระคัมภีร์ใหม่สอนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า สิ่งที่แสดงความเป็นผู้ใหญ่คือการกระทำและทัศนคติ ไม่ใช่แค่การกล่าวยืนยันความเชื่อ ยากอบ 2:18 กล่าวตรง ๆ เลยว่า "จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านที่ไม่มีการประพฤติตาม และด้วยการประพฤติตาม ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้า" ยากอบยังกล่าวอีกว่า "ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี" (ยก. 3:13) ถ้าความเชื่อของคุณไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ความเชื่อนั้นก็ไม่มีค่าเท่าใดนัก
เปาโลเชื่อว่าความเชื่อและพฤติกรรมมีความสัมพันธ์กัน ในจดหมายทุกฉบับของท่านจะนำสู่ข้อสรุปที่บอกให้ผู้อ่านประพฤติสิ่งที่ตนเชื่อ เอเฟซัส 5:8 กล่าวว่า "เพราะเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง"
ผู้ที่ตรัสอย่างเฉียบขาดที่สุดคือพระเยซู "ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา" (มธ. 7:16) สิ่งที่แสดงให้เห็นความเป็นผู้ใหญ่คือผล ไม่ใช่ความรู้ ถ้าเราไม่ได้ประพฤติตามสิ่งที่รู้ เราก็ทำอย่างโง่เขลาโดยการ "สร้างเรือนไว้บนทราย" (มธ. 7:24-27)
ดังที่ผมกล่าวแล้วว่า ความรู้พระคัมภีร์เป็นเพียงมาตรวัดอย่างหนึ่งที่ใช้วัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณ นอกจากนั้น เราสามารถวัดความเป็นผู้ใหญ่ได้จากมุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย นี่คือ "การเรียนรู้ห้าระดับ" ที่เราใช้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ในส่วนต่อไปผมจะแบ่งปันวิธีที่เราพยายามพัฒนาสาวกให้เข้มแข็งในห้าส่วนนี้
อันตรายใหญ่หลวงของการมีความรู้โดยปราศจากส่วนประกอบอีกสี่อย่างที่เหลือ คือ มันทำให้เกิดความหยิ่งผยอง "ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น" ความรู้ต้องถ่อมลงด้วยลักษณะนิสัย คริสเตียนที่เนื้อหนังที่สุดบางคนที่ผมรู้จักเป็นเหมือนโกดังเก็บความรู้ทางพระคัมภีร์เลยทีเดียว พวกเขาสามารถอธิบายตอนใดก็ได้ และปกป้องหลักข้อเชื่อได้ทุกข้อ แต่ก็ยังเป็นคนที่ไม่รักผู้อื่น ยึดความชอบธรรมของตนเอง และช่างตัดสิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณพร้อมกับความหยิ่งผยองในเวลาเดียวกัน
อันตรายของการมีความรู้อีกประการ คือ มันเพิ่มความรับผิดชอบ "เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป" (ยก. 4:17) ยิ่งเรารู้พระวจนะลึกเท่าไหร่ การตัดสินสำหรับเราก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น ถ้าเราไม่ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ ยุทธวิธีที่คริสตจักรของคุณคิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างผู้เชื่อ จะต้องช่วยเขาไม่เพียงให้การเรียนรู้พระวจนะเท่านั้น แต่เราต้องทำให้เขารักพระวจนะ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะด้วย
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 5 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องส่วนบุคคล
การบูชาลัทธิปัจเจกนิยม (ยึดถือความเป็นส่วนตัว) ในอเมริกามีอิทธิพลแม้แต่ในวิธีที่เราคิดถึงการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การสอนส่วนมากเอียงไปในลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และสนใจตนเองเป็นหลัก โดยไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์กับคริสเตียนคนอื่น ๆ เลย นี่ขัดกับพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง และละเลยสิ่งที่ได้กล่าวไว้มากมายในพระคัมภีร์ใหม่
ความจริงคือ คริสเตียนจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เพื่อเติบโต เราไม่ได้เติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่เราเติบโตขึ้นในการสามัคคีธรรม ฮีบรู 10:24-25 กล่าวว่า "และขอให้พิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว" พระเจ้าประสงค์ให้เราเติบโตขึ้นในครอบครัว
ในบทที่แล้วผมได้ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์คือ "กาว" ที่ทำให้คนผูกพันกับคริสตจักร แต่ความสัมพันธ์ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่านั้นในการช่วยให้คนเป็นผู้ใหญ่ มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนว่าการสามัคคีธรรมไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน แต่เป็นข้อกำหนด คริสเตียนที่ไม่ได้ผูกพันในความสัมพันธ์แห่งความรักกับผู้เชื่ออื่น ๆ ก็กำลังไม่เชื่อฟังพระบัญชาต่าง ๆ ที่มีคำว่า "ซึ่งกันและกัน"
ยอห์นบอกเราว่า ข้อพิสูจน์ว่าเราเดินในความสว่าง คือ เรามี "สามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน" (1 ยอห์น 1:7) ถ้าคุณๅไม่ได้มีสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อเป็นประจำ คุณควรถามตัวเองอย่างจริงจังว่า คุณกำลังเดินในความสว่างจริง ๆ หรือเปล่า
ยอห์นยังบอกอีกว่า เราจำเป็นต้องถามตัวเองว่า เรารอดแล้วจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเราไม่รักพี่น้องผู้เชื่อ "เราทั้งหลายรู้ว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความตาย" (1 ยอห์น 3:14) ถ้าความสัมพันธ์กับผู้เชื่อสำคัญขนาดนี้ ทำไมคริสตจักรจึงไม่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ให้มากกว่านี้
คุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระคริสต์สามารถเห็นได้จากความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อผู้เชื่อด้วยกัน "ถ้าผู้ใดว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้" (1 ยอห์น 4:20) ให้สังเกตว่ายอห์นใช้คำว่า "ไม่ได้" เป็นไปไม่ได้ที่จะรักพระเจ้า ถ้าคุณไม่รักลูก ๆ ของพระองค์
พระเยซูยังสอนด้วยว่าถ้าเราขาดจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง การนมัสการของเราก็ไร้ค่า (มัทธิว 5:23-24) คริสเตียนไม่สามารถมีความสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและขาดจากสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อในเวลาเดียวกันได้
เหตุผลหนึ่งที่คริสเตียนมากมายไม่เคยเป็นพยาน คือ เขาไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน เพราะไม่เคยอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ หรือพัฒนามิตรภาพ เขามีทักษะการสร้างความสัมพันธ์น้อยมาก เขาไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนไม่เชื่อ เพราะแม้แต่ผู้เชื่อเขาก็สร้างสัมพันธ์ด้วยไม่เป็น เราต้องสอนให้เขารู้วิธีพัฒนาความสัมพันธ์แม้ว่าเรื่องนี้จะเห็นกันชัด ๆ แต่คริสตจักรน้อยแห่งเท่านั้นที่ใช้เวลาสอนให้สมาชิกสร้างความสัมพันธ์ต่อกันและกัน
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 6 :
ทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับการเติบโต คือ การศึกษาพระคัมภีร์
คริสตจักรหลายแห่งสร้างขึ้นบนความเข้าใจผิดนี้ ผมเรียกคริสตจักรเหล่านี้ว่า "คริสตจักรห้องเรียน" คริสตจักรห้องเรียนมักจะยึดติดกับสมองซีกซ้าย และเน้นว่าความรู้ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญ เน้นคำสอนเรื่องเนื้อหาและหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอารมณ์ ประสบการณ์ และความสัมพันธ์น้อยมาก คริสตจักรห้องเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งกล่าวว่า ทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณคือ "หลักข้อเชื่อในสมองส่วนหน้า"
ความจริงคือ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเกิดจากประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าในหลากหลายรูปแบบ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงครอบคลุมถึงการมีหัวใจที่นมัสการและสรรเสริญพระเจ้า เสริมสร้างและชื่นชมกับความสัมพันธ์แห่งความรัก ใช้ของประทานและความสามารถพิเศษเพื่อปรนนิบัติผู้อื่น และแบ่งบันความเชื่อแก่คนที่หลงหาย ยุทธวิธีที่คริสตจักรใช้นำคนไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ต้องครอบคลุมประสบการณ์เหล่านี้ ทั้งหมด คือ นมัสการ สามัคคีธรรม ศึกษาพระคัมภีร์ ประกาศและรับใช้ พูดอีกอย่างก็คือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นโดยการเข้าร่วมในวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการของคริสตจักร คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่เพียงศึกษาเรื่องชีวิตคริสเตียนเท่านั้น แต่พวกเขามีประสบการณ์กับชีวิตคริสเตียนโดยตรง
เนื่องจากคริสเตียนบางคนได้ทำผิดพลาด โดยเน้นประสบการณ์ทางอารมณ์มากเกินไป จนละเลยหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ คริสตจักรหลายแห่งจึงลดคุณค่าของประสบการณ์ในการเติบโตฝ่ายวิญญาณลง พวกเขาตอบโต้กลุ่มที่ยกย่องประสบการณ์ โดยการกระทำที่ตกขอบไปอีกข้าง นั่นคือเขาไม่ยอมให้มีการเน้นประสบการณ์ใด ๆ เลย และมองประสบการณ์ทุกอย่างด้วยความสงสัย โดยเฉพาะประสบการณ์ที่มีผลต่ออารมณ์
น่าเศร้าที่กระทำเช่นนี้เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีอารมณ์เช่นเดียวกับที่ทรงให้มีความคิด พระเจ้าทรงประทานความรู้สึกแก่เราโดยมีจุดมุ่งหมาย เมื่อคุณเอาประสบการณ์ทั้งหมดออกไปจากกระบวนการเติบโต คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากหลักข้อเชื่อที่เป็นหมันอยู่ในสมอง ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้แต่ไม่สามารถชื่นชมหรือปฏิบัติได้
เฉลยธรรมบัญญัติ 11:2 กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงพิจารณาในวันนี้ (เพราะข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับลูกหลานของท่านทั้งหลาย ผู้ไม่ได้รู้เรื่องหรือเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น)" ประสบการณ์คือครูที่ยิ่งใหญ่ ที่จริงมีบทเรียนบางอย่างที่เราจะเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ เท่านั้น ผมชอบคำถอดความสุภาษิต 20:30 ที่กล่าวว่า "บางครั้งเราต้องพบประสบการณ์ที่เจ็บปวดจึงจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้"
ครั้งหนึ่งผมได้ฟังจีน เก็ทซ์ ครูสอนพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า การศึกษาพระคัมภีร์ ในตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้เกิดชีวิตฝ่ายวิญญาณ ที่จริงมันทำให้เกิดชีวิตฝ่ายเนื้อหนังถ้าเราไม่นำมาประยุกต์และปฏิบัติในชีวิต" ผมพบว่านี่เป็นความจริง การศึกษาโดยปราศจากการรับใช้ คือ การผลิตคริสเตียนที่มีทัศนคติชอบพิพากษาและเย่อหยิ่งฝ่ายวิญญาณ
ถ้าคริสตศาสนาเป็นปรัชญา เช่นนั้นการศึกษาคงเป็นกิจกรรมหลักของเรา แต่คริสตศาสนาเป็นความสัมพันธ์และชีวิต คำที่ใช้บ่อยที่สุดเวลาบรรยายถึงชีวิตคริสเตียนคือ รัก ให้ เชื่อ และรับใช้ พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะเรียน" อันที่จริง คำว่า "เรียน" ปรากฏเพียงสองสามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่ถ้าคุณดูตารางเวลาของคริสตจักรจำนวนมาก คุณจะเข้าใจว่าการเรียน คือ หน้าท่ีหลักของคริสเตียน
สิ่งสุดท้ายที่ผู้เชื่อจำนงนมากจำเป็นต้องใช้รับ คือ การเรียนพระคัมภีร์เพิ่มเติมพวกเขารู้มากเกินกว่าจะทำได้อยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการ คือ ประสบการณ์ในการรับใช้และการประกาศ ซึ่งเขาจะสามารถ ประยุกต์ใช้ สิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เขาต้องการประสบการณ์ในความสัมพันธ์ (เช่นกลุ่มย่อย) ซึ่งเขาจะรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสิ่งที่เขารู้ และเขาต้องการประสบการณ์ในการนมัสการที่มีความหมาย ซึ่งเขาสามารถ แสดง ความชื่นชมให้พระเจ้าตามที่เขาได้รู้
ยากอบจำเป็นต้องเตือนคริสเตียนยุคแรกว่า "แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง" (ยากอบ 1:22) มีภาพโบราณที่เปรียบเทียบเรื้องนี้ คือ บ่อน้ำที่เน่าเสียเพราะไม่มีทางระบายน้ำออก เมื่อตารางเวลาของคริสเตียนเต็มไปด้วยการรับความรู้ทางพระคัมภีร์ แต่ไม่มีการถ่ายเทออกเป็นการรับใช้และการประกาศ การเติบโตฝ่ายวิญญาณของเขาก็จะเน่าเสีย การเรียนรู้โดยไม่มีการแสดงออกจะนำไปสู่ความเฉื่อยชา
คริสตจักรทำร้ายสมาชิกอย่างร้ายแรง โดยการทำให้เขาต้องยุ่งอยู่กับการเรียนบทเรียนใหม่ ๆ จนเขาไม่มีเวลานำบทเรียนเก่า ๆ ไปใช้ พวกเขาลืมบทเรียนเสียก่อนจะเข้าใจลึกซึ้งและปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็คิดไปว่าตนเองโตขึ้น เพราะสมุดบันทึกของเขาหนาขึ้น เรื่องนี้ก็เป็นความโง่เขลา
โปรดอย่าคิดว่าผมไม่เห็นคุณค่าของการศึกษาพระคัมภีร์ ความจริง คือ ตรงกันข้าม ผมเขียนตำราเกี่ยวกับวิธีศึกษาพระคัมภีร์ชื่อ Dynamic Bible Study Method (วิธีศึกษาพระคัมภีร์อย่างพลัง) เราต้อง "มุ่งหน้าต่อไปในพระวจนะ" เพื่อจะเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่สิ่งที่ผมจะบอกคือ เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าการศึกษา เพียงอย่างเดียว จะทำให้คนเป็นผู้ใหญ่ การศึกษาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในกระบวนการสู่ความเป็นผู้ใหญ่ นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว คนเรายังจำเป็นต้องมีประสบการณ์เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คริสตจักรต้องมียุทธวิธีที่ สมดุล เพื่อการสร้างสาวก
วางแผนยุทธวิธี
ยุทธวิธีสร้างสาวกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีพื้นฐานอยู่บนความจริงหกประการ ซึ่งผมได้ชี้ให้เห็นว่าขัดแย้งกับความเข้าใจผิด ๆ ทั้งหกประการอย่างไร เราเชื่อว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เริ่มต้นจากการมอบถวายชีวิต เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อบไป เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุปนิสัย วัดได้โดยตัวแปรห้าประการ รับการกระตุ้นจากความสัมพันธ์ และผู้ที่จะเติบโตจำเป็นต้องมีส่วนในวัตถุประสงค์ห้าประการของคริสตจักร
ยกระดับการอุทิศชีวิต
ผมชอบที่ เอลตัน ทรูบลัด เรียกคริสตจักรว่า "บริษัทของผู้อุทิศชีวิต" จะวิเศษมากถ้าคริสตจักรทุกแห่งมีชื่อเสียงเรื่องการอุทิศชีวิตของสมาชิก
วิธีหนึ่งที่จะวัดว่าคริสตจักรเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณหรือไม่ คือ เมื่อเวลาผ่านไปมาตรฐานสำหรับการเป็นผู้นำคริสตจักรเข้มงวดขึ้นหรือไม่ เช่นที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เมื่อหลายปีผ่านไป เราได้ทำมาตรฐานเข้มงวดขึ้นไม่ใช่น้อย และเราก็เพิ่มเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับงานรับใช้อื่น ๆ ด้วย เช่น ศิษยาภิบาลฆราวาส และนักดนตรี
ทุกครั้งที่คุณเพิ่มมาตรฐานสำหรับผู้นำ คุณก็จะยกระดับทุกคนในคริสตจักรขึ้นอีกเล็กน้อย เหมือนวลีที่ว่า "เมื่อน้ำขึ้น เรือทุกลำก็ลอยสูงขึ้น" ให้คุณมุ่งเน้นที่การยกระดับการอุทิศชีวิตเพียงส่วนหนึ่ง คุณจะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณยกระดับมาตรฐานการอุทิศชีวิตของผู้นำในตำแหน่งที่โดดเด่น คุณก็ได้ยกระดับความคาดหวังสำหรับคนอื่น ๆ ที่เหลือด้วย
แล้วคุณจะทำให้คนอุทิศชีวิตเพื่อกระบวนการเติบโตฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร
คุณต้องเรียนร้องให้คนอุทิศชีวิต ถ้าคุณไม่เรียกร้องให้คนอุทิศชีวิต คุณก็จะไม่ได้คนที่อุทิศชีวิต และถ้าคุณไม่เรียกร้องให้สมาชิกอุทิศชีวิตเพื่อคริสตจักร คุณแน่ใจได้เลยว่า คนกลุ่มอื่นจะเรียกร้องการอุทิศชีวิตจากพวกเขา เช่น องค์กรประชาชน สมาคมช่วยเหลือสังคม พรรคการเมือง หรืองานรับใช้ขององค์การคริสเตียน ปัญหาไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอุทิศชีวิตหรือไม่ แต่ปัญหาคือเขาจะอุทิศชีวิตให้ใคร ถ้าคริสตจักรไม่เรียกร้องและคาดหวังการอุทิศชีวิต พวกเขาก็จะสรุปเอาเองว่า กิจกรรมที่คริสตจักรทำนั้นไม่สำคัญเท่ากิจกรรมอื่น ๆ ที่เขาทำ
ผมประหลาดใจมาก เมื่อเห็นองค์กรทางสังคมเรียกร้องจากสมาชิกมากกว่าที่คริสตจักรท้องถิ่นเรียกร้อง ถ้าคุณเคยเป็นผู้ปกครองเด็กที่ลงแข่งกีฬา (ในสหรัฐฯ) คุณก็จะรู้ว่า เมื่อลูกของคุณลงชื่อร่วมทีม คุณ ก็มีหน้าที่จะทุ่มเทให้แก่ทีม โดยการเตรียมเครื่องดื่ม การรับส่ง ถ้วยรางวัล และงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ คุณจะไม่เพียงแค่มาชมการแข่งขันเท่านั้น และสำหรับคุณแล้ว การมีส่วนร่วมนั้นก็ไม่ใช่ ความสมัครใจของคุณเลย
สิ่งหนึ่งที่คริสตจักรสามารถช่วยสมาชิกอย่างมากคือ การช่วยเขาให้แยกแยะได้ว่าควรทุ่มเทชีวิตเพื่อสิ่งใด และควรลดการทุ่มเทในสิ่งใด เหตุผลที่เรามีคริสเตียนอ่อนแออมากมายก็เพราะ พวกเขาทุ่มเทแบบสองจิตสองใจให้หลาย ๆ สิ่ง แทนที่จะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อสิ่งที่สำคัญที่สุด อุปสรรคที่ทำให้คนมากมายไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เพราะเขาขาดการอุทิศชีวิต แต่เป็นเพราะเขาอุทิศชีวิตให้แก่สิ่งที่ผิด เราต้องสอนคนให้อุทิศชีวิตอย่างเฉลียวฉลาด
เรียกร้องด้วยความมั่นใจให้คนทุ่มเททั้งชีวิต พระเยซูเรียกร้องการอุทิศชีวิตอย่างชัดเจนและมั่นใจเสมอ พระองค์ไม่เคยลังเลที่จะเรียกร้องให้ชายและหญิงสละสิ่งสารพัดและติดตามพระองค์ และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ ยิ่งคุณเรียกร้องการอุทิศชีวิตมากเท่าใด คุณก็ยิ่งได้รับการตอบสนองมากเท่านั้น
คนเรา ต้องการ อุทิศชีวิตให้บางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายต่อชีวิต เราตอบสนองต่อความรับผิดชอบที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย สิ่งที่ดึงดูดใจเราคือนิมิตที่ท้าทายตรงกันข้าม คนจะเฉยเมยต่อข้อเรียกร้องที่อ่อนปวกเปียกและการร้องขอความช่วยเหลือที่น่าสมเพช พระเยซูทราบเรื่องนี้ดีเมื่อพระองค์ตรัสในลูกา 14:33 "ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้" พระองค์เรียกร้องให้คนอุทิศทั้งชีวิต
อาทิตย์หนึ่ง ผมสรุปคำเทศนาโดยแจกบัตรมอบถวายชีวิตชนิดพิเศษ ซึ่งเรียกร้องให้คนมอบถวายชีวิต ทั้งหมด แด่พระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงินทอง ความมุ่งหมายในชีวิต อุปนิสัย ความสัมพันธ์ อาชีพ ครอบครัว และแรงกาย ผมต้องประหลาดใจไม่ใช่เพราะเราได้บัตรกลับมาเป็นพัน ๆ ใบ แต่เพราะในจำนวนนั้นมี 177 ใบที่ลงชื่อโดยคนที่ไม่เคยลงชื่อในบัตรทะเบียนปกติ แม้เขาบอกว่าเขามานมัสการเป็นปี ๆ แล้วเขาไม่เคยรู้สึกว่ามันคุ้มกับเวลาของตนที่จะลงชื่อในบัตรลงทะเบียนประจำสัปดาห์ บางครั้งการเรียกร้องให้คนอุทิศชีวิตครั้งใหญ่ก็ง่ายกว่าให้เขาอุทิศชีวิตเพียงเล็กน้อย
ศิษยาภิบาลบางคนกลัวที่จะเรียกร้องให้คนอุทิศชีวิตทั้งหมด เขากลัวว่าคนจะพากันหนีไป แต่คนจะโกรธเคืองที่คุณเรียกร้องให้เขาอุทิศชีวิต ถ้าคุณมีจุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังการเรียกร้องนั้น ความแตกต่างสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ คนจะตอบสนองต่อนิมิตที่ร้อนแรง ไม่ใช่ความขาดแคลน นี่คือสาเหตุที่การเน้นเรื่องการเป็นผู้อารักขาที่ดีนั้น หลายครั้งไม่ได้ผล เพราะมันเน้นที่ความขาดแคลนของคริสตจักรไม่ใช่นิมิตของคริสตจักร
เรียกร้องการอุทิศชีวิตอย่างเจาะจง กุญแจอีกดอกในการยกระดับการอุทิศชีวิต คือ พูดอย่างเจาะจง บอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่า คุณคาดหวังอะไรจากเขา ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค แทนที่เราจะพูดว่า "จงอุทิศชีวิตเพื่อพระเยซู" เราอธิบายอย่างเจาะจงว่า การอุทิศชีวิตให้พระเยซูนั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เราเรียกให้คนมอบชีวิตแด่พระคริสต์ แล้วจึงให้บัพติศมา แล้วจึงให้เป็นสมาชิก แล้วจึงพัฒนาอุปนิสัยเพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ แล้วจึงให้เขาทำงานรับใช้ และสุดท้ายคือ นำให้เขาทำภารกิจแห่งชีวิตครอบคลุมถึงอะไรบ้าง
อธิบายประโยชน์ของการอุทิศชีวิต กุญแจอีกดอกในการยกระดับการอุทิศชีวิตคือ บอกให้เขารู้ประโยชน์ของการมอบถวายชีวิต พระเจ้าบอกเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าในพระคัมภีร์ พระบัญชามากมายมีพระสัญญาที่แสนวิเศษแนบติดมาด้วย เราจะลงเอยด้วยพระพรเสมอเมื่อเราเชื่อฟัง
อย่าลืมอธิบายประโยชน์ส่วนบุคคล ประโยชน์สำหรับครอบครัว ประโยชน์สำหรับพระกายของพระคริสต์และสังคมทั่วไป และประโยชน์ นิรันดร์ คนเรามีความปรารถนาตามธรรมชาติที่จะเรียนรู้ เติบโต และพัฒนา แต่บางครั้งคุณก็ต้องปลุกความปรารถนานั้นให้ตื่นขึ้น โดยการบอกให้เขารู้เป้าหมายของการเรียนรู้และวัตถุประสงค์ของการเติบโต ในด้านคุณค่าและประโยชน์สำหรับเขา
บางครั้งผมทึ่งกับวิธีการที่นักโฆษณาทำให้สินค้าธรรมดา ๆ อย่างยาดับกลิ่นกาย ผงซักฟอก และน้ำยาล้างจาน กลายเป็นเหมือนสิ่งที่จะทำให้ให้คุณพบ ความหมายในชีวิต ความกระฉับกระเฉง และความสุขสดชื่นใหม่ ๆ นักโฆษณาเป็นปรามาจารย์ด้านการใช้บรรจุภัณฑ์ มันช่างเสียดแทงใจที่คริสตจักรมีเคล็ดลับที่แท้จริงแห่งความหมายความสำคัญ และความพึงพอใจในชีวิต แต่เรามักจะนำเสนอในรูปแบบที่จืดชืด ไม่น่าดึงดูด
ในตอนเริ่มต้นชั้นเรียน 101, 201, 301 และ 401 เราชี้ให้เห็นคุณค่าและประโชยน์ของการเข้าเรียนโดยการกล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่ชั้นเรียนนี้จะให้แก่คุณ" และเราอธิบายชัดเจนถึงประโยชน์ของการอุทิศชีวิตเพื่อพันธสัญญาทั้งสี่ประการด้วย
สร้างคนขึ้นบนการมอบถวายชีวิต ไม่ใช่เพื่อให้มอบถวายชีวิต แม้คุณจะบอกสมาชิกว่าคุณจะพาเขาไปสู่จุดไหน (โดยการท้าทายให้เขามอบถวายชีวิตทั้งหมด) แต่เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องเริ่มต้นจากการมอบถวายชีวิตในระดับที่เขาสามารถทำได้ ไม่ว่ามันจะดูเล็กน้อยเพีบงใด
เราท้าทายให้คนตัดสินใจมอบถวายชีวิต แล้วจึงเติบโตไปสู่สิ่งที่เขาตัดสินใจนั้น มันคล้ายกับการเป็นพ่อแม่ มีสามีภรรยาน้อยคู่ที่รู้สึกว่าตนเองพร้อมก่อนที่จะมีลูกคนแรก แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หลังจากตัดสินใจแล้วและลูกคนแรกเกิดมา ทั้งสองเติบโตขึ้นสู่บทบาทของการเป็นพ่อแม่
คุณอาจแบ่งการมอบถวายชีวิตเป็นหลายขั้นตอน และค่อย ๆ นำเขาให้พัฒนาขึ้นก็ได้ เรามีเจตนาอยู่เบื้องหลังกระบวนการพัฒนาชีวิต (โดยเปรียบกับเบสบอล ซึ่งผู้เล่นต้องวิ่งวนครบสี่ฐานจึงจะได้คะแนน) โดยไม่คาดหวังว่าคนจะเติบโตจากผู้เชื่อใหม่และอุทิศชีวิตเหมือนบิลลี่ เกรแฮม หรือแม่ชีเทเรซาในเวลาข้ามคืน เราปล่อยให้เขาเดินเตาะแตะก่อน การใช้ภาพสนามเบสบอลทำให้คนรู้ว่าเขามาไกลแค่ไหนแล้ว และต้องไปอีกไกลแค่ไหน
เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีการเฉลิมฉลองทุกครั้งที่มีสมาชิกตัดสินใจรุดหน้าไปฐานต่อไป สมาชิกควรได้รับการยอมรับและรางวัล ในความสามารถที่จะตัดสินใจและยืนหยัดในการมอบถวายชีวิต ให้คุณจุดงานเฉลิมฉลองเพื่อประกาศการเติบโตนั้นต่อสาธารณชน เราจัดงานเลี้ยงทุกสิ้นปีเพื่อแสดงความยินดีกับคนที่ลงนามในพันธสัญญาการเติบโต และยืนยันการตัดสินใจนั้นสำหรับปีต่อไป
งานฉลองทำให้คนสัมผัสถึงความรู้สึกแห่งความสำเร็จ และกระตุ้นให้เขาได้ก้าวหน้าต่อไป ครั้งหนึ่งมีคนบอกผมว่า "ผมเรียนรวีฯ มากกว่าสามสิบปีแล้ว ผมจะมีวันจบการศึกษาไหนครับ" ฉะนั้น ในงานฉลองให้คุณเปิดโอกาสให้คนเล่าคำพยานว่าการพัฒนาระดับการอุทิศชีวิตเป็นพระพรในชีวิตเขาอย่างไร
ช่วยให้สมาชิกพัฒนาอุปนิสัยแห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
วิธีที่ใช้ได้จริงและได้ผมที่สุด ในการทำให้ผู้เชื่อมุ่งไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คือ การช่วยเขาพัฒนาอุปนิสัยที่ส่งเสริมการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมักเรียกกันว่า วินัยฝ่ายวิญญาณ แต่เราเลือกใช้คำว่า อุปนิสัย เพราะมันฟังดูน่ากลัวน้อยกว่าในความรู้สึกของผู้เชื่อใหม่ ขณะที่เราสอนว่าการเป็นสาวกย่อมต้องอาศัยวินัย เราก็เชื่อด้วยว่าอุปนิสัยเหล่านี้มีไว้ให้ เพลิดเพลิน ไม่ใช่ให้ทนรับ เราไม่ต้องการให้คนกลัวการฝึกฝนฝ่ายวิญญาณ ซึ่งจะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างเขาให้แข็งแกร่ง
ครั้งหนึ่ง ดอสโตเยฟสกี้กล่าวว่า "ช่วงครึ่งหลังของชีวิตคนเกิดจากอุปนิสัยที่เขาสั่งสมมาในช่วงครึ่งแรกของชีวิต" (ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักประพันธ์ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซียควบคู่กับลีโอ ตอลสตอย เขาได้สมญาว่า "ภูผาแห่งวรรณกรรมรัสเซีย" - ผู้แปล) และปาสกาลกล่าวว่า "ความแข็งแกร่งแห่งคุณธรรมของมนุษย์นั้นวัดด้วยการกระทำที่เป็นนิสัย" มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอุปนิสัย ถ้าเราไม่สร้างอุปนิสัยดี ๆ เราก็จะสร้างอุปนิสัยแย่ ๆ
มีอุปนิสัยดี ๆ เป็นสิบ ๆ อย่างที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ในการวางแผนชั้นเรียน 201 ผมใช้เวลายาวนานคิดถึงอุปนิสัยที่เป็นรากฐาน ซึ่งคนต้องเรียนรู้เสียก่อนจึงจะเติบโตได้ อย่างน้อยเขาต้องมีอุปนิสัยใดบ้างเพื่อจะเติบโต และอะไรคืออุปนิสัยที่เป็นหัวใจสำคัญซึ่งก่อให้เกิดอุปนิสัยอื่น ๆ ขณะผมศึกษา ผมก็ต้องย้อนกลับมาที่อุปนิสัยกลุ่มหนึ่งเสมอ เพราะถ้าเป็นเจ้านายของพระคริสต์ครอบคลุมถึงอุปนิสัยกลุ่มนี้เมื่อไหร่ พระองค์ก็ครอบครองอย่างแท้จริง อุปนิสัยกลุ่มนี้มีสามด้านคือ อุปนิสัยที่มีผมต่อเวลา เงินทอง และความสัมพันธ์
ชั้นเรียน 201 "ค้นพบความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" เน้นการพัฒนาอุปนิสัยพื้นฐานสี่ประการสำหรับสาวก คือ อุปนิสัยการใช้เวลากับพระวจนะ อุปนิสัยในการอธิษฐาน อุปนิสัยการถวายสิบลด และอุปนิสัยการสามัคคีธรรม อุปนิสัยเหล่านี้ตั้งอยู่บนคำตรัสของพระเยซูที่บรรยายถึงสาวก สาวกที่เชื่อฟังพระวจนะ (ยอห์น 8:31-32) สาวกอธิษฐานและเกิดผล (ยอห์น 15:7-8) สาวกไม่ถูกทรัพย์สมบัติครอบงำ (ลูกา 14:33) และสาวกแสดงความรักต่อผู้เชื่ออื่น ๆ (ยอห์น 13:34-35)
หลังจากสอนว่าอุปนิสัยเหล่านี้คืออะไร ทำไมต้องมี มีเนื้อใด และมีได้อย่างไร ชั้นเรียนนี้ก็ยังครอบคลุมถึงขั้นตอนที่ปฏิบัติได้จริง เพื่อสมาชิกจะเริ่มต้นและรักษาอุปนิสัยอื่นๆ ในเนหะมีย์ 9:38 ทั้งชนชาติทำพันธสัญญาฝ่ายวิญญาณร่วมกัน ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้บรรดาผู้นำลงนามเป็นสักขีพยาน ตอนท้ายของชั้นเรียน 201 เราสรุปโดยการให้ทุกคนลงนามในพันธสัญญาการเติบโต และรวบรวมบัตรที่สมาชิกลงนามแล้ว โดยผมจะลงนามเป็นสักขีพยาน เราเคลือบมัน แล้วจึงคืนให้สมาชิกเพื่อเขาจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ทุกปีเรารื้อฟื้นการมอบถวายชีวิตอีกครั้งและออกบัตรใหม่ เราพบว่าการยืนยันการมอบถวายชีวิตใหม่ทุก ๆ ปีจะช่วยสมาชิกที่ท้อใจหรือทิ้งอุปนิสัยดังกล่าวให้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่
คนที่ผ่านชั้นเรียน 201 กลายเป็นผู้ใหญ่ทันทีเลยหรือเปล่า แน่นอน ไม่ใช่ เราจึงตั้งชื่อมันว่า "ค้นพบ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" วัตถุประสงค์คือ ทำให้สมาชิกเริ่มออกเดินทาง เมื่อเขาผ่านชั้นเรียน เขาจะตั้งใจทำตามกระบวนการ และอุปนิสัยพื้นฐานซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต แม้เขาจะยังต้องต่อสู้ดิ้นรนในการเดินทางนี้ แต่เขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรหลังจบจากชั้นนี้ มันน่าประทับใจมากเมื่อเห็นสมาชิกในแต่ละชั้นมอบถวายเวลา เงินทอง และความสัมพันธ์แด่พระคริสต์ ใบหน้าของเขาเต็มด้วยความหวังและความคาดหวังว่าเขาจะเติบโต และเขาก็เติบโตจริง ๆ
สร้างระบบคริสเตียนศึกษาที่สมดุล
ผมกล่าวก่อนหน้านี้ว่า มีมาตรฐานห้าประการที่ใช้วัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ ความรู้ มุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย การเรียนรู้ห้าระดับนี้เป็นอิฐแต่ละก้อนที่ก่อขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ระบบคริสเตียนศึกษาได้รับการสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงทั้งห้าระดับนี้ คงไม่มีเนื้อที่พอให้ผมพูดถึงวิชาต่าง ๆ ในสถาบันพัฒนาชีวิตของเราแต่ผมอยากอธิบายว่าเราพัฒนาระบบหลัก ๆ เพื่อช่วยการเรียนรู้แต่ละระดับอย่างไร
ความรู้ถึงพระวจนะ ในการเริ่มพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณคุณจำเป็นต้องถามสองคำถาม "สมาชิกรู้อะไรแล้วบ้าง" และ "เขาจำเป็นต้องรู้อะไร" สำหรับคริสตจักรที่เติบโตด้วยจำนวนลูกหลานของสมาชิก หรือเติบโตเพราะคนย้ายมาจากคริสตจักรอื่น คุณก็อาจมีสมาชิกหลายคนที่มีความรู้พระคัมภีร์ดี แต่นั่นไม่ใช่ในกรณีของคริสตจักรที่ตั้งขึ้นเพื่อนำคนไม่เป็นคริสเตียน คุณจะเหมาเอาว่าสมาชิกใหม่รู้พระคัมภีร์ไม่ได้ คุณต้องเริ่มจากศูนย์
พิธีบัพติศมาล่าสุดของเรามีผู้เชื่อใหม่ 63 คน มีคนที่เคยนับถือศาสนาพุทธลักธิมอร์มอน คนที่มีพื้นเพเป็นยิว และอดีตแม่ชีคอธอลิก เมื่อคุณได้อดีตคนถือลัทธินิวเอจและอดีตคนไม่มีศาสนา คุณก็ต้องทำงานหนักพอสมควร เขาอาจไม่รู้จักแม้แต่บุคคลในพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด
ทอม ฮอลลาเดย์ ศิษยาภิบาลของเราที่นำทีมพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ เล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาสนทนากับผู้เชื่อใหม่เอี่ยมที่กำลังต่อสู้กับการทดลองใจ ทอมเปิดให้ดูยากอบบทที่ 1 แล้วอธิบายจุดหมายของการทดลองใจ เมื่อชายคนนั้นจะลุกออกไปจากห้องทำงานทอม เขาพูดว่า "ผมนึกว่าการทดลองใจเป็นผลมาจากบาปในอดีตเสียอีก" ทอมตระหนักว่าชายคนนี้จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคำอธิบายเรื่องการทดลองใจ เขาจำเป็นต้องเข้าใจมุมมองชีวิตตามอย่างพระคัมภีร์
ในระดับ "ความรู้" คริสตจักรคุณจำเป็นต้องให้การศึกษาพระคัมภีร์สำหรับ "ผู้เชื่อใหม่" รวมทั้งการสำรวจพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ครั้งหนึ่งเราใช้ 27 สัปดาห์สำรวจพระคัมภีร์ใหม่ 27 เล่ม มีหลักสูตรสำรวจพระคัมภีร์ดี ๆ มากมาย รวมถึง Walk Thru the Bible (เดินผ่านพระคัมภีร์) ที่โด่งดัง
หลักสูตรพัฒนาความรู้ทางพระคัมภีร์ที่ใหญ่ที่สุดของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คคือ วิชาศึกษาพระคัภีร์เจาะลึกยาว 9 เดือน สอนโดยครูที่เป็นสมาชิกของเรา เราเรียกวิชานี้ว่า WORD ซึ่งย่อมาจากกิจกรรม 4 อย่างในวิชานี้ คือ W - Wonder คือ อยากรู้ (ถามคำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนั้น) O - Observe คือสังเกต R - Reflect คือใคร่ครวญ และ D - Do คือลงมือปฏิบัติ วิชานี้มีพื้นฐานจากวิธีการที่ผมเขียนในหนังสือ Dynamic Bible Study Methods แต่ละชั่วโมงมีการบ้านให้ค้นคว้าด้วยตัวเอง มีการบรรยาย และแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเพื่ออภิปรายการบ้าน ชั้นเรียนนี้เริ่มในเดือนกันยายนและจบในเดือนมิถุนายนปีถัดไป เรามีชั้นเรียน WORD สำหรับผู้หญิงสัปดาห์ละสองครั้ง และสำหรับผู้ชายสัปดาห์ละครั้ง
หนังสือทุกเล่มในพระคัมภีร์สำคัญ แต่ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราให้สมาชิกศึกษาหนังสือหลัก ๆ ห้าเล่มก่อนที่เขาจะศึกษาเล่มอื่น ๆ ห้าเล่มนี้ คือ ปฐมกาล ยอห์น โรม เอเฟซัส และยากอบ
มุมมอง มุมมองคือ ความเข้าใจที่เกิดจากการมองเห็นในกรอบที่กว้างขึ้นมุมมอง คือ ความสามารถในการรับรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร แล้วจึงพิจารณาความสัมพันธ์ในเชิงเปรียบเทียบ ในแง่ของจิตวิญญาณ มันหมายถึงการมองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ คำว่า ความเข้าใจ สติปัญญา และ ความหยั่งรู้ ล้วนเกี่ยวข้องกับมุมมอง และมุมมองที่ตรงข้าม คือ ใจแข็งการด้าง ความมืดบอด และ ความเขลา
สดุดี 103:7 กล่าวว่า "พระองค์ทรงสำแดง วิธีการ ของพระองค์แก่โมเสสพระราชกิจของพระองค์แก่ประชาชนอิสราเอล" อิสราเอลต้องเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทำอะไร แต่โมเสสต้องเข้าใจว่า ทำไม พระเจ้าทำสิ่งนั้น นี่คือความแตกต่างระหว่างความรู้และมุมมอง ความรู้ก็คือการเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้าตรัสและทำ ส่วนมุมมองก็คือการเรียนรู้ว่าทำไมพระองค์ตรัสและทำเช่นนั้น คือ การตอบคำถามชีวิตที่ว่า "ทำไม"
พระคัมภีร์สอนว่าผู้ไม่เชื่อไม่มีมุมมองฝ่ายวิญญาณ และการขาดมุมมองนั้นคือ เครื่องหมายของความเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ คือ ลักษณะของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ฮีบรู 5:14 กล่าวว่า "อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถ รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว" การเรียนรู้จักมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้ามีประโยชน์มากมาย ซึ่งผมขอบอกสักสี่ประการ
ประการแรก มุมมองทำให้เรารักพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งเราเข้าใจพระลักษณะและวิถีทางของพระเจ้ามากเท่าใด เราก็ยิ่งรักพระองค์มากเท่านั้น เปาโลอธิษฐานว่า "ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือ ให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้" (เอเฟซัส 3:18-19)
ประการที่สอง มุมมองช่วยเราต่อต้านการทดลอง เมื่อเรามองสถานการณ์ผ่านมุมมองของพระเจ้า เราตระหนักว่าผลระยะยาวที่เกิดจากบาปนั้นใหญ่หลวงเกินกว่าความพึงพอใจระยะสั้นที่มันให้ ถ้าปราศจากมุมมองนี้เราก็จะหันเหไปตามแนวโน้มตามธรรมชาติของเรา "มีทางหนึ่งซึ่งคนเรา ดูเหมือน ถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา" (สุภาษิต 14:12)
ประการที่สาม มุมมองช่วยเรารับมือกับการทดลอง เมื่อเรามองชีวิตด้วยมุมมองของพระเจ้า และเห็นว่า "พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง" (โรม 8:28) และ "การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง" (ยากอบ 1:3) มุมมองเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูสามารถทนรับไม้กางเขนได้ (ฮีบรู 12:2) พระองค์มองผ่านความเจ็บปวดไปสู่ความชื่นชมยินดีที่พระองค์จะรับในอนาคต
ประการที่สี่ มุมมองปกป้องเราจากความผิดพลาด ถ้าจะมีเวลาที่คริสเตียนจำเป็นต้องหยั่งรากลงในความจริง เวลานั้นก็คือวันนี้ เราอยู่ในสังคมที่ปฏิเสธว่ามีความจริงสูงสุด และยอมรับว่าความเห็นต่าง ๆ ถูกต้องเท่า ๆ กัน ลัทธิพหุนิยม (เชื่อในความจริงหลายหลาก) ทำให้สังคมเราสับสนมาก ปัญหาไม่ใช่สังคมของเราไม่เชื่ออะไรเลย แต่ปัญหาคือสังคมเราเชื่อไปหมด ทุกสิ่ง ศัตรูร้ายที่สุดของเราไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นการยอมรับทุกอย่าง
สิ่งที่เราต้องการมากในปัจจุบันก็คือ ศิษยาภิบาลและครูที่สอนมุมมองของพระเจ้าอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ งาน เงินทอง ความสุข ความทุกข์ยาก ความดี ความชั่ว ความสัมพันธ์ และเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต เมื่อเรามีมุมมอง "เราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง" มุมมองจะทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีหลักสูตรสอนมุมมองชื่อว่า "มุมมองชีวิต" มันสอนศาสตร์ระบบ (สอนพระคัมภีร์ตามหัวข้อเรื่อง) โดยเคย์ภรรยาของผม และทอม ฮอลลาเดย์ ศิษยาภิบาลด้านพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เขียนหลักสูตร "มุมมองชีวิต" ครอบคลุมถึงหลักข้อเชื่อสำคัญสิบสองประการ และสอนสัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลา 27 สัปดาห์ โดยเคย์ และสมาชิกที่เป็นผู้นำ รูปแบบการสอนเป็นการผสมผสานระหว่างการบรรยายและกลุ่มอภิปราย
มุมมองชีวิต 1
หลักข้อเชื่อ: มุมมองพื้นฐาน
พระเจ้า: พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าและดีกว่าที่ฉันจะคิดได้
พระเยซู: พระเยซูคือพระเจ้าที่สำแดงพระองค์แก่เรา
พระวิญญาณบริสุทธิ์: พระเจ้าดำเนินชีวิตในฉันและผ่านฉันในเวลานี้
การเปิดเผย: พระคัมภีร์คือหนังสือนำทางชีวิตที่ไม่มีข้อผิดพลาดจากพระเจ้า
การเนรมิตสร้าง: ไม่มีอะไรที่ "อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้น" พระเจ้าสร้างทุกสิ่ง
ความรอด: พระคุณเป็นทางเดียวที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
การชำระให้บริสุทธิ์: พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้เราเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์
ความดีและความชั่ว: พระเจ้าอนุญาติให้ความชั่วทำให้เกิดทางเลือก พระเจ้าสามารถทำให้เกิดสิ่งดีได้แม้จากเหตุการณ์เลวร้าย
ชีวิตหลังความตาย: ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น สวรรค์และนรกเป็นสถานที่จริง
คริสตจักร: "มหาอำนาจ" ที่แท้จริงของโลกคือคริสตจักร คริสตจักรจะคงอยู่ตลอดไป
การอธิษฐาน: การอธิษฐานสามารถทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทำได้
การเสด็จมาครั้งที่สอง: พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อพิพากษาโลกและรับลูก ๆ ของพระองค์
ความมุ่งมั่น พจนานุกรมภาษาอังกฤษมักแปลคำนี้ (conviction) ว่า "ความเชื่อที่แน่วแน่หรือมั่นคง" แท้จริงมันมีความหมายมากกว่านั้น มันรวมถึง ค่านิยม การอุทิศชีวิตและแรงจูงใจ ผมชอบคำจำกัดความที่ได้ยินจาก โฮเวิร์ด เฮนดริกซ์ว่า "ความเชื่อ คือ สิ่งที่คุณเอาไปเถียงกับคนอื่น ความมุ่งมั่น คือ สิ่งที่คุณยอมตายเพื่อมัน" การรู้จะไร้ค่า หากปราศจากความมุ่งมั่นที่จะกระตุ้นให้ลงมือทำจริง ๆ
เมื่อคุณเป็นคริสเตียนใหม่ คุณมักจะทำเพราะคริสเตียนรอบข้างแนะนำหรือทำเป็นตัวอย่าง คุณอาจอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และร่วมนมัสการ เพราะคุณตามแบบอย่างของคนอื่น สำหรับคริสเตียนใหม่ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ดี เด็กเล็ก ๆ ก็เรียนรู้ด้วยวิธีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณโตขึ้น ในที่สุดคุณต้องมีเหตุผลของตนเองในสิ่งที่คุณทำ เหตุผลเหล่านั้นคือ ความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
น่าเศร้าที่คนมากมายมีค่านิยมที่คลุมเครือ จัดลำดับความสับสัน และมีการอุทิศชีวิตกระเจิดกระเจิง ครั้งหนึ่ง เจมส์ กอร์ดอน กล่าวว่า "คนที่ไม่มีความมุ่งมั่น ก็อ่อนแอเหมือนประตูที่ยึดด้วยบานพับอันเดียว"
คนที่ไม่มีความมุ่งมั่นจะตกอยู่ใต้อำนาจของสถานการณ์ ถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่าสิ่งใดสำคัญและจะดำเนินชีวิตอย่างไร คนอื่นจะตัดสินใจแทนคุณ คนที่ไม่มีความมุ่งมั่นจะตามฝูงชนไปอย่างไร้สติยั้งคิด ผมเชื่อว่าเปาโลกำลังพูดถึงความมุ่งมั่น เมื่อท่านกล่าวในโรม 12:2 ว่า "อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรักการเปลี่ยนแปลงจิตใจแล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม"
คริสตจักร ต้อง สอนความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์ เพื่อจะต่อต้านค่านิยมของโลกซึ่งผู้เชื่อได้รับอยู่เป็นประจำ เหมือนภาษิตโบราณที่กล่าวว่า "ถ้าคุณไม่ยืนหยัดเพื่ออะไรสักอย่าง คุณก็จะล้มลงเพื่ออะไรก็ได้" มันน่าเสียดสีมากที่ผู้คนมักจะมีความมุ่งมั่นในเรื่องที่ไม่สำคัญ (เช่น ฟุตบอล แฟชั่น) ขณะที่เขามุ่งมั่นน้อยมากในเรื่องสำคัญ ๆ (สิ่งที่ถูกและผิด)
ความมุ่งมั่นจะช่วยให้เราขยันขันแข็งในการการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การเติบโตต้องใช้เวลาและความพยายาม ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโต คนก็จะท้อถอยและยอมแพ้ ไม่มีใครจะยืนหยัดอยู่กับภารกิจยาก ๆ นอกจากเขาจะเชื่อมั่นว่ามีเหตุผลดี ๆ ที่ทำสิ่งนั้น คริสตจักรอาจสอนวิธีอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์ เป็นพยาน แต่ถ้าไม่มีความมุ่งมั่น เขาก็จะทำได้ไม่นาน
บรรดาคนที่สร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะแง่ดีหรือร้าย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด รวยที่สุด หรือได้รับการศึกษาสูงที่สุด แต่พวกเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นหนักแน่นที่สุด มาร์กซ์, คานนธี, โคลัมบัส และลูเธอร์ คือ คนที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้เพราะความมุ่งมั่นของเขา
ในปี 1943 คนหนุ่มสาว 100,000 คนสวมชุดสีน้ำตาลชุมชนกันเต็มสนามกีฬาโอลิมปิก ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นสนามกีฬาใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานั้น พวกเขาติดเครื่องหมายเพื่อชายบ้าคลั่งที่ยืนอยู่หลังธรรมาสน์ ข้อความบนเครื่องหมายนั้นเขียนว่า "ฮิตเลอร์ เราเป็นของท่าน" และการอุทิศชีวิตของพวกเขาทำให้เขาพิชิตยุโรบได้ หลายปีหลังจากนั้น นักเรียนนักศึกษาชาวจีนอุทิศตนเพื่อจดจำและดำเนินตามปรัชญาในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ชื่อ วาทะของท่านประธานเหมา ผมก็คือการปฏิบัติวัฒนธรรมในจีน ซึ่งทำให้ทุกวันนี้มีหนึ่งพันล้านคนตกอยู่ใต้อำนาจของลักธิคอมมิวนิสต์ นี่คือหลังของความมุ่งมั่น
ชีวิตของพระเยซูผลักดันด้วยความมุ่งมั่นที่ว่า พระองค์มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เกิดความตระหนักลึกซึ้งถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตของพระองค์ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้พระองค์ไม่หันเหไปโดยความสนใจของคนอื่นถ้าคุณต้องการเข้าใจความมุ่งมั่นของพระองค์ ก็ให้คุณศึกษาทุกข้อที่พระเยซูตรัสว่า "เราต้อง…" เมื่อคนพัฒนาความมุ่นมั่นเหมือนอย่างพระคริสต์ เขาก็พัฒนาความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของชีวิต
ความมุ่งมั่นมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมลักธิต่าง ๆ จึงได้รับความนิยม ความเชื่อของลัทธิต่าง ๆ อาจผิดพลาดและผิดกฏหมาย แต่คนในลัทธิเชื่อด้วยความมุ่งมั่นจริง ๆ คริสตจักรที่ไม่มีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและเข้มแข็งจะไม่มีทางดึงดูดให้คนอุทิศชีวิตเพื่อพระคัมภีร์ในระดับที่สมควร ใจเราต้องถูกเผาผลาญด้วยความมุ่งมั่นว่า อาณาจักรของพระเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดในโลกนี้ แวนซ์ ฮาฟเนอร์ มักกล่าวว่า "พระเยซูเรียกร้องความจงรักภักดีมากยิ่งกว่าที่ผู้นำเผด็จการคนใดเคยเรียกร้อง แต่ข้อแตกต่าง คือ พระเยซูมี สิทธิ ที่จะรับความภักดีนั้น"
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราสอนความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์ในทุกรายการชั้นเรียน สัมมนา และคำเทศนา แต่คนก็ เข้าใจ ความมุ่งมั่นได้แค่ที่เราสอน แต่มันแพร่ไปได้ดีที่สุดโดยความสัมพันธ์ ความมุ่งมั่นเป็นโรคติดต่อ คนติดเชื้อความมุ่งมั่นเมื่ออยู่กับคนที่มุ่งมั่น นี่คือเหตุผลที่เราเน้นการใช้กลุ่มย่อยในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาชีวิต ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มุ่งมั่นมีอิทธิพลมากยิ่งกว่าการเพียงแค่ฟังคำเทศนาเรื่องความมุ่งมั่น
ทักษะ ทักษะคือความสามารถในการทำบางสิ่งได้คล่องแคล่วและถูกต้อง คุณพัฒนาทักษะโดยการกระทำและประสบการณ์ ไม่ใช่ฟังคำบรรยาย ในชีวิตคริสเตียนที่คุณต้องพัฒนาทักษะบางอย่างเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ การรับใช้ การเป็นพยาน ความสัมพันธ์ การจัดแบ่งเวลา และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทักษะเป็นเรื่องของ "ขั้นตอนวิธีทำ" ในการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ความรู้และมุมมองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรู้ ความมุ่งมั่นและลักษณะนิสัยเกี่ยวข้องกับ ตัวตนทักษะเกี่ยวข้องกับ การกระทำ เราต้องเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่ผู้ฟัง" (ยากอบ 1:22) การกระทำของเราจะพิสูจน์ว่าเราเป็นครอบครัวของพระเจ้าพระเยซูตรัสว่า "มารดาของเรา และพี่น้องของเรา คือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าและกระทำตาม" (ลก. 8:21)
ผู้เชื่อหลายคนตกอยู่ในความคับข้องใจ เพราะเขารู้ว่าควรทำ อะไร แต่ไม่เคยมีใครสอนว่าจะทำ อย่างไร เขาฟังเทศนามากมายเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาพระคัมภีร์ แต่ไม่มีใครแสดงให้เขาเห็นวิธีศึกษาพระวจนะ มีคนทำให้เขารู้สึกผิดเพราะชีวิตการอธิษฐานอย่างไร และจะสรรเสริญพระลักษณะของพระเจ้าโดยใช้พระนามต่าง ๆ ของพระองค์อย่างไร หรือจะวิงวอนเพื่อผู้อื่นอย่างไร การกระตุ้นโดยไม่มีการอธิบายจะนำไปสู่ความคับข้องใจ เมื่อใดก็ตามที่เรากระตุ้นให้คนทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราย่อมมีความรับผิดชอบที่ต้องอธิบายวิธีทำให้ชัดเจนด้วย
ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรคุณผลิตคริสเตียนที่มีประสิทธิภาพ คุณต้องสอนทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียนและการรับใช้ ทักษะ คือ เคล็ดลับของประสิทธิภาพ จำข้อพระคัมภีร์ที่ผมแบ่งปันในบทที่ 2 ได้ไหมครับ "ถ้าขวานทื่อแล้วและเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ" (หรือทักษะจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ - จากคำแปลภาษาอังกฤษฉบับ NIV)
รายการพัฒนาทักษะของแซคเดิลแบ็คมีชื่อว่า "สัมมนาทักษะชีวิต" สัมมนาเหล่านี้มักยาวสี่ถึงแปดชั่วโมง และมักจะสอนจบในวันเดียว เราค้นพบว่าความสามารถหาเวลาว่างยาว ๆ ในหนึ่งวัน ง่ายกว่าการมาเรียนครั้งละชั่วโมงติดต่อกันหกสัปดาห์อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราก็ขยายเป็นหลายสัปดาห์ เพราะมีเนื่อหามากเกินกว่าจะสอนหมดในวันเดียว
สัมมนาพัฒนาชีวิตทักษะชีวิตแต่ละครั้ง จะเน้นที่ทักษะเพียงอย่างเดียว เช่น วิธีศึกษาพระคัมภีร์ วิธีอธิษฐานอย่างเกิดผล วิธีจัดการกับการทดลอง วิธีจัดเวลาเพื่องานรับใช้ และวิธีอยู่ปรองดองกับผู้อื่น เราจำแนกทักษะที่จำเป็น 9 อย่างซึ่งเราเชื่อว่าจำเป็นสำหรับคริสเตียนทุกคน แต่เราก็มีสัมมนาสำหรับทักษะอื่น ๆ ด้วยเมื่อเรารู้ว่ามีความต้องการบางอย่างในคริสตจักร
ลักษณะนิสัย ลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ คือ เป้าหมายสูงสุดของคริสเตียนศึกษา หากเราตั้งเป้าต่ำกว่านี้ ก็เท่ากับเราพลาดจุดประสงค์ของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เราต้อง "โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงความไพบูรณ์ของพระคริสต์" (เอเฟซัส 4:13)
การพัฒนาลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ คือ ภารกิจที่สำคัญที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะติดตัวเราไปสู่นิรันดร์กาล พระเยซูตรัสชัดเจนในคำเทศนาบนภูเขาว่า บำเหน็จนิรันดร์นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยที่เราสร้างและสำแดงออกในโลกนี้
นี่หมายความว่าวัตถุประสงค์ของการสอนของเราทั้งหมดต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล เปาโลบอกทิโมธีว่าจุดมุ่งหมายในคำสอนของท่านคือ พัฒนาลักษณะนิสัย "แต่จุดประสงค์แห่งคำกำชับนั้นก็คือให้มีความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ" (1 ทิโมธี 1:5)
ลักษณะนิสัยไม่มีทางสร้างกันได้ในห้องเรียน แต่มันสร้างขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต การศึกษาพระคัมภีร์ในห้องเรียนทำหน้าที่เพียง จำแนก ลักษณะนิสัยต่าง ๆ และเรียนรู้วิธีพัฒนาลักษณะนิสัย เราก็จะตอบสนองอย่างถูกต้องเมื่อพระเจ้าให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยสร้างลักษณะนิสัย การพัฒนาลักษณะนิสัยมักจะเกี่ยวข้องกับการเลือก เมื่อเราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ลักษณะนิสัยของเราก็เหมือนพระคริสต์มากขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่เราเลือกตอบสนองต่อสถานการณ์ตามวิธีของพระเจ้า แทนที่จะตามแนวโน้มตามธรรมชาติของเรา เราก็กำลังพัฒนาลักษณะนิสัย ผมเขีิยนหนังสือชื่อ The Power to Change Your Life (พลังเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ) ซึ่งอธิบายเรื่องนี้มากกว่านี้
ถ้าคุณต้องการรู้ว่าลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์เป็นอย่างไร ข้อพระคัมภีร์ที่เหมาะที่สุดสำหรับการเริ่มต้นคือ คุณสมบัติ 9 ประการในกาลาเทีย 5:22-23 "ฝ่ายผลของวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน" และผลของพระวิญญาณคือ ภาพที่สมบูรณ์ของพระคริสต์ พระองค์มีคุณสมบัติทั้ง 9 ประการ ถ้าคุณจะพัฒนาลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ในชีวิตด้วย
แล้วพระเจ้าสร้างผลของพระวิญญาณในชีวิตเราอย่างไร ก็โดยให้เราเผชิญสถานการณ์ที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพื่อเราจะเลือก พระเจ้าสอนเราให้มีความรักอย่างแท้จริง โดยการให้เราอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่น่ารัก (ถ้าอยู่ท่ามกลางคนที่มีความรักก็ไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยอะไร) พระองค์สอนให้เราชื่นชมยินดีในช่วงเวลาทุกข์โศก (ความชื่นชมยินดีเป็นเรื่องภายใน ความสุขก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ แต่ความชื่นชมยินดีเป็นอิสระจากเหตุการณ์) พระองค์สร้างสันติสุขในเรา โดยให้เราอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเพื่อเราจะเรียนรู้จักวางใจในพระองค์ (ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณต้องการก็ไม่ต้องการก็ไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยอะไรเพื่อจะมีสันติสุข)
พระเจ้าใส่ใจกับลักษณะนิสัยของเรามากกว่าความสะดวกสบายของเรา และพระองค์มีแผนการเพื่อทำให้เราสมบูรณ์ ไม่ใช่ทะนุถนอมตามใจเรา โดยเหตุนี้พระองค์จึงอนุญาตให้เกิดสถานการณ์มากมายที่สร้างลักษณะนิสัยของเรา ความเข้มแย้ง ความผิดหวัง ความยากลำบาก การทดลอง เวลาที่รู้สึกแห้งแล้ง ความล่าช้า และความรับผิดชอบหลักของหลักสูตรคริสเตียนศึกษา คือ การเตรียมคนของคุณให้มีความรู้ ให้มีมุมมอง ความมุ่งมั่น และทักษะ ที่จำเป็นในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านั้น ถ้าคุณทำเช่นนั้น สมาชิกก็จะพัฒนาลักษณะนิสัย
ศตวรรษที่แล้ว ซามูเอล สไมล์ส เขียนข้อสังเกตนี้ว่า
จงหว่านความคิด และคุณจะเก็บเกี่ยวการกระทำ
จงหว่านการกระทำ และคุณจะเก็บเกี่ยวอุปนิสัย
จงหว่านอุปนิสัย และคุณจะเก็บเกี่ยวลักษณะนิสัย
จงหว่านลักษณะนิสัย และคุณจะเก็บเกี่ยวจุดหมายปลายทาง
ความรู้ มุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย คือ ลำดับที่เป็นเหตุเป็นผล คุณต้องเริ่มจากฐานแห่งความรู้ เนื่องจากการเติบโตฝ่ายวิญญาณมีรากฐานบนพระวจนะของพระเจ้า การเรียนรู้ระดับแรกจึงเป็นการเพิ่มความรู้ที่เป็นประโยชน์จากพระคัมภีร์ มุมมองและความมุ่งมั่นต้องมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์
บนความรู้พระวจนะ คุณเติมมุมมองลงไป ยิ่งคุณรู้พระวจนะดีเท่าใด คุณก็ยิ่งมองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้ามากเท่านั้น ความมุ่งมั่นจะเติบโตโดยอัตโนมัติจากมุมมอง เมื่อคุณเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้า คุณจะเริ่มพัฒนาความมุ่นมั่นตามพระคัมภีร์ การเข้าใจประสงค์และแผนการของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจของคุณ
ความมุ่งมั่นทำให้คุณมีแรงจูงใจที่จะยืนหยัดรักษาอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ ในที่สุดเมื่อทำซ้ำแล้วซ้ำอีก นิสัยเหล่านี้ก็กลายเป็นทักษะ คุณจะทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องเพ่งความตั้งใจเหมือนตอนเริ่มแรกอีกต่อไป
เมื่อคุณรวมความมรู้พระวจนะ มุมมอง ความมุ่งมั่น และทักษะที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ผมรวมก็คือลักษณะนิสัย ประการแรกคุณ รู้ แล้วคุณก็ เข้าใจ แล้วคุณก็ เชื่อด้วยสุดใจ แล้วคุณก็ ทำ ผลของสี่สิ่งนี้คือ ลักษณะนิสัย
ต่อไปนี้เป็นห้าคำถามที่คุณต้องถามหลักสูตรคริสเตียนศึกษาของคุณ
๐ สมาชิกกำลังเรียนรู้เนื้อหาและความหมายของพระคัมภีร์หรือไม่
๐ สมาชิกกำลังมองตนเอง ชีวิต และคนอื่นชัดเจนขึ้นจากมุมมองของพระเจ้าหรือไม่
๐ ค่านิยมของสมาชิกสอดคล้องกับค่านิยมของพระเจ้ามากขึ้นหรือไม่
๐ สมาชิกชำนาญทักษะในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้นหรือไม่
๐ สมาชิกเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นหรือไม่
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ที่เรามุ่งไปอย่างต่อเนื่องดังที่เปาโลกล่าวในโคโลสี 1:28 ว่า "พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์"
นิมิตของเราสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คือ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยการสำแดงพระคริสต์ผ่านทางสาวกที่เป็นเหมือนพระองค์จำนวนมากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมา
…จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
เอเฟซัส 4:12-13
เราอธิษฐานขอสิ่งนี้ด้วย คือขอให้ท่านทั้งหลาย
บรรลุถึงความบริบูรณ์ในพระคริสต์
2 โครินธ์ 13:9
พระคัมภีร์ ใหม่กล่าวอย่าางชัดเจนว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ต้องการให้เราเติบโต เปาโลกล่าวใน เอเฟซัส 4:14-15 ว่า "เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง… แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือ พระคริสต์"
เป้าหมายสูงสุดของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คือ การเป็นเหมือนพระคริสต์ พระเจ้ามีแผนการสำหรับเราตั้งแต่ปฐมกาลเพื่อเราจะเป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ "เพราะว่าผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว (รู้จักล่วงหน้า) ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นมาก" (รม. 8:29) พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนมีลักษณะเหมือนพระคริสต์
ดังนั้น คำถามสำคัญก็คือ การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ได้อย่างไร
ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ก่อนที่จะแบ่งบันยุทธวิธีที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คใช้ในการพัฒนาผู้เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ ผมขอขจัดความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเสียก่อน เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ยุทธวิธีต้องวางอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 1 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อคุณบังเกิดใหม่
คริสตจักรมากมายๆม่มีแผนการสำหรับติดตามผลผู้เชื่อใหม่ และไม่มียุทธวิธีที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความบังเอิญ และเหมาเอาว่าคริสเตียนจะเติบโตโดยอัตโนมัติเมื่อเขามาร่วมนมัสการ พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่ต้องทำคือ กระตุ้นให้คนมาร่วมประชุม แล้วก็เป็นอันเสร็จงาน
แน่นอนนี่ไม่เป็นความจริงเลย การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้จู่ ๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อคุณได้รับความรอด แม้ว่าคุณจะมาร่วมประชุมสม่ำเสมอก็ตาม คริสตจักรมากมายเต็มไปด้วยคนที่มานมัสการตลอดชีวิต แต่ยังคงเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ สมาชิกที่มาเป็นประจำกับสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่นั้นไม่เหมือนกัน ในแผนผัง "กระบวนการพัฒนาชีวิต" ของเรา ภารกิจในการเตรียมคนให้มีอุปนิสัยที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ "การพาคนไปยังฐานสอง" (ใช้ภาพกีฬาเบสบอล ซึ่งผู้เล่นต้องตีลูกและวิ่งวนครบสี่ฐานจึงจะได้คะแนน)
การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามกาลเวลา ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวอย่างน่าเศร้าว่า "ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง" (ฮบ. 5:12) มีคริสเตียนมากมายแก่ตัวลงโดยไม่ได้เติบโตขึ้น
ความจริงคือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องของความตั้งใจ การเติบโตต้องอาศัยความตั้งใจแน่วแน่และความพยายาม บุคคลนั้นต้องอยากเติบโต ตัดสินใจที่จะโต และใช้ความพยายามที่จะโต การเป็นสาวกเริ่มโดยการตัดสินใจ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน แต่จำเป็นต้องจริงใจ แน่นอนพวกสาวกไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดของการตัดสินใจติดตามพระคริสต์ พวกเขาเพียงแค่แสดงออกถึงความปรารถณาที่จะติดตามพระองค์ พระเยซูก็ทรงยอมรับการตัดสินใจที่เรียบง่ายแต่จริงใจนี้ และทรงสร้างพวกเขาบนรากฐานนี้เอง
ฟีลิปปี 2:12-13 กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงอุตสาห์ประพฤติเพื่อให้ได้ความรอดด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น… เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่านให้ท่านมีใจปรารถณาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์" เปาโลกล่าวประโยคนี้สำหรับคนที่ได้รับความรอดแล้ว และสิ่งสำคัญที่ท่านบอกก็คือ พระเจ้ามีส่วนในการเติบโตของเรา และเราก็มีส่วนเช่นกัน
การเป็นเหมือนพระคริสต์เป็นผลจากการตัดสินใจอุทิศชีวิตของเรา เราอุทิศชีวิตเพื่ออะไร การอุทิศชีวิตเพื่อพระบัญญัติข้อใหญ่และพระมหาบัญชาจะทำให้เกิดคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกัน การอุทิศชีวิตจะทำให้คนกลายเป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเติบโต การเติบโตที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามกระแสเท่านั้น แต่การเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นสำคัญเกินกว่าที่เราจะปล่อยให้เป็นตามกระแส หรือสถานการณ์
การเติบโตฝ่ายวิญญาณที่นำไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่นั้น เริ่มจากการตัดสินใจแน่วแน่ที่กล่าวในโรม 6:13 "อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า" ผมจะอธิบายภายหลังว่า จะนำคนให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตในลักษณะนี้ได้อย่างไร
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 2 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องลึกลับและน้อยคนที่จะเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่
ทุกวันนี้พอเราพูดคำว่า "ชีวิตฝ่ายวิญญาณ" คนก็จะนึกภาพคนสวมชุดยาวสีขาว หลับตานั่งทำท่าโยคะ จุดธูปเทียน และท่องคาถา บางคนก็คิดถึงคริสเตียนหรือนักพรตที่ปลีกตัวจากโลกแห่งความจริง ทำตนให้ยากไร้และสันโดษ
น่าเสียดาย คริสเตียนมากมายรู้สึกว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม และพวกเขาจึงไม่แม้แต่จะลองพยายามไปให้ถึง พวกเขาถูกครอบงำด้วยภาพในลักษณะลี้ลับ เป็นอุดมคติ และคิดว่าคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องเป็นอย่างนั้น เขาจึงคิดไปว่าคนที่จะเป็นผู้ใหญ่คือ "สุดยอดนักบุญ" เท่านั้น หนังสือชีวประวัติคริสเตียนหลายเล่มก็มีส่วนทำให้คนคิดอย่างนี้ เพราะมันปกปิดความเป็นมนุษย์ของคนของพระเจ้า และบอกเป็นนัย ๆ ว่า ถ้าคุณไม่อธิษฐานวันละสิบชั่วโมง ไม่ย้ายไปอยู่ในป่า และไม่วางแผนที่จะถูกฆ่าตายล่ะก็ อย่าได้ฝันว่าจะเป็นผู้ใหญ่เลย และนี่เองที่ทำให้คริสเตียนมากมายท้อใจ และคิดว่าควรพึงพอใจกับการเป็น "คริสเตียนชั้นสอง"
ความจริงคือ การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องปฏิบัติได้จริง ๆ ผู้เชื่อทุกคนสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเขาหรือเธอจะพัฒนาอุปนิสัยที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เราจำเป็นต้องเอาเรื่องลี้ลับออกไปจากการเติบโต โดยจำแนกองค์ประกอบต่าง ๆ ออกเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และเป็นเรื่องของอุปนิสัยในชีวิตประจำวัน
เปาโลมักเปรียบเทียบการฝึกตนในชีวิตคริสเตียนกับการฝึกซ้อมของนักกีฬา เจ. บี. ฟิลลิปห์ เรียบเรียง 1 ทิโมธี 4:7 เป็นภาษาชาวบ้านว่า "จงใช้เวลา และความพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ" หนทางสู่ความแข็งแกร่งฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้เช่นเดียวกับหนทางสู่ความแข็งแกร่งฝ่ายร่างกาย
คนที่จะรักษาร่างกายให้แข็งแกร่งก็ต้องออกกำลังกาย และฝึกซ้อมจนเป็นอุปนิสัย เช่นเดียวกัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็ต้องมีการออกกำลัง เรียนรู้ และฝึกนิสัยจนกลายเป็นอุปนิสัย และลักษณะนิสัยก็เกิดจากอุปนิสัยที่เราสร้างขึ้น
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเน้นการพัฒนาอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณอย่างมากเราเห็นผู้คนเติบโตอย่างอัศจรรย์ เมื่อเราทำให้ความคิดเรื่องการเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นขั้นตอนที่ปฏิบัติได้ และเป็นอุปนิสัยในชีวิตประจำวัน
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 3 :
ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อคุณพบ"กุญแจ"นั้น
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมาก เห็นได้ชัดว่ามันมาจากหนังสือคริสเตียนขายดีหลายเล่มที่คริสเตีบนมากมายหวังว่าจะเป็นจริง หนังสือที่สัญญาถึง "ขั้นตอนง่าย ๆ สี่ประการสู่ความเป็นผู้ใหญ่" หรือท"กุญแจสู่ความบริสุทธิ์ในวันนี้" คือ แรงเสริมที่ทำให้คนเชื่อในนิยายเหลวไหลที่ว่าลักษณะนิสัยแบบคริสเตียนสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาชั่วข้ามคืน
คริสเตียนที่จริงใจจำนวนมากทุ่มเทเวลาตลอดชีวิตเพื่อแสวงหาประสบการณ์ การประชุม การฟื้นฟู หนังสือ หรือเทป หรือสัจธรรม อันนั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงเขสให้เป็นผู้ใหญ่ โดยฉับพลัน การค้นหาของพวกเขาจะสูญเปล่า แม้เราจะมีกาแฟสำเร็จรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือแม้แต่เครื่องดื่มลดน้ำหนักสำเร็จรูปก็ยังมี แต่ในโลกนี้ไม่มีของที่เรียกว่า "ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณสำเร็จรูป"
ความจริงคือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา พระเจ้าใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในการพัฒนาเราให้เหมือนพระคริสต์ ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เอเฟซัส 4:13 กล่าวว่า "จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่คือ เต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์" เมื่อกล่าวว่าความเป็นผู้ใหญ่ คือ จุดหมายปลายทาง ก็หมายความว่าเราต้องเดินทาง แม้เราจะอยากให้กระบวนการนี้รวบรัดรวดเร็ว แต่การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็ยังคงเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาตลอดชีวิต
ผมใช้เวลามากมายพยายามเข้าใจองค์ประกอบของกระบวนการนี้ และหาทางสื่อสารกระบวนการนี้อย่างเรียบง่าย เพื่อสมาชิกจะเข้าใจและจำได้ ผมเชื่อมั่นว่า ผู้เชื่อจะโตเร็วขึ้นเมื่อคุณเตรียมทางให้เขาเดินไป ผลก็คือเราได้ปรัชญาในการสอนที่เรียกว่า "กระบวนการพัฒนาชีวิต"
กระบวนการนี้ใช้กีฬาเบสบอลเป็นภาพเปรียบเทียบ เนื่องจากมันเป็นกีฬาที่คนอเมริกาทุกคนเข้าใจ และมันทำให้คนที่เราสอนเข้าใจได้ง่ายว่า เราต้องการให้เขาเป็นผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง เมื่อถึงฐานแต่ละฐาน เราอธิบายให้สมาชิกฟังว่า เราต้องการช่วยให้พวกเขาวิ่งครบทั้งสี่ฐาน เราต้องการให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คทำคะแนนเพราะในกีฬาเบสบอล เมื่อจบเกมแต่ละรอบ เราจะไม่ได้คะแนนสำหรับผู้เล่นที่ค้างอยู่ที่ฐานหนึ่ง สอง และสาม คนที่วนจนครบสี่ฐานเท่านั้นที่ได้คะแนน และฐานทั้งสี่ของเรา คือการเป็นสมาชิก ความเป็นผู้ใหญ่ การรับใช้ และภารกิจ และศิษยาภิบาลแต่ละคนทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน
เมื่อคุณนำคนให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อจะเติบโต และสอนอุปนิสัยพื้นฐานบางอย่าง และให้คำแนะนำขณะที่เขาก้าวหน้าไปแต่ละขั้น คุณก็คาดหวังได้ว่าเขาจะเติบโต
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 4 :
ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณวัดจากสิ่งที่คุณรู้
คริสตจักรมากมายประเมินความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณโดยวัดเพียงแค่ว่า คุณรู้จักบุคคลในพระคัมภีร์ ตีความพระครัมภีร์ ท่องจำข้อพระคัมภีร์ และอธิบายหลักศาสนศาสตร์ได้ดีแค่ไหน บางคนมองว่าความสามารถในการถกประเด็นหลักข้อเชื่อ คือ ข้อพิสูจน์ถึงความเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความรู้จะเป็นพื้นฐานของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ แต่มันก็ไม่ใช่มาตรฐานเดียวที่ใช้วัด
ความจริงคือ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแสดงออกทางพฤติกรรมมากกว่าความเชื่อ ชีวิตคริสเตียนไม่ได้เป็นเพียงหลักข้อเชื่อหรือความเชื่อ แต่มันครอบคลุมถึงการประพฤติและลักษณะนิสัย ความเชื่อต้องมีพฤติกรรมเป็นข้อสนับสนุน การกระทำของเราต้องสอดคล้องกับความเชื่อ
พระคัมภีร์ใหม่สอนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า สิ่งที่แสดงความเป็นผู้ใหญ่คือการกระทำและทัศนคติ ไม่ใช่แค่การกล่าวยืนยันความเชื่อ ยากอบ 2:18 กล่าวตรง ๆ เลยว่า "จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านที่ไม่มีการประพฤติตาม และด้วยการประพฤติตาม ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้า" ยากอบยังกล่าวอีกว่า "ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี" (ยก. 3:13) ถ้าความเชื่อของคุณไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ความเชื่อนั้นก็ไม่มีค่าเท่าใดนัก
เปาโลเชื่อว่าความเชื่อและพฤติกรรมมีความสัมพันธ์กัน ในจดหมายทุกฉบับของท่านจะนำสู่ข้อสรุปที่บอกให้ผู้อ่านประพฤติสิ่งที่ตนเชื่อ เอเฟซัส 5:8 กล่าวว่า "เพราะเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง"
ผู้ที่ตรัสอย่างเฉียบขาดที่สุดคือพระเยซู "ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา" (มธ. 7:16) สิ่งที่แสดงให้เห็นความเป็นผู้ใหญ่คือผล ไม่ใช่ความรู้ ถ้าเราไม่ได้ประพฤติตามสิ่งที่รู้ เราก็ทำอย่างโง่เขลาโดยการ "สร้างเรือนไว้บนทราย" (มธ. 7:24-27)
ดังที่ผมกล่าวแล้วว่า ความรู้พระคัมภีร์เป็นเพียงมาตรวัดอย่างหนึ่งที่ใช้วัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณ นอกจากนั้น เราสามารถวัดความเป็นผู้ใหญ่ได้จากมุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย นี่คือ "การเรียนรู้ห้าระดับ" ที่เราใช้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ในส่วนต่อไปผมจะแบ่งปันวิธีที่เราพยายามพัฒนาสาวกให้เข้มแข็งในห้าส่วนนี้
อันตรายใหญ่หลวงของการมีความรู้โดยปราศจากส่วนประกอบอีกสี่อย่างที่เหลือ คือ มันทำให้เกิดความหยิ่งผยอง "ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น" ความรู้ต้องถ่อมลงด้วยลักษณะนิสัย คริสเตียนที่เนื้อหนังที่สุดบางคนที่ผมรู้จักเป็นเหมือนโกดังเก็บความรู้ทางพระคัมภีร์เลยทีเดียว พวกเขาสามารถอธิบายตอนใดก็ได้ และปกป้องหลักข้อเชื่อได้ทุกข้อ แต่ก็ยังเป็นคนที่ไม่รักผู้อื่น ยึดความชอบธรรมของตนเอง และช่างตัดสิน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณพร้อมกับความหยิ่งผยองในเวลาเดียวกัน
อันตรายของการมีความรู้อีกประการ คือ มันเพิ่มความรับผิดชอบ "เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป" (ยก. 4:17) ยิ่งเรารู้พระวจนะลึกเท่าไหร่ การตัดสินสำหรับเราก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น ถ้าเราไม่ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ ยุทธวิธีที่คริสตจักรของคุณคิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างผู้เชื่อ จะต้องช่วยเขาไม่เพียงให้การเรียนรู้พระวจนะเท่านั้น แต่เราต้องทำให้เขารักพระวจนะ และดำเนินชีวิตตามพระวจนะด้วย
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 5 :
การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องส่วนบุคคล
การบูชาลัทธิปัจเจกนิยม (ยึดถือความเป็นส่วนตัว) ในอเมริกามีอิทธิพลแม้แต่ในวิธีที่เราคิดถึงการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การสอนส่วนมากเอียงไปในลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และสนใจตนเองเป็นหลัก โดยไม่กล่าวถึงความสัมพันธ์กับคริสเตียนคนอื่น ๆ เลย นี่ขัดกับพระคัมภีร์อย่างสิ้นเชิง และละเลยสิ่งที่ได้กล่าวไว้มากมายในพระคัมภีร์ใหม่
ความจริงคือ คริสเตียนจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เพื่อเติบโต เราไม่ได้เติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่เราเติบโตขึ้นในการสามัคคีธรรม ฮีบรู 10:24-25 กล่าวว่า "และขอให้พิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว" พระเจ้าประสงค์ให้เราเติบโตขึ้นในครอบครัว
ในบทที่แล้วผมได้ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์คือ "กาว" ที่ทำให้คนผูกพันกับคริสตจักร แต่ความสัมพันธ์ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่านั้นในการช่วยให้คนเป็นผู้ใหญ่ มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนว่าการสามัคคีธรรมไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน แต่เป็นข้อกำหนด คริสเตียนที่ไม่ได้ผูกพันในความสัมพันธ์แห่งความรักกับผู้เชื่ออื่น ๆ ก็กำลังไม่เชื่อฟังพระบัญชาต่าง ๆ ที่มีคำว่า "ซึ่งกันและกัน"
ยอห์นบอกเราว่า ข้อพิสูจน์ว่าเราเดินในความสว่าง คือ เรามี "สามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน" (1 ยอห์น 1:7) ถ้าคุณๅไม่ได้มีสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อเป็นประจำ คุณควรถามตัวเองอย่างจริงจังว่า คุณกำลังเดินในความสว่างจริง ๆ หรือเปล่า
ยอห์นยังบอกอีกว่า เราจำเป็นต้องถามตัวเองว่า เรารอดแล้วจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเราไม่รักพี่น้องผู้เชื่อ "เราทั้งหลายรู้ว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความตาย" (1 ยอห์น 3:14) ถ้าความสัมพันธ์กับผู้เชื่อสำคัญขนาดนี้ ทำไมคริสตจักรจึงไม่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ให้มากกว่านี้
คุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระคริสต์สามารถเห็นได้จากความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อผู้เชื่อด้วยกัน "ถ้าผู้ใดว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้" (1 ยอห์น 4:20) ให้สังเกตว่ายอห์นใช้คำว่า "ไม่ได้" เป็นไปไม่ได้ที่จะรักพระเจ้า ถ้าคุณไม่รักลูก ๆ ของพระองค์
พระเยซูยังสอนด้วยว่าถ้าเราขาดจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง การนมัสการของเราก็ไร้ค่า (มัทธิว 5:23-24) คริสเตียนไม่สามารถมีความสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและขาดจากสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อในเวลาเดียวกันได้
เหตุผลหนึ่งที่คริสเตียนมากมายไม่เคยเป็นพยาน คือ เขาไม่รู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน เพราะไม่เคยอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ หรือพัฒนามิตรภาพ เขามีทักษะการสร้างความสัมพันธ์น้อยมาก เขาไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนไม่เชื่อ เพราะแม้แต่ผู้เชื่อเขาก็สร้างสัมพันธ์ด้วยไม่เป็น เราต้องสอนให้เขารู้วิธีพัฒนาความสัมพันธ์แม้ว่าเรื่องนี้จะเห็นกันชัด ๆ แต่คริสตจักรน้อยแห่งเท่านั้นที่ใช้เวลาสอนให้สมาชิกสร้างความสัมพันธ์ต่อกันและกัน
ความเข้าใจผิด ๆ ประการที่ 6 :
ทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับการเติบโต คือ การศึกษาพระคัมภีร์
คริสตจักรหลายแห่งสร้างขึ้นบนความเข้าใจผิดนี้ ผมเรียกคริสตจักรเหล่านี้ว่า "คริสตจักรห้องเรียน" คริสตจักรห้องเรียนมักจะยึดติดกับสมองซีกซ้าย และเน้นว่าความรู้ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญ เน้นคำสอนเรื่องเนื้อหาและหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอารมณ์ ประสบการณ์ และความสัมพันธ์น้อยมาก คริสตจักรห้องเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งกล่าวว่า ทั้งหมดที่คุณต้องการสำหรับการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณคือ "หลักข้อเชื่อในสมองส่วนหน้า"
ความจริงคือ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเกิดจากประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าในหลากหลายรูปแบบ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงครอบคลุมถึงการมีหัวใจที่นมัสการและสรรเสริญพระเจ้า เสริมสร้างและชื่นชมกับความสัมพันธ์แห่งความรัก ใช้ของประทานและความสามารถพิเศษเพื่อปรนนิบัติผู้อื่น และแบ่งบันความเชื่อแก่คนที่หลงหาย ยุทธวิธีที่คริสตจักรใช้นำคนไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ต้องครอบคลุมประสบการณ์เหล่านี้ ทั้งหมด คือ นมัสการ สามัคคีธรรม ศึกษาพระคัมภีร์ ประกาศและรับใช้ พูดอีกอย่างก็คือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นโดยการเข้าร่วมในวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการของคริสตจักร คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่เพียงศึกษาเรื่องชีวิตคริสเตียนเท่านั้น แต่พวกเขามีประสบการณ์กับชีวิตคริสเตียนโดยตรง
เนื่องจากคริสเตียนบางคนได้ทำผิดพลาด โดยเน้นประสบการณ์ทางอารมณ์มากเกินไป จนละเลยหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ คริสตจักรหลายแห่งจึงลดคุณค่าของประสบการณ์ในการเติบโตฝ่ายวิญญาณลง พวกเขาตอบโต้กลุ่มที่ยกย่องประสบการณ์ โดยการกระทำที่ตกขอบไปอีกข้าง นั่นคือเขาไม่ยอมให้มีการเน้นประสบการณ์ใด ๆ เลย และมองประสบการณ์ทุกอย่างด้วยความสงสัย โดยเฉพาะประสบการณ์ที่มีผลต่ออารมณ์
น่าเศร้าที่กระทำเช่นนี้เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีอารมณ์เช่นเดียวกับที่ทรงให้มีความคิด พระเจ้าทรงประทานความรู้สึกแก่เราโดยมีจุดมุ่งหมาย เมื่อคุณเอาประสบการณ์ทั้งหมดออกไปจากกระบวนการเติบโต คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากหลักข้อเชื่อที่เป็นหมันอยู่ในสมอง ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้แต่ไม่สามารถชื่นชมหรือปฏิบัติได้
เฉลยธรรมบัญญัติ 11:2 กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงพิจารณาในวันนี้ (เพราะข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับลูกหลานของท่านทั้งหลาย ผู้ไม่ได้รู้เรื่องหรือเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น)" ประสบการณ์คือครูที่ยิ่งใหญ่ ที่จริงมีบทเรียนบางอย่างที่เราจะเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ เท่านั้น ผมชอบคำถอดความสุภาษิต 20:30 ที่กล่าวว่า "บางครั้งเราต้องพบประสบการณ์ที่เจ็บปวดจึงจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้"
ครั้งหนึ่งผมได้ฟังจีน เก็ทซ์ ครูสอนพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า การศึกษาพระคัมภีร์ ในตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้เกิดชีวิตฝ่ายวิญญาณ ที่จริงมันทำให้เกิดชีวิตฝ่ายเนื้อหนังถ้าเราไม่นำมาประยุกต์และปฏิบัติในชีวิต" ผมพบว่านี่เป็นความจริง การศึกษาโดยปราศจากการรับใช้ คือ การผลิตคริสเตียนที่มีทัศนคติชอบพิพากษาและเย่อหยิ่งฝ่ายวิญญาณ
ถ้าคริสตศาสนาเป็นปรัชญา เช่นนั้นการศึกษาคงเป็นกิจกรรมหลักของเรา แต่คริสตศาสนาเป็นความสัมพันธ์และชีวิต คำที่ใช้บ่อยที่สุดเวลาบรรยายถึงชีวิตคริสเตียนคือ รัก ให้ เชื่อ และรับใช้ พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะเรียน" อันที่จริง คำว่า "เรียน" ปรากฏเพียงสองสามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่ถ้าคุณดูตารางเวลาของคริสตจักรจำนวนมาก คุณจะเข้าใจว่าการเรียน คือ หน้าท่ีหลักของคริสเตียน
สิ่งสุดท้ายที่ผู้เชื่อจำนงนมากจำเป็นต้องใช้รับ คือ การเรียนพระคัมภีร์เพิ่มเติมพวกเขารู้มากเกินกว่าจะทำได้อยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการ คือ ประสบการณ์ในการรับใช้และการประกาศ ซึ่งเขาจะสามารถ ประยุกต์ใช้ สิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เขาต้องการประสบการณ์ในความสัมพันธ์ (เช่นกลุ่มย่อย) ซึ่งเขาจะรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสิ่งที่เขารู้ และเขาต้องการประสบการณ์ในการนมัสการที่มีความหมาย ซึ่งเขาสามารถ แสดง ความชื่นชมให้พระเจ้าตามที่เขาได้รู้
ยากอบจำเป็นต้องเตือนคริสเตียนยุคแรกว่า "แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง" (ยากอบ 1:22) มีภาพโบราณที่เปรียบเทียบเรื้องนี้ คือ บ่อน้ำที่เน่าเสียเพราะไม่มีทางระบายน้ำออก เมื่อตารางเวลาของคริสเตียนเต็มไปด้วยการรับความรู้ทางพระคัมภีร์ แต่ไม่มีการถ่ายเทออกเป็นการรับใช้และการประกาศ การเติบโตฝ่ายวิญญาณของเขาก็จะเน่าเสีย การเรียนรู้โดยไม่มีการแสดงออกจะนำไปสู่ความเฉื่อยชา
คริสตจักรทำร้ายสมาชิกอย่างร้ายแรง โดยการทำให้เขาต้องยุ่งอยู่กับการเรียนบทเรียนใหม่ ๆ จนเขาไม่มีเวลานำบทเรียนเก่า ๆ ไปใช้ พวกเขาลืมบทเรียนเสียก่อนจะเข้าใจลึกซึ้งและปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็คิดไปว่าตนเองโตขึ้น เพราะสมุดบันทึกของเขาหนาขึ้น เรื่องนี้ก็เป็นความโง่เขลา
โปรดอย่าคิดว่าผมไม่เห็นคุณค่าของการศึกษาพระคัมภีร์ ความจริง คือ ตรงกันข้าม ผมเขียนตำราเกี่ยวกับวิธีศึกษาพระคัมภีร์ชื่อ Dynamic Bible Study Method (วิธีศึกษาพระคัมภีร์อย่างพลัง) เราต้อง "มุ่งหน้าต่อไปในพระวจนะ" เพื่อจะเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่สิ่งที่ผมจะบอกคือ เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าการศึกษา เพียงอย่างเดียว จะทำให้คนเป็นผู้ใหญ่ การศึกษาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในกระบวนการสู่ความเป็นผู้ใหญ่ นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว คนเรายังจำเป็นต้องมีประสบการณ์เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คริสตจักรต้องมียุทธวิธีที่ สมดุล เพื่อการสร้างสาวก
วางแผนยุทธวิธี
ยุทธวิธีสร้างสาวกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีพื้นฐานอยู่บนความจริงหกประการ ซึ่งผมได้ชี้ให้เห็นว่าขัดแย้งกับความเข้าใจผิด ๆ ทั้งหกประการอย่างไร เราเชื่อว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เริ่มต้นจากการมอบถวายชีวิต เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อบไป เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุปนิสัย วัดได้โดยตัวแปรห้าประการ รับการกระตุ้นจากความสัมพันธ์ และผู้ที่จะเติบโตจำเป็นต้องมีส่วนในวัตถุประสงค์ห้าประการของคริสตจักร
ยกระดับการอุทิศชีวิต
ผมชอบที่ เอลตัน ทรูบลัด เรียกคริสตจักรว่า "บริษัทของผู้อุทิศชีวิต" จะวิเศษมากถ้าคริสตจักรทุกแห่งมีชื่อเสียงเรื่องการอุทิศชีวิตของสมาชิก
วิธีหนึ่งที่จะวัดว่าคริสตจักรเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณหรือไม่ คือ เมื่อเวลาผ่านไปมาตรฐานสำหรับการเป็นผู้นำคริสตจักรเข้มงวดขึ้นหรือไม่ เช่นที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เมื่อหลายปีผ่านไป เราได้ทำมาตรฐานเข้มงวดขึ้นไม่ใช่น้อย และเราก็เพิ่มเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับงานรับใช้อื่น ๆ ด้วย เช่น ศิษยาภิบาลฆราวาส และนักดนตรี
ทุกครั้งที่คุณเพิ่มมาตรฐานสำหรับผู้นำ คุณก็จะยกระดับทุกคนในคริสตจักรขึ้นอีกเล็กน้อย เหมือนวลีที่ว่า "เมื่อน้ำขึ้น เรือทุกลำก็ลอยสูงขึ้น" ให้คุณมุ่งเน้นที่การยกระดับการอุทิศชีวิตเพียงส่วนหนึ่ง คุณจะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณยกระดับมาตรฐานการอุทิศชีวิตของผู้นำในตำแหน่งที่โดดเด่น คุณก็ได้ยกระดับความคาดหวังสำหรับคนอื่น ๆ ที่เหลือด้วย
แล้วคุณจะทำให้คนอุทิศชีวิตเพื่อกระบวนการเติบโตฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร
คุณต้องเรียนร้องให้คนอุทิศชีวิต ถ้าคุณไม่เรียกร้องให้คนอุทิศชีวิต คุณก็จะไม่ได้คนที่อุทิศชีวิต และถ้าคุณไม่เรียกร้องให้สมาชิกอุทิศชีวิตเพื่อคริสตจักร คุณแน่ใจได้เลยว่า คนกลุ่มอื่นจะเรียกร้องการอุทิศชีวิตจากพวกเขา เช่น องค์กรประชาชน สมาคมช่วยเหลือสังคม พรรคการเมือง หรืองานรับใช้ขององค์การคริสเตียน ปัญหาไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอุทิศชีวิตหรือไม่ แต่ปัญหาคือเขาจะอุทิศชีวิตให้ใคร ถ้าคริสตจักรไม่เรียกร้องและคาดหวังการอุทิศชีวิต พวกเขาก็จะสรุปเอาเองว่า กิจกรรมที่คริสตจักรทำนั้นไม่สำคัญเท่ากิจกรรมอื่น ๆ ที่เขาทำ
ผมประหลาดใจมาก เมื่อเห็นองค์กรทางสังคมเรียกร้องจากสมาชิกมากกว่าที่คริสตจักรท้องถิ่นเรียกร้อง ถ้าคุณเคยเป็นผู้ปกครองเด็กที่ลงแข่งกีฬา (ในสหรัฐฯ) คุณก็จะรู้ว่า เมื่อลูกของคุณลงชื่อร่วมทีม คุณ ก็มีหน้าที่จะทุ่มเทให้แก่ทีม โดยการเตรียมเครื่องดื่ม การรับส่ง ถ้วยรางวัล และงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ คุณจะไม่เพียงแค่มาชมการแข่งขันเท่านั้น และสำหรับคุณแล้ว การมีส่วนร่วมนั้นก็ไม่ใช่ ความสมัครใจของคุณเลย
สิ่งหนึ่งที่คริสตจักรสามารถช่วยสมาชิกอย่างมากคือ การช่วยเขาให้แยกแยะได้ว่าควรทุ่มเทชีวิตเพื่อสิ่งใด และควรลดการทุ่มเทในสิ่งใด เหตุผลที่เรามีคริสเตียนอ่อนแออมากมายก็เพราะ พวกเขาทุ่มเทแบบสองจิตสองใจให้หลาย ๆ สิ่ง แทนที่จะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อสิ่งที่สำคัญที่สุด อุปสรรคที่ทำให้คนมากมายไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เพราะเขาขาดการอุทิศชีวิต แต่เป็นเพราะเขาอุทิศชีวิตให้แก่สิ่งที่ผิด เราต้องสอนคนให้อุทิศชีวิตอย่างเฉลียวฉลาด
เรียกร้องด้วยความมั่นใจให้คนทุ่มเททั้งชีวิต พระเยซูเรียกร้องการอุทิศชีวิตอย่างชัดเจนและมั่นใจเสมอ พระองค์ไม่เคยลังเลที่จะเรียกร้องให้ชายและหญิงสละสิ่งสารพัดและติดตามพระองค์ และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ ยิ่งคุณเรียกร้องการอุทิศชีวิตมากเท่าใด คุณก็ยิ่งได้รับการตอบสนองมากเท่านั้น
คนเรา ต้องการ อุทิศชีวิตให้บางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายต่อชีวิต เราตอบสนองต่อความรับผิดชอบที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย สิ่งที่ดึงดูดใจเราคือนิมิตที่ท้าทายตรงกันข้าม คนจะเฉยเมยต่อข้อเรียกร้องที่อ่อนปวกเปียกและการร้องขอความช่วยเหลือที่น่าสมเพช พระเยซูทราบเรื่องนี้ดีเมื่อพระองค์ตรัสในลูกา 14:33 "ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้" พระองค์เรียกร้องให้คนอุทิศทั้งชีวิต
อาทิตย์หนึ่ง ผมสรุปคำเทศนาโดยแจกบัตรมอบถวายชีวิตชนิดพิเศษ ซึ่งเรียกร้องให้คนมอบถวายชีวิต ทั้งหมด แด่พระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงินทอง ความมุ่งหมายในชีวิต อุปนิสัย ความสัมพันธ์ อาชีพ ครอบครัว และแรงกาย ผมต้องประหลาดใจไม่ใช่เพราะเราได้บัตรกลับมาเป็นพัน ๆ ใบ แต่เพราะในจำนวนนั้นมี 177 ใบที่ลงชื่อโดยคนที่ไม่เคยลงชื่อในบัตรทะเบียนปกติ แม้เขาบอกว่าเขามานมัสการเป็นปี ๆ แล้วเขาไม่เคยรู้สึกว่ามันคุ้มกับเวลาของตนที่จะลงชื่อในบัตรลงทะเบียนประจำสัปดาห์ บางครั้งการเรียกร้องให้คนอุทิศชีวิตครั้งใหญ่ก็ง่ายกว่าให้เขาอุทิศชีวิตเพียงเล็กน้อย
ศิษยาภิบาลบางคนกลัวที่จะเรียกร้องให้คนอุทิศชีวิตทั้งหมด เขากลัวว่าคนจะพากันหนีไป แต่คนจะโกรธเคืองที่คุณเรียกร้องให้เขาอุทิศชีวิต ถ้าคุณมีจุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังการเรียกร้องนั้น ความแตกต่างสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ คนจะตอบสนองต่อนิมิตที่ร้อนแรง ไม่ใช่ความขาดแคลน นี่คือสาเหตุที่การเน้นเรื่องการเป็นผู้อารักขาที่ดีนั้น หลายครั้งไม่ได้ผล เพราะมันเน้นที่ความขาดแคลนของคริสตจักรไม่ใช่นิมิตของคริสตจักร
เรียกร้องการอุทิศชีวิตอย่างเจาะจง กุญแจอีกดอกในการยกระดับการอุทิศชีวิต คือ พูดอย่างเจาะจง บอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่า คุณคาดหวังอะไรจากเขา ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค แทนที่เราจะพูดว่า "จงอุทิศชีวิตเพื่อพระเยซู" เราอธิบายอย่างเจาะจงว่า การอุทิศชีวิตให้พระเยซูนั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เราเรียกให้คนมอบชีวิตแด่พระคริสต์ แล้วจึงให้บัพติศมา แล้วจึงให้เป็นสมาชิก แล้วจึงพัฒนาอุปนิสัยเพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ แล้วจึงให้เขาทำงานรับใช้ และสุดท้ายคือ นำให้เขาทำภารกิจแห่งชีวิตครอบคลุมถึงอะไรบ้าง
อธิบายประโยชน์ของการอุทิศชีวิต กุญแจอีกดอกในการยกระดับการอุทิศชีวิตคือ บอกให้เขารู้ประโยชน์ของการมอบถวายชีวิต พระเจ้าบอกเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าในพระคัมภีร์ พระบัญชามากมายมีพระสัญญาที่แสนวิเศษแนบติดมาด้วย เราจะลงเอยด้วยพระพรเสมอเมื่อเราเชื่อฟัง
อย่าลืมอธิบายประโยชน์ส่วนบุคคล ประโยชน์สำหรับครอบครัว ประโยชน์สำหรับพระกายของพระคริสต์และสังคมทั่วไป และประโยชน์ นิรันดร์ คนเรามีความปรารถนาตามธรรมชาติที่จะเรียนรู้ เติบโต และพัฒนา แต่บางครั้งคุณก็ต้องปลุกความปรารถนานั้นให้ตื่นขึ้น โดยการบอกให้เขารู้เป้าหมายของการเรียนรู้และวัตถุประสงค์ของการเติบโต ในด้านคุณค่าและประโยชน์สำหรับเขา
บางครั้งผมทึ่งกับวิธีการที่นักโฆษณาทำให้สินค้าธรรมดา ๆ อย่างยาดับกลิ่นกาย ผงซักฟอก และน้ำยาล้างจาน กลายเป็นเหมือนสิ่งที่จะทำให้ให้คุณพบ ความหมายในชีวิต ความกระฉับกระเฉง และความสุขสดชื่นใหม่ ๆ นักโฆษณาเป็นปรามาจารย์ด้านการใช้บรรจุภัณฑ์ มันช่างเสียดแทงใจที่คริสตจักรมีเคล็ดลับที่แท้จริงแห่งความหมายความสำคัญ และความพึงพอใจในชีวิต แต่เรามักจะนำเสนอในรูปแบบที่จืดชืด ไม่น่าดึงดูด
ในตอนเริ่มต้นชั้นเรียน 101, 201, 301 และ 401 เราชี้ให้เห็นคุณค่าและประโชยน์ของการเข้าเรียนโดยการกล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่ชั้นเรียนนี้จะให้แก่คุณ" และเราอธิบายชัดเจนถึงประโยชน์ของการอุทิศชีวิตเพื่อพันธสัญญาทั้งสี่ประการด้วย
สร้างคนขึ้นบนการมอบถวายชีวิต ไม่ใช่เพื่อให้มอบถวายชีวิต แม้คุณจะบอกสมาชิกว่าคุณจะพาเขาไปสู่จุดไหน (โดยการท้าทายให้เขามอบถวายชีวิตทั้งหมด) แต่เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องเริ่มต้นจากการมอบถวายชีวิตในระดับที่เขาสามารถทำได้ ไม่ว่ามันจะดูเล็กน้อยเพีบงใด
เราท้าทายให้คนตัดสินใจมอบถวายชีวิต แล้วจึงเติบโตไปสู่สิ่งที่เขาตัดสินใจนั้น มันคล้ายกับการเป็นพ่อแม่ มีสามีภรรยาน้อยคู่ที่รู้สึกว่าตนเองพร้อมก่อนที่จะมีลูกคนแรก แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หลังจากตัดสินใจแล้วและลูกคนแรกเกิดมา ทั้งสองเติบโตขึ้นสู่บทบาทของการเป็นพ่อแม่
คุณอาจแบ่งการมอบถวายชีวิตเป็นหลายขั้นตอน และค่อย ๆ นำเขาให้พัฒนาขึ้นก็ได้ เรามีเจตนาอยู่เบื้องหลังกระบวนการพัฒนาชีวิต (โดยเปรียบกับเบสบอล ซึ่งผู้เล่นต้องวิ่งวนครบสี่ฐานจึงจะได้คะแนน) โดยไม่คาดหวังว่าคนจะเติบโตจากผู้เชื่อใหม่และอุทิศชีวิตเหมือนบิลลี่ เกรแฮม หรือแม่ชีเทเรซาในเวลาข้ามคืน เราปล่อยให้เขาเดินเตาะแตะก่อน การใช้ภาพสนามเบสบอลทำให้คนรู้ว่าเขามาไกลแค่ไหนแล้ว และต้องไปอีกไกลแค่ไหน
เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีการเฉลิมฉลองทุกครั้งที่มีสมาชิกตัดสินใจรุดหน้าไปฐานต่อไป สมาชิกควรได้รับการยอมรับและรางวัล ในความสามารถที่จะตัดสินใจและยืนหยัดในการมอบถวายชีวิต ให้คุณจุดงานเฉลิมฉลองเพื่อประกาศการเติบโตนั้นต่อสาธารณชน เราจัดงานเลี้ยงทุกสิ้นปีเพื่อแสดงความยินดีกับคนที่ลงนามในพันธสัญญาการเติบโต และยืนยันการตัดสินใจนั้นสำหรับปีต่อไป
งานฉลองทำให้คนสัมผัสถึงความรู้สึกแห่งความสำเร็จ และกระตุ้นให้เขาได้ก้าวหน้าต่อไป ครั้งหนึ่งมีคนบอกผมว่า "ผมเรียนรวีฯ มากกว่าสามสิบปีแล้ว ผมจะมีวันจบการศึกษาไหนครับ" ฉะนั้น ในงานฉลองให้คุณเปิดโอกาสให้คนเล่าคำพยานว่าการพัฒนาระดับการอุทิศชีวิตเป็นพระพรในชีวิตเขาอย่างไร
ช่วยให้สมาชิกพัฒนาอุปนิสัยแห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
วิธีที่ใช้ได้จริงและได้ผมที่สุด ในการทำให้ผู้เชื่อมุ่งไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คือ การช่วยเขาพัฒนาอุปนิสัยที่ส่งเสริมการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมักเรียกกันว่า วินัยฝ่ายวิญญาณ แต่เราเลือกใช้คำว่า อุปนิสัย เพราะมันฟังดูน่ากลัวน้อยกว่าในความรู้สึกของผู้เชื่อใหม่ ขณะที่เราสอนว่าการเป็นสาวกย่อมต้องอาศัยวินัย เราก็เชื่อด้วยว่าอุปนิสัยเหล่านี้มีไว้ให้ เพลิดเพลิน ไม่ใช่ให้ทนรับ เราไม่ต้องการให้คนกลัวการฝึกฝนฝ่ายวิญญาณ ซึ่งจะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างเขาให้แข็งแกร่ง
ครั้งหนึ่ง ดอสโตเยฟสกี้กล่าวว่า "ช่วงครึ่งหลังของชีวิตคนเกิดจากอุปนิสัยที่เขาสั่งสมมาในช่วงครึ่งแรกของชีวิต" (ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักประพันธ์ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซียควบคู่กับลีโอ ตอลสตอย เขาได้สมญาว่า "ภูผาแห่งวรรณกรรมรัสเซีย" - ผู้แปล) และปาสกาลกล่าวว่า "ความแข็งแกร่งแห่งคุณธรรมของมนุษย์นั้นวัดด้วยการกระทำที่เป็นนิสัย" มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอุปนิสัย ถ้าเราไม่สร้างอุปนิสัยดี ๆ เราก็จะสร้างอุปนิสัยแย่ ๆ
มีอุปนิสัยดี ๆ เป็นสิบ ๆ อย่างที่จำเป็นสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ในการวางแผนชั้นเรียน 201 ผมใช้เวลายาวนานคิดถึงอุปนิสัยที่เป็นรากฐาน ซึ่งคนต้องเรียนรู้เสียก่อนจึงจะเติบโตได้ อย่างน้อยเขาต้องมีอุปนิสัยใดบ้างเพื่อจะเติบโต และอะไรคืออุปนิสัยที่เป็นหัวใจสำคัญซึ่งก่อให้เกิดอุปนิสัยอื่น ๆ ขณะผมศึกษา ผมก็ต้องย้อนกลับมาที่อุปนิสัยกลุ่มหนึ่งเสมอ เพราะถ้าเป็นเจ้านายของพระคริสต์ครอบคลุมถึงอุปนิสัยกลุ่มนี้เมื่อไหร่ พระองค์ก็ครอบครองอย่างแท้จริง อุปนิสัยกลุ่มนี้มีสามด้านคือ อุปนิสัยที่มีผมต่อเวลา เงินทอง และความสัมพันธ์
ชั้นเรียน 201 "ค้นพบความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" เน้นการพัฒนาอุปนิสัยพื้นฐานสี่ประการสำหรับสาวก คือ อุปนิสัยการใช้เวลากับพระวจนะ อุปนิสัยในการอธิษฐาน อุปนิสัยการถวายสิบลด และอุปนิสัยการสามัคคีธรรม อุปนิสัยเหล่านี้ตั้งอยู่บนคำตรัสของพระเยซูที่บรรยายถึงสาวก สาวกที่เชื่อฟังพระวจนะ (ยอห์น 8:31-32) สาวกอธิษฐานและเกิดผล (ยอห์น 15:7-8) สาวกไม่ถูกทรัพย์สมบัติครอบงำ (ลูกา 14:33) และสาวกแสดงความรักต่อผู้เชื่ออื่น ๆ (ยอห์น 13:34-35)
หลังจากสอนว่าอุปนิสัยเหล่านี้คืออะไร ทำไมต้องมี มีเนื้อใด และมีได้อย่างไร ชั้นเรียนนี้ก็ยังครอบคลุมถึงขั้นตอนที่ปฏิบัติได้จริง เพื่อสมาชิกจะเริ่มต้นและรักษาอุปนิสัยอื่นๆ ในเนหะมีย์ 9:38 ทั้งชนชาติทำพันธสัญญาฝ่ายวิญญาณร่วมกัน ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้บรรดาผู้นำลงนามเป็นสักขีพยาน ตอนท้ายของชั้นเรียน 201 เราสรุปโดยการให้ทุกคนลงนามในพันธสัญญาการเติบโต และรวบรวมบัตรที่สมาชิกลงนามแล้ว โดยผมจะลงนามเป็นสักขีพยาน เราเคลือบมัน แล้วจึงคืนให้สมาชิกเพื่อเขาจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ทุกปีเรารื้อฟื้นการมอบถวายชีวิตอีกครั้งและออกบัตรใหม่ เราพบว่าการยืนยันการมอบถวายชีวิตใหม่ทุก ๆ ปีจะช่วยสมาชิกที่ท้อใจหรือทิ้งอุปนิสัยดังกล่าวให้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่
คนที่ผ่านชั้นเรียน 201 กลายเป็นผู้ใหญ่ทันทีเลยหรือเปล่า แน่นอน ไม่ใช่ เราจึงตั้งชื่อมันว่า "ค้นพบ ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" วัตถุประสงค์คือ ทำให้สมาชิกเริ่มออกเดินทาง เมื่อเขาผ่านชั้นเรียน เขาจะตั้งใจทำตามกระบวนการ และอุปนิสัยพื้นฐานซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต แม้เขาจะยังต้องต่อสู้ดิ้นรนในการเดินทางนี้ แต่เขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรหลังจบจากชั้นนี้ มันน่าประทับใจมากเมื่อเห็นสมาชิกในแต่ละชั้นมอบถวายเวลา เงินทอง และความสัมพันธ์แด่พระคริสต์ ใบหน้าของเขาเต็มด้วยความหวังและความคาดหวังว่าเขาจะเติบโต และเขาก็เติบโตจริง ๆ
สร้างระบบคริสเตียนศึกษาที่สมดุล
ผมกล่าวก่อนหน้านี้ว่า มีมาตรฐานห้าประการที่ใช้วัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ ความรู้ มุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย การเรียนรู้ห้าระดับนี้เป็นอิฐแต่ละก้อนที่ก่อขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ระบบคริสเตียนศึกษาได้รับการสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงทั้งห้าระดับนี้ คงไม่มีเนื้อที่พอให้ผมพูดถึงวิชาต่าง ๆ ในสถาบันพัฒนาชีวิตของเราแต่ผมอยากอธิบายว่าเราพัฒนาระบบหลัก ๆ เพื่อช่วยการเรียนรู้แต่ละระดับอย่างไร
ความรู้ถึงพระวจนะ ในการเริ่มพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณคุณจำเป็นต้องถามสองคำถาม "สมาชิกรู้อะไรแล้วบ้าง" และ "เขาจำเป็นต้องรู้อะไร" สำหรับคริสตจักรที่เติบโตด้วยจำนวนลูกหลานของสมาชิก หรือเติบโตเพราะคนย้ายมาจากคริสตจักรอื่น คุณก็อาจมีสมาชิกหลายคนที่มีความรู้พระคัมภีร์ดี แต่นั่นไม่ใช่ในกรณีของคริสตจักรที่ตั้งขึ้นเพื่อนำคนไม่เป็นคริสเตียน คุณจะเหมาเอาว่าสมาชิกใหม่รู้พระคัมภีร์ไม่ได้ คุณต้องเริ่มจากศูนย์
พิธีบัพติศมาล่าสุดของเรามีผู้เชื่อใหม่ 63 คน มีคนที่เคยนับถือศาสนาพุทธลักธิมอร์มอน คนที่มีพื้นเพเป็นยิว และอดีตแม่ชีคอธอลิก เมื่อคุณได้อดีตคนถือลัทธินิวเอจและอดีตคนไม่มีศาสนา คุณก็ต้องทำงานหนักพอสมควร เขาอาจไม่รู้จักแม้แต่บุคคลในพระคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด
ทอม ฮอลลาเดย์ ศิษยาภิบาลของเราที่นำทีมพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ เล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาสนทนากับผู้เชื่อใหม่เอี่ยมที่กำลังต่อสู้กับการทดลองใจ ทอมเปิดให้ดูยากอบบทที่ 1 แล้วอธิบายจุดหมายของการทดลองใจ เมื่อชายคนนั้นจะลุกออกไปจากห้องทำงานทอม เขาพูดว่า "ผมนึกว่าการทดลองใจเป็นผลมาจากบาปในอดีตเสียอีก" ทอมตระหนักว่าชายคนนี้จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคำอธิบายเรื่องการทดลองใจ เขาจำเป็นต้องเข้าใจมุมมองชีวิตตามอย่างพระคัมภีร์
ในระดับ "ความรู้" คริสตจักรคุณจำเป็นต้องให้การศึกษาพระคัมภีร์สำหรับ "ผู้เชื่อใหม่" รวมทั้งการสำรวจพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ครั้งหนึ่งเราใช้ 27 สัปดาห์สำรวจพระคัมภีร์ใหม่ 27 เล่ม มีหลักสูตรสำรวจพระคัมภีร์ดี ๆ มากมาย รวมถึง Walk Thru the Bible (เดินผ่านพระคัมภีร์) ที่โด่งดัง
หลักสูตรพัฒนาความรู้ทางพระคัมภีร์ที่ใหญ่ที่สุดของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คคือ วิชาศึกษาพระคัภีร์เจาะลึกยาว 9 เดือน สอนโดยครูที่เป็นสมาชิกของเรา เราเรียกวิชานี้ว่า WORD ซึ่งย่อมาจากกิจกรรม 4 อย่างในวิชานี้ คือ W - Wonder คือ อยากรู้ (ถามคำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนั้น) O - Observe คือสังเกต R - Reflect คือใคร่ครวญ และ D - Do คือลงมือปฏิบัติ วิชานี้มีพื้นฐานจากวิธีการที่ผมเขียนในหนังสือ Dynamic Bible Study Methods แต่ละชั่วโมงมีการบ้านให้ค้นคว้าด้วยตัวเอง มีการบรรยาย และแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเพื่ออภิปรายการบ้าน ชั้นเรียนนี้เริ่มในเดือนกันยายนและจบในเดือนมิถุนายนปีถัดไป เรามีชั้นเรียน WORD สำหรับผู้หญิงสัปดาห์ละสองครั้ง และสำหรับผู้ชายสัปดาห์ละครั้ง
หนังสือทุกเล่มในพระคัมภีร์สำคัญ แต่ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราให้สมาชิกศึกษาหนังสือหลัก ๆ ห้าเล่มก่อนที่เขาจะศึกษาเล่มอื่น ๆ ห้าเล่มนี้ คือ ปฐมกาล ยอห์น โรม เอเฟซัส และยากอบ
มุมมอง มุมมองคือ ความเข้าใจที่เกิดจากการมองเห็นในกรอบที่กว้างขึ้นมุมมอง คือ ความสามารถในการรับรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร แล้วจึงพิจารณาความสัมพันธ์ในเชิงเปรียบเทียบ ในแง่ของจิตวิญญาณ มันหมายถึงการมองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ คำว่า ความเข้าใจ สติปัญญา และ ความหยั่งรู้ ล้วนเกี่ยวข้องกับมุมมอง และมุมมองที่ตรงข้าม คือ ใจแข็งการด้าง ความมืดบอด และ ความเขลา
สดุดี 103:7 กล่าวว่า "พระองค์ทรงสำแดง วิธีการ ของพระองค์แก่โมเสสพระราชกิจของพระองค์แก่ประชาชนอิสราเอล" อิสราเอลต้องเข้าใจว่าพระเจ้าทรงทำอะไร แต่โมเสสต้องเข้าใจว่า ทำไม พระเจ้าทำสิ่งนั้น นี่คือความแตกต่างระหว่างความรู้และมุมมอง ความรู้ก็คือการเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้าตรัสและทำ ส่วนมุมมองก็คือการเรียนรู้ว่าทำไมพระองค์ตรัสและทำเช่นนั้น คือ การตอบคำถามชีวิตที่ว่า "ทำไม"
พระคัมภีร์สอนว่าผู้ไม่เชื่อไม่มีมุมมองฝ่ายวิญญาณ และการขาดมุมมองนั้นคือ เครื่องหมายของความเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ คือ ลักษณะของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ฮีบรู 5:14 กล่าวว่า "อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถ รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว" การเรียนรู้จักมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้ามีประโยชน์มากมาย ซึ่งผมขอบอกสักสี่ประการ
ประการแรก มุมมองทำให้เรารักพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งเราเข้าใจพระลักษณะและวิถีทางของพระเจ้ามากเท่าใด เราก็ยิ่งรักพระองค์มากเท่านั้น เปาโลอธิษฐานว่า "ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือ ให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้" (เอเฟซัส 3:18-19)
ประการที่สอง มุมมองช่วยเราต่อต้านการทดลอง เมื่อเรามองสถานการณ์ผ่านมุมมองของพระเจ้า เราตระหนักว่าผลระยะยาวที่เกิดจากบาปนั้นใหญ่หลวงเกินกว่าความพึงพอใจระยะสั้นที่มันให้ ถ้าปราศจากมุมมองนี้เราก็จะหันเหไปตามแนวโน้มตามธรรมชาติของเรา "มีทางหนึ่งซึ่งคนเรา ดูเหมือน ถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา" (สุภาษิต 14:12)
ประการที่สาม มุมมองช่วยเรารับมือกับการทดลอง เมื่อเรามองชีวิตด้วยมุมมองของพระเจ้า และเห็นว่า "พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง" (โรม 8:28) และ "การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง" (ยากอบ 1:3) มุมมองเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูสามารถทนรับไม้กางเขนได้ (ฮีบรู 12:2) พระองค์มองผ่านความเจ็บปวดไปสู่ความชื่นชมยินดีที่พระองค์จะรับในอนาคต
ประการที่สี่ มุมมองปกป้องเราจากความผิดพลาด ถ้าจะมีเวลาที่คริสเตียนจำเป็นต้องหยั่งรากลงในความจริง เวลานั้นก็คือวันนี้ เราอยู่ในสังคมที่ปฏิเสธว่ามีความจริงสูงสุด และยอมรับว่าความเห็นต่าง ๆ ถูกต้องเท่า ๆ กัน ลัทธิพหุนิยม (เชื่อในความจริงหลายหลาก) ทำให้สังคมเราสับสนมาก ปัญหาไม่ใช่สังคมของเราไม่เชื่ออะไรเลย แต่ปัญหาคือสังคมเราเชื่อไปหมด ทุกสิ่ง ศัตรูร้ายที่สุดของเราไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นการยอมรับทุกอย่าง
สิ่งที่เราต้องการมากในปัจจุบันก็คือ ศิษยาภิบาลและครูที่สอนมุมมองของพระเจ้าอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ งาน เงินทอง ความสุข ความทุกข์ยาก ความดี ความชั่ว ความสัมพันธ์ และเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต เมื่อเรามีมุมมอง "เราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง" มุมมองจะทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีหลักสูตรสอนมุมมองชื่อว่า "มุมมองชีวิต" มันสอนศาสตร์ระบบ (สอนพระคัมภีร์ตามหัวข้อเรื่อง) โดยเคย์ภรรยาของผม และทอม ฮอลลาเดย์ ศิษยาภิบาลด้านพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เขียนหลักสูตร "มุมมองชีวิต" ครอบคลุมถึงหลักข้อเชื่อสำคัญสิบสองประการ และสอนสัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลา 27 สัปดาห์ โดยเคย์ และสมาชิกที่เป็นผู้นำ รูปแบบการสอนเป็นการผสมผสานระหว่างการบรรยายและกลุ่มอภิปราย
มุมมองชีวิต 1
หลักข้อเชื่อ: มุมมองพื้นฐาน
พระเจ้า: พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าและดีกว่าที่ฉันจะคิดได้
พระเยซู: พระเยซูคือพระเจ้าที่สำแดงพระองค์แก่เรา
พระวิญญาณบริสุทธิ์: พระเจ้าดำเนินชีวิตในฉันและผ่านฉันในเวลานี้
การเปิดเผย: พระคัมภีร์คือหนังสือนำทางชีวิตที่ไม่มีข้อผิดพลาดจากพระเจ้า
การเนรมิตสร้าง: ไม่มีอะไรที่ "อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้น" พระเจ้าสร้างทุกสิ่ง
ความรอด: พระคุณเป็นทางเดียวที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
การชำระให้บริสุทธิ์: พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้เราเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์
ความดีและความชั่ว: พระเจ้าอนุญาติให้ความชั่วทำให้เกิดทางเลือก พระเจ้าสามารถทำให้เกิดสิ่งดีได้แม้จากเหตุการณ์เลวร้าย
ชีวิตหลังความตาย: ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น สวรรค์และนรกเป็นสถานที่จริง
คริสตจักร: "มหาอำนาจ" ที่แท้จริงของโลกคือคริสตจักร คริสตจักรจะคงอยู่ตลอดไป
การอธิษฐาน: การอธิษฐานสามารถทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทำได้
การเสด็จมาครั้งที่สอง: พระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อพิพากษาโลกและรับลูก ๆ ของพระองค์
ความมุ่งมั่น พจนานุกรมภาษาอังกฤษมักแปลคำนี้ (conviction) ว่า "ความเชื่อที่แน่วแน่หรือมั่นคง" แท้จริงมันมีความหมายมากกว่านั้น มันรวมถึง ค่านิยม การอุทิศชีวิตและแรงจูงใจ ผมชอบคำจำกัดความที่ได้ยินจาก โฮเวิร์ด เฮนดริกซ์ว่า "ความเชื่อ คือ สิ่งที่คุณเอาไปเถียงกับคนอื่น ความมุ่งมั่น คือ สิ่งที่คุณยอมตายเพื่อมัน" การรู้จะไร้ค่า หากปราศจากความมุ่งมั่นที่จะกระตุ้นให้ลงมือทำจริง ๆ
เมื่อคุณเป็นคริสเตียนใหม่ คุณมักจะทำเพราะคริสเตียนรอบข้างแนะนำหรือทำเป็นตัวอย่าง คุณอาจอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และร่วมนมัสการ เพราะคุณตามแบบอย่างของคนอื่น สำหรับคริสเตียนใหม่ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ดี เด็กเล็ก ๆ ก็เรียนรู้ด้วยวิธีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณโตขึ้น ในที่สุดคุณต้องมีเหตุผลของตนเองในสิ่งที่คุณทำ เหตุผลเหล่านั้นคือ ความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
น่าเศร้าที่คนมากมายมีค่านิยมที่คลุมเครือ จัดลำดับความสับสัน และมีการอุทิศชีวิตกระเจิดกระเจิง ครั้งหนึ่ง เจมส์ กอร์ดอน กล่าวว่า "คนที่ไม่มีความมุ่งมั่น ก็อ่อนแอเหมือนประตูที่ยึดด้วยบานพับอันเดียว"
คนที่ไม่มีความมุ่งมั่นจะตกอยู่ใต้อำนาจของสถานการณ์ ถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่าสิ่งใดสำคัญและจะดำเนินชีวิตอย่างไร คนอื่นจะตัดสินใจแทนคุณ คนที่ไม่มีความมุ่งมั่นจะตามฝูงชนไปอย่างไร้สติยั้งคิด ผมเชื่อว่าเปาโลกำลังพูดถึงความมุ่งมั่น เมื่อท่านกล่าวในโรม 12:2 ว่า "อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรักการเปลี่ยนแปลงจิตใจแล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม"
คริสตจักร ต้อง สอนความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์ เพื่อจะต่อต้านค่านิยมของโลกซึ่งผู้เชื่อได้รับอยู่เป็นประจำ เหมือนภาษิตโบราณที่กล่าวว่า "ถ้าคุณไม่ยืนหยัดเพื่ออะไรสักอย่าง คุณก็จะล้มลงเพื่ออะไรก็ได้" มันน่าเสียดสีมากที่ผู้คนมักจะมีความมุ่งมั่นในเรื่องที่ไม่สำคัญ (เช่น ฟุตบอล แฟชั่น) ขณะที่เขามุ่งมั่นน้อยมากในเรื่องสำคัญ ๆ (สิ่งที่ถูกและผิด)
ความมุ่งมั่นจะช่วยให้เราขยันขันแข็งในการการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การเติบโตต้องใช้เวลาและความพยายาม ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโต คนก็จะท้อถอยและยอมแพ้ ไม่มีใครจะยืนหยัดอยู่กับภารกิจยาก ๆ นอกจากเขาจะเชื่อมั่นว่ามีเหตุผลดี ๆ ที่ทำสิ่งนั้น คริสตจักรอาจสอนวิธีอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์ เป็นพยาน แต่ถ้าไม่มีความมุ่งมั่น เขาก็จะทำได้ไม่นาน
บรรดาคนที่สร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะแง่ดีหรือร้าย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด รวยที่สุด หรือได้รับการศึกษาสูงที่สุด แต่พวกเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นหนักแน่นที่สุด มาร์กซ์, คานนธี, โคลัมบัส และลูเธอร์ คือ คนที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้เพราะความมุ่งมั่นของเขา
ในปี 1943 คนหนุ่มสาว 100,000 คนสวมชุดสีน้ำตาลชุมชนกันเต็มสนามกีฬาโอลิมปิก ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นสนามกีฬาใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานั้น พวกเขาติดเครื่องหมายเพื่อชายบ้าคลั่งที่ยืนอยู่หลังธรรมาสน์ ข้อความบนเครื่องหมายนั้นเขียนว่า "ฮิตเลอร์ เราเป็นของท่าน" และการอุทิศชีวิตของพวกเขาทำให้เขาพิชิตยุโรบได้ หลายปีหลังจากนั้น นักเรียนนักศึกษาชาวจีนอุทิศตนเพื่อจดจำและดำเนินตามปรัชญาในหนังสือเล่มเล็ก ๆ ชื่อ วาทะของท่านประธานเหมา ผมก็คือการปฏิบัติวัฒนธรรมในจีน ซึ่งทำให้ทุกวันนี้มีหนึ่งพันล้านคนตกอยู่ใต้อำนาจของลักธิคอมมิวนิสต์ นี่คือหลังของความมุ่งมั่น
ชีวิตของพระเยซูผลักดันด้วยความมุ่งมั่นที่ว่า พระองค์มาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เกิดความตระหนักลึกซึ้งถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตของพระองค์ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้พระองค์ไม่หันเหไปโดยความสนใจของคนอื่นถ้าคุณต้องการเข้าใจความมุ่งมั่นของพระองค์ ก็ให้คุณศึกษาทุกข้อที่พระเยซูตรัสว่า "เราต้อง…" เมื่อคนพัฒนาความมุ่นมั่นเหมือนอย่างพระคริสต์ เขาก็พัฒนาความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของชีวิต
ความมุ่งมั่นมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมลักธิต่าง ๆ จึงได้รับความนิยม ความเชื่อของลัทธิต่าง ๆ อาจผิดพลาดและผิดกฏหมาย แต่คนในลัทธิเชื่อด้วยความมุ่งมั่นจริง ๆ คริสตจักรที่ไม่มีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและเข้มแข็งจะไม่มีทางดึงดูดให้คนอุทิศชีวิตเพื่อพระคัมภีร์ในระดับที่สมควร ใจเราต้องถูกเผาผลาญด้วยความมุ่งมั่นว่า อาณาจักรของพระเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดในโลกนี้ แวนซ์ ฮาฟเนอร์ มักกล่าวว่า "พระเยซูเรียกร้องความจงรักภักดีมากยิ่งกว่าที่ผู้นำเผด็จการคนใดเคยเรียกร้อง แต่ข้อแตกต่าง คือ พระเยซูมี สิทธิ ที่จะรับความภักดีนั้น"
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราสอนความมุ่งมั่นตามพระคัมภีร์ในทุกรายการชั้นเรียน สัมมนา และคำเทศนา แต่คนก็ เข้าใจ ความมุ่งมั่นได้แค่ที่เราสอน แต่มันแพร่ไปได้ดีที่สุดโดยความสัมพันธ์ ความมุ่งมั่นเป็นโรคติดต่อ คนติดเชื้อความมุ่งมั่นเมื่ออยู่กับคนที่มุ่งมั่น นี่คือเหตุผลที่เราเน้นการใช้กลุ่มย่อยในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาชีวิต ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มุ่งมั่นมีอิทธิพลมากยิ่งกว่าการเพียงแค่ฟังคำเทศนาเรื่องความมุ่งมั่น
ทักษะ ทักษะคือความสามารถในการทำบางสิ่งได้คล่องแคล่วและถูกต้อง คุณพัฒนาทักษะโดยการกระทำและประสบการณ์ ไม่ใช่ฟังคำบรรยาย ในชีวิตคริสเตียนที่คุณต้องพัฒนาทักษะบางอย่างเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ การรับใช้ การเป็นพยาน ความสัมพันธ์ การจัดแบ่งเวลา และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทักษะเป็นเรื่องของ "ขั้นตอนวิธีทำ" ในการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ความรู้และมุมมองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรู้ ความมุ่งมั่นและลักษณะนิสัยเกี่ยวข้องกับ ตัวตนทักษะเกี่ยวข้องกับ การกระทำ เราต้องเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่ผู้ฟัง" (ยากอบ 1:22) การกระทำของเราจะพิสูจน์ว่าเราเป็นครอบครัวของพระเจ้าพระเยซูตรัสว่า "มารดาของเรา และพี่น้องของเรา คือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าและกระทำตาม" (ลก. 8:21)
ผู้เชื่อหลายคนตกอยู่ในความคับข้องใจ เพราะเขารู้ว่าควรทำ อะไร แต่ไม่เคยมีใครสอนว่าจะทำ อย่างไร เขาฟังเทศนามากมายเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาพระคัมภีร์ แต่ไม่มีใครแสดงให้เขาเห็นวิธีศึกษาพระวจนะ มีคนทำให้เขารู้สึกผิดเพราะชีวิตการอธิษฐานอย่างไร และจะสรรเสริญพระลักษณะของพระเจ้าโดยใช้พระนามต่าง ๆ ของพระองค์อย่างไร หรือจะวิงวอนเพื่อผู้อื่นอย่างไร การกระตุ้นโดยไม่มีการอธิบายจะนำไปสู่ความคับข้องใจ เมื่อใดก็ตามที่เรากระตุ้นให้คนทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราย่อมมีความรับผิดชอบที่ต้องอธิบายวิธีทำให้ชัดเจนด้วย
ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรคุณผลิตคริสเตียนที่มีประสิทธิภาพ คุณต้องสอนทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียนและการรับใช้ ทักษะ คือ เคล็ดลับของประสิทธิภาพ จำข้อพระคัมภีร์ที่ผมแบ่งปันในบทที่ 2 ได้ไหมครับ "ถ้าขวานทื่อแล้วและเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ" (หรือทักษะจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ - จากคำแปลภาษาอังกฤษฉบับ NIV)
รายการพัฒนาทักษะของแซคเดิลแบ็คมีชื่อว่า "สัมมนาทักษะชีวิต" สัมมนาเหล่านี้มักยาวสี่ถึงแปดชั่วโมง และมักจะสอนจบในวันเดียว เราค้นพบว่าความสามารถหาเวลาว่างยาว ๆ ในหนึ่งวัน ง่ายกว่าการมาเรียนครั้งละชั่วโมงติดต่อกันหกสัปดาห์อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราก็ขยายเป็นหลายสัปดาห์ เพราะมีเนื่อหามากเกินกว่าจะสอนหมดในวันเดียว
สัมมนาพัฒนาชีวิตทักษะชีวิตแต่ละครั้ง จะเน้นที่ทักษะเพียงอย่างเดียว เช่น วิธีศึกษาพระคัมภีร์ วิธีอธิษฐานอย่างเกิดผล วิธีจัดการกับการทดลอง วิธีจัดเวลาเพื่องานรับใช้ และวิธีอยู่ปรองดองกับผู้อื่น เราจำแนกทักษะที่จำเป็น 9 อย่างซึ่งเราเชื่อว่าจำเป็นสำหรับคริสเตียนทุกคน แต่เราก็มีสัมมนาสำหรับทักษะอื่น ๆ ด้วยเมื่อเรารู้ว่ามีความต้องการบางอย่างในคริสตจักร
ลักษณะนิสัย ลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ คือ เป้าหมายสูงสุดของคริสเตียนศึกษา หากเราตั้งเป้าต่ำกว่านี้ ก็เท่ากับเราพลาดจุดประสงค์ของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เราต้อง "โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงความไพบูรณ์ของพระคริสต์" (เอเฟซัส 4:13)
การพัฒนาลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ คือ ภารกิจที่สำคัญที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะติดตัวเราไปสู่นิรันดร์กาล พระเยซูตรัสชัดเจนในคำเทศนาบนภูเขาว่า บำเหน็จนิรันดร์นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยที่เราสร้างและสำแดงออกในโลกนี้
นี่หมายความว่าวัตถุประสงค์ของการสอนของเราทั้งหมดต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล เปาโลบอกทิโมธีว่าจุดมุ่งหมายในคำสอนของท่านคือ พัฒนาลักษณะนิสัย "แต่จุดประสงค์แห่งคำกำชับนั้นก็คือให้มีความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ" (1 ทิโมธี 1:5)
ลักษณะนิสัยไม่มีทางสร้างกันได้ในห้องเรียน แต่มันสร้างขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต การศึกษาพระคัมภีร์ในห้องเรียนทำหน้าที่เพียง จำแนก ลักษณะนิสัยต่าง ๆ และเรียนรู้วิธีพัฒนาลักษณะนิสัย เราก็จะตอบสนองอย่างถูกต้องเมื่อพระเจ้าให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยสร้างลักษณะนิสัย การพัฒนาลักษณะนิสัยมักจะเกี่ยวข้องกับการเลือก เมื่อเราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ลักษณะนิสัยของเราก็เหมือนพระคริสต์มากขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่เราเลือกตอบสนองต่อสถานการณ์ตามวิธีของพระเจ้า แทนที่จะตามแนวโน้มตามธรรมชาติของเรา เราก็กำลังพัฒนาลักษณะนิสัย ผมเขีิยนหนังสือชื่อ The Power to Change Your Life (พลังเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ) ซึ่งอธิบายเรื่องนี้มากกว่านี้
ถ้าคุณต้องการรู้ว่าลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์เป็นอย่างไร ข้อพระคัมภีร์ที่เหมาะที่สุดสำหรับการเริ่มต้นคือ คุณสมบัติ 9 ประการในกาลาเทีย 5:22-23 "ฝ่ายผลของวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน" และผลของพระวิญญาณคือ ภาพที่สมบูรณ์ของพระคริสต์ พระองค์มีคุณสมบัติทั้ง 9 ประการ ถ้าคุณจะพัฒนาลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ในชีวิตด้วย
แล้วพระเจ้าสร้างผลของพระวิญญาณในชีวิตเราอย่างไร ก็โดยให้เราเผชิญสถานการณ์ที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพื่อเราจะเลือก พระเจ้าสอนเราให้มีความรักอย่างแท้จริง โดยการให้เราอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่น่ารัก (ถ้าอยู่ท่ามกลางคนที่มีความรักก็ไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยอะไร) พระองค์สอนให้เราชื่นชมยินดีในช่วงเวลาทุกข์โศก (ความชื่นชมยินดีเป็นเรื่องภายใน ความสุขก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ แต่ความชื่นชมยินดีเป็นอิสระจากเหตุการณ์) พระองค์สร้างสันติสุขในเรา โดยให้เราอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเพื่อเราจะเรียนรู้จักวางใจในพระองค์ (ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณต้องการก็ไม่ต้องการก็ไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยอะไรเพื่อจะมีสันติสุข)
พระเจ้าใส่ใจกับลักษณะนิสัยของเรามากกว่าความสะดวกสบายของเรา และพระองค์มีแผนการเพื่อทำให้เราสมบูรณ์ ไม่ใช่ทะนุถนอมตามใจเรา โดยเหตุนี้พระองค์จึงอนุญาตให้เกิดสถานการณ์มากมายที่สร้างลักษณะนิสัยของเรา ความเข้มแย้ง ความผิดหวัง ความยากลำบาก การทดลอง เวลาที่รู้สึกแห้งแล้ง ความล่าช้า และความรับผิดชอบหลักของหลักสูตรคริสเตียนศึกษา คือ การเตรียมคนของคุณให้มีความรู้ ให้มีมุมมอง ความมุ่งมั่น และทักษะ ที่จำเป็นในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านั้น ถ้าคุณทำเช่นนั้น สมาชิกก็จะพัฒนาลักษณะนิสัย
ศตวรรษที่แล้ว ซามูเอล สไมล์ส เขียนข้อสังเกตนี้ว่า
จงหว่านความคิด และคุณจะเก็บเกี่ยวการกระทำ
จงหว่านการกระทำ และคุณจะเก็บเกี่ยวอุปนิสัย
จงหว่านอุปนิสัย และคุณจะเก็บเกี่ยวลักษณะนิสัย
จงหว่านลักษณะนิสัย และคุณจะเก็บเกี่ยวจุดหมายปลายทาง
ความรู้ มุมมอง ความมุ่งมั่น ทักษะ และลักษณะนิสัย คือ ลำดับที่เป็นเหตุเป็นผล คุณต้องเริ่มจากฐานแห่งความรู้ เนื่องจากการเติบโตฝ่ายวิญญาณมีรากฐานบนพระวจนะของพระเจ้า การเรียนรู้ระดับแรกจึงเป็นการเพิ่มความรู้ที่เป็นประโยชน์จากพระคัมภีร์ มุมมองและความมุ่งมั่นต้องมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์
บนความรู้พระวจนะ คุณเติมมุมมองลงไป ยิ่งคุณรู้พระวจนะดีเท่าใด คุณก็ยิ่งมองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้ามากเท่านั้น ความมุ่งมั่นจะเติบโตโดยอัตโนมัติจากมุมมอง เมื่อคุณเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้า คุณจะเริ่มพัฒนาความมุ่นมั่นตามพระคัมภีร์ การเข้าใจประสงค์และแผนการของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจของคุณ
ความมุ่งมั่นทำให้คุณมีแรงจูงใจที่จะยืนหยัดรักษาอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ ในที่สุดเมื่อทำซ้ำแล้วซ้ำอีก นิสัยเหล่านี้ก็กลายเป็นทักษะ คุณจะทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องเพ่งความตั้งใจเหมือนตอนเริ่มแรกอีกต่อไป
เมื่อคุณรวมความมรู้พระวจนะ มุมมอง ความมุ่งมั่น และทักษะที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ผมรวมก็คือลักษณะนิสัย ประการแรกคุณ รู้ แล้วคุณก็ เข้าใจ แล้วคุณก็ เชื่อด้วยสุดใจ แล้วคุณก็ ทำ ผลของสี่สิ่งนี้คือ ลักษณะนิสัย
ต่อไปนี้เป็นห้าคำถามที่คุณต้องถามหลักสูตรคริสเตียนศึกษาของคุณ
๐ สมาชิกกำลังเรียนรู้เนื้อหาและความหมายของพระคัมภีร์หรือไม่
๐ สมาชิกกำลังมองตนเอง ชีวิต และคนอื่นชัดเจนขึ้นจากมุมมองของพระเจ้าหรือไม่
๐ ค่านิยมของสมาชิกสอดคล้องกับค่านิยมของพระเจ้ามากขึ้นหรือไม่
๐ สมาชิกชำนาญทักษะในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้นหรือไม่
๐ สมาชิกเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นหรือไม่
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ที่เรามุ่งไปอย่างต่อเนื่องดังที่เปาโลกล่าวในโคโลสี 1:28 ว่า "พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์"
นิมิตของเราสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คือ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยการสำแดงพระคริสต์ผ่านทางสาวกที่เป็นเหมือนพระองค์จำนวนมากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)