วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

บทที่ 11 สร้างกลยุทธ์ของคุณ

ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ
ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง
เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
1 โครินธ์ 9:22

พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด
และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"
มัทธิว 4:19

คุณพ่อของผมเป็นนักตกปลาที่เก่งที่สุดที่ผมเคยพบ ถ้ามีปลาเพียงตัวเดียวในทะเลสาบ หรือลำธาร ท่านก็จะจับมันได้ ผมประหลาดใจเสมอสมัยเป็นเด็กพวกเรา 10 คนตกปลาในทะเลสาบเดียวกัน ปต่คุณพ่อของผมจับปลาทั้งหมดได้ ท่านทำได้อย่างไร หรือมันเป็นมายากล พระเจ้าโปรดปรานท่านมากว่าคนอื่นเหรอ

เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมก็พบเคล็ดลับของท่าน คุณพ่อเข้าใจปลา ท่านสามารถ "อ่าน" ทะเลสาบและรู้ว่าปลาอยู่ที่ไหน ท่านรู้ว่าเวลาไหนพวกมันหิว ท่านรู้ว่าปลาชนิดใดต้องใช้เหยื่ออะไร ท่านรู้ว่าต้องเปลี่ยนเหยื่อเมื่อไรเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน ท่านดูเหมือนจะรู้ด้วยซ้ำว่าต้องหย่อนเบ็ดลงไปลึกแค่ไหน ท่านทำให้มันง่ายและน่าเย้ายวนใจที่สุดสำหรับปลา เพื่อมันจะกลืนเบ็ดของท่าน และพวกมันก็กลืน ท่านจับปลาตามแบบที่พวกมันต้องการ

ตรงกันข้าม ผมไม่รู้วิธีการในการตกปลา ดังนั้นเวลาผมไปตกปลา ผมเหวี่ยงเบ็ดไปในทะเลสาบทันที หวังว่าจะมีอะไรสักตัวมากินเบ็ด ปลาแทบไม่มาหาเบ็ดของผม เพราะผมตกปลาด้วยท่าทีแบบยังไงก็ได้ ผมสนใจความสุขที่ได้อยู่กลางแจ้งมากกว่าการจับอะไรได้สักอย่าง ขณะที่คุณพ่อของผมจะมุดผ่านพุ่มไม้หรือลุยน้ำถึงเอวเพื่อไปถึงที่ที่ปลาอยู่ ผมมักกำหนดจุดตกปลาโดยเลือกที่ที่ผมรู้สึกสบายที่สุด ผมไม่ได้มีกลยุทธ์ และผลงานของผมก็พิสูจน์เรื่องนี้ดี

น่าเสียดาย คริสตจักรหลายแห่งขาดความกระตือรือร้นในการหาคนเหมือนหาปลา พวกเขาไม่ใช้เวลาทำความเข้าใจคนที่พวกเขาต้องการประกาศด้วย และพวกเขาไม่มีแผนการ พวกเขาต้องการนำคนมาหาพระคริสต์ตราบใดที่เขาสามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย

เคล็ดลับของการประกาศข่าวประเสริฐที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่แบ่งปันเรื่องของพระคริสต์เท่านั้น แต่เป็นการทำตามวิธีการของคริสต์ ผมเชื่อว่าพระเยซูไม่ได้ให้แค่สิ่งที่เราจะพูดเท่านั้น แต่พระองค์ให้วิธีการประกาศข่าวประเสริฐด้วย พระองค์ทรงมีแผนการ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งหลักการถาวรของการประกาศข่าวประเสริฐซึ่งยังได้ในทุกวันนี้ ถ้าเราจะประยุกต์ใช้

มัทธิว 10 และลูกา 10 เปิดเผยถึงวิธีการของพระเยซูในการประกาศข่าวประเสริฐกับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนที่พระเยซูทรงส่งสาวกออกไปประกาศ พระองค์บัญชาอย่าเจาะจงว่าพวกเขาต้องใช้เวลากับใคร ใครที่พวกเขาไม่ต้องสนใจ อะไรที่พวกเขาต้องพูด และวิธีที่พวกเขาจะประกาศ บทนี้ไม่มีที่พอจะอธิบายถึงสิ่งที่พระเยซูบัญชาอย่างละเอียด แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นแนวทางการจับปลา 5 ประการที่พบในคำบัญชาที่พระเยซูประทานแก่สาวก เราสร้างกลยุทธ์การประกาศของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คตามหลักการทั้ง 5 นี้

รู้ว่าคุณกำลังหาปลาชนิดใด

ชนิดของปลาที่คุณต้องการจับจะกำหนดทุกส่วนในกลยุทธ์ของคุณ การตกปลากระพง ปลากด หรือปลาแซลมอนต้องใช้อุปกรณ์ เหนื่อและเวลาแตกต่างกัน ไม่มีวิธีตกปลาแบบไหนที่ใช้ตกปลาได้ทุกชนิด แต่ละชนิดต้องอาศัยวิธีการเฉพาะ การจับคนก็เหมือนกัน การรู้ว่าคุณกำลังจับคนประเภทไหนนั้นมีประโยชน์

เมื่อพระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศครั้งแรก พระองค์กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเจาะจง พวกเขาต้องมุ่งเน้นที่คนชาติเดียวกับเขา "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติและอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า" (มัทธิว 10:5-6)

มีเหตุผลหลายอย่างที่พระเยซูจำกัดกลุ่มเป้าหมาย แต่สิ่งหนึ่งแน่นอนคือ พระองค์เล็งเห็นกลุ่มคนที่สาวกน่าจะเข้าถึงได้ดีที่สุด คนเหมือนพวกเขา พระเยซูมิได้มีอคติ แต่พระองค์มีกลยุทธ์ ตามที่ผมกล่าวในบทที่ 9 พระเยซูกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้สาวกเพื่อให้พวกเขามีประสิทธิภาพ ไม่่ใช่เพื่อกีดกัน

ไปยังจุดที่ปลากินเบ็ด

เป็นการเสียเวลาที่จะตกปลาในที่ที่ปลาไม่กินเบ็ด นักตกปลาฉลาด ๆ จะย้ายไปทำเลอื่น พวกเขาเข้าใจดีว่า ในเวลาต่างกันปลาจะเปลี่ยนจุดกินเหยื่อ และไม่ใช่ปลาจะหิวตลอดเวลา

นี่คือหลัการเรื่องการตอบสนองซึ่งผมอธิบายในบทที่แล้ว ในเวลาหนึ่งคนไม่รู้จักพระเจ้าจะตอบสนองต่อความจริงฝ่ายวิญญาณได้ดีกว่าอีกเวลาหนึ่ง การตอบสนองนี้มักจะอยู่เพียงไม่นาน นี่คือเหตุผลที่พระเยซูตรัสว่าให้ไปหาคนที่ฟัง และฉวยโอกาสประกาศกับคนที่เปิดใจซึ่งพระวิญญาณจัดเตรียมไว้

สังเกตคำสั่งของพระเยซูในมัทธิว 10:14 "ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะ ออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย" นี่เป็นประโยคสำคัญมากที่เราไม่ควรมองข้าม พระเยซูตรัสกับสาวกว่าพวกเขาไม่ควรอยู่กับคนที่ไม่ตอบสนอง เราต้องไม่เก็บผมไม้ที่ยังไม่สุก แต่ให้หาผลที่สุกและเก็บมัน

ก่อนเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมเทศนาในการประกาศใหญ่และการฟื้นฟูในหลายคริสตจักร ศิษยาภิบาลท้องถิ่นและผมมักใช้เวลาช่วงบ่ายไปประกาศตามบ้าน หลายครั้งศิษยาภิบาลเหล่านั้นจะนำผมไปหาคนหัวแข็งดื้อรั้นที่การประกาศครั้งก่อน ๆ ไม่สำเร็จ มันเป็นการเสียเวลา

มันเป็นการรับผิดชอบที่ดีหรือไม่ ที่เราคอยแต่รบกวนคนที่ปฏิเสธพระคริสต์นับ 10 ครั้ง ในขณะที่ชุมชนทั้งหมดกำลังคอยฟังข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรก ผมเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องการให้เราไปหาคนที่พระองค์ได้เตรียมใจไว้ให้พร้อมจะตอบสนอง พระองค์บอกเราไม่ให้กังวลกับคนที่ไม่ตอบสนอง สะบัดฝุ่นจากเท้า และเดินต่อไป

วิธีการของอัครทูตเปาโลคือเข้าไปในประตูที่เปิด และไม่เสียเวลาเคาะประตูที่ปิด เช่นเดียวกัน เราไม่ควรทุ่มกำลังไปกับคนที่ไม่พร้อมจะฟัง มีคนในโลกอีกมากมายที่พร้อมจะต้อนรับพระคริสต์ มากกว่าคนที่พร้อมจะเป็นพยานกับพวกเขาเสียอีก

ฝึกคิดเหมือนปลา

การจับปลาให้ได้นั้น เราต้องเข้าใจนิสัยปลา อาหารโปรด และรูปแบบการหากินของปลา ปลาบางชนิดชอบน้ำนิ่ง และปลาบางชนิดชอบว่ายน้ำในน้ำเชี่ยว บางชนิดว่ายอยู่ตามก้นบึง และบางชนิดชอบซ่อนหลังก้อนหิน การจับปลาที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการคิดเหมือนปลา

พระเยซูมักจะทราบว่าคนไม่เชื่อในพระเจ้าคิดอะไร (มัทธิว 9:4; 12:25; มาระโก 2:8; ลูกา 5:22; 9:47; 11:17) พระองค์ทรงปฏิบัติกับคนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะพระองค์ทรงเข้าใจและสามารถทำลายกำแพงความคิดที่พวกเขามีอยู่

โคโลสี 4:5 ได้กล่าวว่า "จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญาโดยฉวยโอกาส" เราต้องเรียนรู้จักคิดอย่างคนไม่เชื่อ เพื่อจะนำเขามาเชื่อ

ปัญหาคือ ยิ่งคุณเชื่อพระเจ้านานขึ้น คุณยิ่งคิดเหมือนคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าน้อยลง ความสนใจและค่านิยมของคุณเปลี่ยนไป ผมคิดเหมือนคริสเตียน เพราะผมเป็นคริสเตียนเกือบตลอดชีวิต ตามปกติผมจะไม่คิดเหมือนคนไม่เป็นคริสเตียน ที่แย่กว่านั้นคือ มักจะคิดเหมือน ศิษยาภิบาล นั่นยิ่งห่วงไกลจากความคิดของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผมจงใจเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน

ถ้าคุณดูโฆษณาส่วนใหญ่ของคริสตจักร (ในประเทศสหรัฐอเมริกา) จะเห็นได้ชัดว่าเขียนจากมุมมองของคริสเตียน ไม่ใช่มุมมองของคนที่ไม่เป็นคริสเตียน เช่น คริสตจักรประชาสัมพันธ์ว่า "การเทศนาพระวจนะที่ไม่ผิดพลาดของพระเจ้า" ถ้อยคำเช่นนี้ไม่ดึงดูดคนไม่เป็นคริสเตียน โดยส่วนตัว ผมถือว่าความไม่ผิดพลาดของพระคัมภีร์เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถประนีประนอมได้ แต่คนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่เข้าใจภาษาเช่นนี้ ศัพท์ฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนคุ้นเคยเป็นเพียงคำที่ไม่มีความหมายสำหรับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ถ้าคุณต้องการประชาสัมพันธ์คริสตจักรของคุณให้คนที่ไม่เป็นคริสเตียน คุณต้องหัดคิดและพูดเหมือนพวกเขา

ผมมักได้ยินศิษยาภิบาลบ่นว่า เวลานี้ผู้ไม่เป็นคริสเตียนต่อต้านพระกิตติคุณมากกว่าในอดีต ผมคิดว่า นั่นไม่เป็นความจริงเลย ส่วนใหญ่การต่อต้านเป็นเพียงการสื่อสารที่ไม่ดี คนไม่เข้าใจเนื้อหา คริสตจักรต้องหยุดพูดว่าคนต่อต้านข่าวประเสริฐและเริ่มต้นค้นหาว่าจะสื่อสารอย่างไรให้คนไม่เป็นคริสเตียนเข้าใจได้ ข่าวประเสริฐของเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราออกอากาศผ่านสถานีที่คนไม่เป็นคริสเตียนไม่เปิดฟัง

จะหัดคิดเหมือนคนไม่เป็นคริสเตียนได้อย่างไร ก็โดยการพูดคุยกับพวกเขาอุปสรรคใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในการประกาศ คือ คริสเตียนส่วนมากใช้เวลาทั้งหมดกับคริสเตียนด้วยกัน พวกเขาไม่มีเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนเลย ถ้าคุณไม่ใช้เวลากับคนไม่เป็นคริสเตียน คุณจะไม่เข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไร

ผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็คโดยการแวะไปตามบ้านเป็นเวลา 12 สัปดาห์ และสำรวจคนไม่เป็นคริสเตียนในแถบของผม ก่อนหน้านั้น 6 ปี ผมอ่านหนังสือของโรเบิร์ต ชูลเลอร์ ชื่อ "Your Church Has Real Possibilities" - (คริสตจักรคุณมีโอกาสจริง ๆ) เขาเล่าว่าในปี 1955 เขาได้แวะไปตามบ้าน และถามคนเป็นร้อย ๆ ว่า "ทำไมคุณไม่ไปคริสตจักร" และ "คุณต้องการอะไรในคริสตจักร" ผมคิดว่านี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก แต่รู้สึกว่าต้องแปลงคำถามสักหน่อยสำหรับคนไม่เชื่อในช่วงทศวรรษที่ 1980 ผมเขียนคำถาม 5 ข้อที่จะใช้เริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็คลงในสมุดบันทึกของผม

1. คุณคิดว่าพื้นที่นี้ต้องการอะไรมากที่สุด คำถามนี้เพียงเพื่อให้คนคุยกับผมเท่านั้น
2. คุณไปร่วมคริสตจักรอย่างจริงจังหรือไม่ ถ้าเขาตอบว่า ไป ผมจะขอบคุณเขาและไปบ้านต่อไป ผมไม่สนใจจะถามอีก 3 คำถาม เพราะผมไม่ต้องการได้ความเห็นของผู้เชื่อมาปะปน สังเกตว่า ผมไม่ได้ถามว่า "คุณเป็นสมาชิกหรือไม่" หลายคนไม่ไปคริสตจักรมา 20 ปี แต่ยังอ้างว่าเป็นสมาชิกในคริสตจักร
3. คุณคิดว่าทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ไปคริสตจักร แบบนี้รู้สึกจะน่ากลัวน้อยกว่า และไม่คุกคามเขาเหมือน "ทำไมคุณไม่ไปคริสตจักร" ปัจจุบัน คนจำนวนมากจะตอบคำถามนั้นว่า "ทำไมผมไม่ไปนี่มันไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ" แต่เมื่อผมถามว่าเขาคิดว่าทำไมคนอื่นไม่ไปคริสตจักร เขาก็มักจะตอบเหตุผลของเขาเองออกมา
4. ถ้าคุณมองหาคริสตจักรที่จะไป คุณจะมองหาอะไร คำถามข้อนี้ข้อเดียวสอนผมเรื่องการคิดเหมือนคนไม่เชื่อมากยิ่งกว่าการเรียนทั้งหมดในวิทยาลัยพระคริสตธรรม ผมพบว่า คริสตจักรส่วนใหญ่หยิบยื่นรายการที่คนไม่เป็นคริสเตียนไม่สนใจ
5. ผมจะทำอะไรให้คุณได้ คุณจะให้คำแนะนำอะไรกับผู้รับใช้พระเจ้าที่ต้องการจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นจริง ๆ นี่เป็นคำถามพื้นฐานที่สุดที่คริสตจักรต้องถามชุมชนของตน ศึกษาพระกิตติคุณและสังเกตว่า พระเยซูทรงถามกี่ครั้งว่า "เจ้าปรารถนาให้เราทำอะไร" พระองค์เริ่มต้นที่ความต้องการของคน

เมื่อผมทำการสำรวจ ผมแนะนำตัวโดยพูดว่า "สวัสดีครับ ผมชื่อริค วอร์เรน ผมมาสำรวจความเห็นของชุมชนของเรา ผมไม่ได้มาขายของหรือให้สมัครอะไร ผมขอถามคำถามคุณเพียง 5 ข้อเท่านั้น ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดสำหรับคำถามเหล่านี้และมันจะใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น"

เวลานี้ หลายพันคริสตจักรใช้คำถามสำรวจ 5 ข้อนี้ในชุมชนของตน คณะหนึ่งที่ผมให้คำปรึกษา ได้ใช้คำถามเหล่านี้เริ่มต้นคริสตจักร 102 แห่งในวันเดียว ถ้าคุณไม่เคยสำรวจคนไม่เป็นคริสเตียนในพื้นที่ของคุณ ผมแนะนำให้คุณทำจริง ๆ

คำตำหนิที่พบบ่อย 4 ประการ

จากการสำรวจในบริเวณแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ เราได้คำตำหนิที่พบบ่อย 4 ประการ

"คริสตจักรน่าเบื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเทศนา สิ่งที่พูดไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตฉัน" นี่เป็นคำตำหนิที่ผมได้ยินมากที่สุด น่าทึ่งที่คริสตจักรสามารถใช้หนังสือที่น่าตื่นเต้นที่สุด และทำให้คนเบื่อหน่ายหนังสือเล่มนี้ได้ พวกเขาเปลี่ยนขนมปังให้เป็นก้อนหินได้อย่างอัศจรรย์

ปัญหาเรื่องนักเทศน์น่าเบื่อ คือ พวกเขาทำให้คนคิดว่าพระเจ้าน่าเบื่อ จากคำตำหนินี้ ผมตั้งใจที่จะเรียนรู้ว่า จะสื่อสารพระวจนะอย่างไรให้น่าสนใจและนำไปปฏิบัติได้จริง ๆ คำเทศนาไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อจึงจะถูกต้องตามพระคัมภีร์ คนไม่เป็นคริสเตียนไม่ได้ขอให้เราตัดทอนข่าวประเสริฐ แต่เขาขอข่าวประเสริฐที่นำไปใช้ในชีวิตได้ ในวันอาทิตย์พวกเขาต้องการฟังบางสิ่งบางอย่างที่สามารถนำไปใช้ต่อในวันจันทร์ได้

"สมาชิกคริสตจักรไม่เป็นมิตรกับแขก ถ้าฉันจะไปคริสตจักร ฉันอยากรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับและไม่ต้องขายหน้า" คนที่ไม่เป็นคริสเตียนหลายคนบอกผมว่าพวกเขารู้สึกว่า คริสตจักรเป็นเหมือนกลุ่มพิเศษ เวลาพวกเขาไม่รู้คำศัพท์ เพลงหรือพิธีกรรม "ของกลุ่ม" พวกเขาก็รู้สึกโง่ และรู้สึกว่าสมาชิกจ้องมองพวกเขาอย่างตำหนิ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมากที่สุดเวลาเขาไปร่วมนมัสการ คือ ความกลัว ผลก็คือ เราตั้งใจว่าที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราจะทำอะไรก็ตามที่ทำให้แขกรู้สึกได้รับการต้อนรับและเป็นที่ต้องการโดยไม่รู้สึกว่าถูกจ้องมอง

"คริสตจักรสนใจแต่เงินของผมมากกว่าตัวผม" เนื่องจากความพยายามหาทุนของนักเทศน์ทางโทรทัศน์และองค์การคริสเตียนอื่น ๆ มีให้เห็นเด่นชัดมาก (ในประเทศสหรัฐอเมริกา) การเรียกร้องเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน บิลล์ ไฮเบลส์ทำการสำรวจแบบนี้ และพบว่าในพื้นที่ของเขาให้เรื่องนี้เป็นคำตำหนิอันดับหนึ่ง หลายคนเชื่อว่าศิษยาภิบาล "มาทำงานนี้ก็เพราะเงิน" และอาคารคริสตจักรที่สวยงามก็มีแต่จะเป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟ เราตัดสินใจตอบโต้คำตำหนินี้โดยการอธิบายเวลาถวายทรัพย์ว่า การถวายทรัพย์นี้สำหรับสมาชิกคริสตจักรเท่านั้น เราไม่ได้คาดหวังให้แขกถวาย

"เราเป็นกังวลเรื่องคุณภาพการดูแลเด็กเล็กในคริสตจักร" ที่แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์เต็มไปด้วยครอบครัวหนุ่มสาว เราจึงไม่แปลกใจที่พบกับคำตำหนินี้ ผู้เป็นพ่อแม่ต้องวางใจคริสตจักรได้ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คได้ยึดถือและเผยแพร่แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับพันธกิจเด็ก เพื่อให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพ ถ้าคุณอยากเข้าถึงครอบครัวหนุ่มสาว คุณต้องมีพันธกิจเด็กชั้นเยี่ยม

พระเยซูตรัสบัญชาเหล่าสาวกให้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างมียุทธวิธี "ดูเถิดเราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ" (มัทธิว 10:16) ในการแข่งกีฬา ทีมที่ชนะคือทีมที่รู้วิธี "อ่านแนวรับ" ในการเล่นเกมบุกแต่ละครั้ง ผู้เล่นต้องมองดูฝ่ายตรงข้ามว่าเขาตั้งรับอย่างไร เขาพยายามเดาล่วงหน้าว่า ฝ่ายรับจะตอบสนองและขัดขวางอย่างไร

ในการประกาศข่าวประเสริฐ "การอ่านแนวรับ" หมายถึงการเข้าใจและคาดเดาการต่อต้านของผู้ไม่เป็นคริสเตียนก่อนที่เขาจะพูดออกมา มันหมายถึงการเรียนรู้ที่จะคิดเหมือนคนที่ไม่เป็นคริสเตียน

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการสำรวจคนที่ไม่เป็นคริสเตียน (ในสหรัฐอเมริกา) คือไม่มีคำตำหนิใด ๆ เลยที่เป็นเรื่องศาสนศาสตร์ ผมไม่พบสักคนเดียวที่พูดว่า "ผมไม่ไปคริสตจักรเพราะผมไม่เชื่อพระเจ้า" อย่างไรก็ตาม ผม พบ คนจำนวนมากที่บอกว่า "ผมเชื่อพระเจ้า แต่ผมไม่รู้สึกว่าคริสตจักรมีสิ่งที่ผมต้องการ" คนส่วนใหญ่ที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่ใช่คนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า (ในสหรัฐอเมริกา) พวกเขาได้รับข้อมูลผิด ผิดหวังหรือยุ่งเกินไป

จากข้อมูลที่รวบรวมได้จากการสำรวจ เราส่งจดหมายเปิดผนึกไปยังชุมชนโดยมุ่งที่ปัญหาหลัก ๆ ของคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และประกาศว่าจะมีการนมัสการที่จัดขึ้นเพื่อโต้ตอบข้อแก้ตัวที่พวกเขาใช้บ่อยที่สุด

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้โดยความเชื่อจริง ๆ ตอนเราส่งออกไป เรายังไม่เคยนมัสการเลยสักรอบ โดยความเชื่อ เราประกาศล่วงหน้าถึงรูปแบบคริสตจักรที่เราตั้งใจจะเป็น

ผมระบุกลุ่มเป้าหมายไว้ในประโยคแรกของจดหมาย โดยบอกว่าคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเป็น "คริสตจักรสำหรับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน" อารมณ์ของจดหมายนี้ก็เพื่อเสนอสิ่งที่คนไม่เป็นคริสเตียนมองหา ไม่ใช่เพื่อดึงดูดคริสเตียนจากคริสตจักรอื่น ที่จริง จดหมายตำหนิและเกรี้ยวกราดทุกฉบับที่ผมได้รับนั้นมาจากที่คริสเตียนที่สงสัยว่า ทำไมผมไม่เอ่ยชื่อพระเยซูหรือพระคัมภีร์เลย บางคนถึงกับแสดงความสงสัยในความรอดของผม พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะทำ

จากจดหมายฉบับนั้น มีคน 205 คนมาร่วมการนมัสการครั้งแรกที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และภายใน 10 สัปดาห์ต่อมา 82 คนได้มอบชีวิตให้แก่พระคริสต์ ผลที่ได้รับนี้คุ้มค่ากับการถูกคริสเตียนบางคนเข้าใจผิด คุณต้องตัดสินใจว่า คุณต้องการทำให้ใครประทับใจ

วันท่ี 20 มีนาคม 1980
สวัสดีครับเพื่อนบ้าน:

ในที่สุด
คริสตจักรใหม่ที่ตั้งขึ้นสำหรับผู้เบื่อหน่ายการนมัสการตามประเพณีดั้งเดิมมายอมรับกันดีกว่า มีคนมากมายที่ไม่เอาจริงเอาจังในคริสตจักรทุกวันนี้

ทำไมล่ะ?
บ่อยครั้งเหลือเกิน
๐ คำเทศนาน่าเบื่อและไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
๐ คริสตจักรหลายแห่งดูจะสนใจกระเป๋าเงินคุณมากกว่าตัวคุณ
๐ สมาชิกคริสตจักรไม่เป็นมิตรกับแขก
๐ คุณกังวลเรื่องคุณภาพการดูแลลูก ๆ ของคุณ
๐ คุณคิดไหมว่า การมาร่วมคริสตจักรควรจะสนุก

เรามีข่าวดีสำหรับคุณ
คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คอมมิวนิตี้ เป็นคริสตจักรใหม่ ตั้งขึ้นเพื่อความต้องการของคุณในทศวรรษที่ 1980 เราเป็นกลุ่มคนที่เป็นมิตรและมีความสุข ซึ่งได้ค้นพบความยินดีในการดำเนินชีวิตคริสเตียน

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คคอมมิวนิตี้ คุณจะ
๐ พบเพื่อนใหม่ ๆ และได้รู้จักเพื่อนบ้านของคุณ
๐ สนุกกับดนตรีคึกคัก ทันสมัย
๐ ฟังคำเทศนาแง่บวก ที่นำไปปฏิบัติได้ ซึ่งจะให้กำลังใจคุณทุกสัปดาห์
๐ มอบความวางใจให้เจ้าหน้าที่เลี้ยงดูเด็กอ่อนที่ทุ่มเท

ทำไมไม่มารับการชูกำลังในวันอาทิตย์นี้ล่ะครับ
ผมขอเชิญคุณมาเป็นแขกพิเศษในการฉลองนมัสการวันอีสเตอร์แรกของเราในวันที่ 6 เมษายน เวลา 11:00 น. เราพบกันที่โรงละครของโรงเรียนมัธยมลากูน่า ฮิลล์ ถ้าคุณไม่มีคริสตจักรประจำ ลองมาหาเราสิครับ

มาพบกับความแตกต่าง
ด้วยความนับถือ
ศิษยาภิบาลริค วอร์เรน

จับปลาตามเงื่อนไขของปลา

นี่เป็นหัวใจของยุทธวิธีการประกาศของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราต้องเต็มใจที่จะจับปลาตามเงื่อนไขของปลา อย่างที่ผมได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างคุณพ่อของผม การตกปลาที่ประสบความสำเร็จมักจะต้องทำสิ่งที่ไม่สะดวกสบายเพื่อจะได้ถึงปลา คุณรู้ไหมว่า นักตกปลาทั่วไปจะไม่ยอมเดินออกจากถนนที่ราบเรียบเกินครึ่งไมล์ แต่นักนักปลาที่จริงจังยอมไปไกลแค่ไหนก็ได้เพื่อจะจับปลา แล้วคุณล่ะ คุณจริงจังกับพระมหาบัญชาแค่ไหน คริสตจักรคุณจริงจังแค่ไหน คุณเต็มใจจะทำทุกอย่างและลำบากเพื่อนำคนมาหาพระคริสต์หรือไม่

ทำความเข้าใจและการปรับสู่
วัฒนธรรมของพวกเขา

พระเยซูบัญชาสาวกว่า "ถ้าท่านจะเข้าไปในเมืองใด ๆ และเขารับรองท่านไว้จงกินของที่เขาตั้งให้" (ลูกา 10:8) พระเยซูไม่ได้แค่แนะนำเรื่องอาหาร แต่พระองค์บัญชาพวกเขาให้ไว้ต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย พระองค์บัญชาพวกเขาให้เข้ากับคนที่พวกเขาอยากจะเข้าถึง พวกเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมเนียมและวัฒนธรรมท้องถิ่นเมื่อมันไม่ขัดกับหลักการในพระคัมภีร์

เมื่อผมเป็นมิชชันนารีนักศึกษาที่ญี่ปุ่น ผมหัดกินอาหารที่เขาเตรียมให้ผม ผมไม่ได้ชอบทุกอย่าง แต่ผมรักคนญี่ปุ่นที่ผมต้องการนำมาหาพระคริสต์ ดังนั้นผมจึงปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของพวกเขา

เรามักปล่อยให้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อกลายเป็นอุปสรรคในการประกาศข่าวประเสริฐ สำหรับคริสเตียนบางคน การพูดถึง "การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม" ก็เหมือนกับว่าศาสนศาสตร์จะเพี้ยน นี่ไม่ใช่เป็นความกลัวใหม่ ที่จริง มันเป็นเหตุผลที่อัครทูตจัดประชุมที่เยรูซาเล็มในกิจการบทที่ 15 เวลานั้นปัญหาคือ "ผู้เชื่อต่างชาติต้องทำตามธรรมเนียมและวัฒนธรรมยิวเพื่อจะถือว่าเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่" อัครทูตและผู้ปกครองตอบชัดเจนว่า "ไม่ต้อง" จากนั้นเป็นต้นมาคริสตจักรก็ปรับตัวเข้ากับแต่ละวัฒนธรรมเมื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก

ข่าวประเสริฐต้องสื่อสารผ่านวัฒนธรรมเสมอ คำถามคือ วัฒนธรรมไหนล่ะ ไม่มีคริสตจักรใดที่สามารถเป็นกลางทางวัฒนธรรม คริสตจักรย่อมต้องแสดงออกถึงวัฒนธรรมหนึ่ง เพราะคริสตจักรประกอบด้วยมนุษย์

สองพันปีมาแล้วที่คริสตศาสนาปรับตัวกับวัฒนธรรมแล้ววัฒนธรรมเล่า ถ้าไม่ปรับ เราก็จะเป็นเพียงลัทธิหนึ่งในศาสนายิว เรากำลังมองข้ามประวัติศาสตร์สองพันปีเมื่อเรายืนยันว่า วัฒนธรรมความเชื่อของเราดีกว่าหรือถูกต้องตามพระคัมภีร์มากกว่าวัฒนธรรมอื่น ๆ

ผมสังเกตว่า ทุกครั้งที่ผมไปตกปลา ปลาไม่ได้กระโดดขึ้นเรือผมเอง หรือกระโดขึ้นฝั่งมาหาผม วัฒนธรรมของมัน (ในน้ำ) ต่างกับของผม (อากาศ) มาก ต้องอาศัยความพยายามอย่างจงใจที่ผมจะติดต่อกับปลา ผมต้องค้นหาว่าจะเอาเหยื่อไปไว้ที่จมูกพวกมันในวัฒนธรรมของพวกมันได้อยงไร

คริสตจักรที่คาดว่าพอพวกเขาสร้างตึกและเขียนป้ายว่า "เปิด" แล้วเดี๋ยวคนไม่เป็นคริสเตียนก็จะมาเอง ก็กำลังหลอกตัวเอง เขาจะไม่โดดลงเรือของคุณเอง คุณต้องเจาะเข้าไปในวัฒนธรรมของพวกเขา

การเจาะเข้าไปในวัฒนธรรมนั้น คุณต้องเต็มใจยินยอมปรับรูปแบบเพื่อพวกเขาจะมาฟัง ยกตัวอย่าง คริสตจักรของเราใช้รูปแบบและการแต่งกายสบาย ๆ และไม่เป็นทางการ เหมือนชุมชนแคลิฟอร์เนียใต้ที่เรารับใช้อยู่ เนื่องจากชายหาดอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ไมล์ มีแดดออกและอุ่นเกือบทั้งปี คนจึงไม่แต่งตัวมากเหมือนส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ดังนั้น เราจึงจัดการนมัสการให้สะท้อนรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ ถ้าคุณเห็นคนใส่สูทผูกเน็คไทที่แซดเดิลแบ็ค เขาคงเป็นแขกจากเมืองอื่น

ให้กลุ่มเป้าหมายกำหนดวิธีการของคุณ

จับปลาตามเงื่อนไขของปลาหมายความว่า ให้กลุ่มเป้าหมายของคุณกำหนดวิธีการของคุณ เวลาคุณตกปลา คุณใช้เหยื่อชนิดเดียวกันสำหรับปลาทุกชนิดหรือไม่ ไม่อย่างแน่นอน คุณใช้เบ็ดขนาดเดียวกันสำหรับปลาทุกชนิดหรือไม่ ไม่ คุณต้องใช้เหยื่อและเบ็ดที่เหมาะกับปลาที่คุณต้องการจะจับ

เปาโลมักจะให้กลุ่มเป้าหมายกำหนดวิธีการของท่าน ท่านบรรยายวิธีการของท่านใน 1 โครินธ์ 9:19-22

เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิวเพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์ ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง

ผู้ที่ต่อต้านอาจบอกว่า เปาโลเป็นเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี อยู่ในพวกไหนก็ทำเหมือนพวกนั้น เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคตในการรับใช้ แต่ไม่ใช่เช่นนั้น เปาโลกำลังใช้ยุทธวิธี แรงจูงใจของท่านคือปรารถนาจะเห็นทุกคนได้รับความรอด ผมชอบที่พระคัมภีร์ฉบับหนึ่งที่ถอดความ 1 โครินธ์ 9:22-23 ว่า "ใช่ ไม่ว่าคนนั้นเป็นอย่างไรข้าพเจ้าพยายามจะหาสิ่งที่ข้าพเจ้าเหมือนเขา เพื่อเขาจะยอมให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องพระคริสต์ และยอมให้พระคริสต์ช่วยเขาให้รอด ข้าพเจ้าทำสิ่งนี้เพื่อให้ข่าวประเสริฐไปถึงพวกเขา และเพื่อความสุขเมื่อได้เห็นพวกเขามาถึงพระคริสต์"

ครั้งหนึ่งผมอ่านตลอดพระกิตติคุณสี่เล่ม เพื่อหาวิธีมาตราฐานที่พระเยซูทรงใช้ในการประกาศ สิ่งที่ผมพบคือ พระองค์ไม่มีวิธีมาตราฐาน พระองค์เพียงแค่เริ่มจากจุดที่คนนั้นเป็น เมื่อพระองค์คุยกับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ พระองค์ตรัสถึงน้ำธำรงชีวิต เมื่อพระองค์อยู่กับชาวประมง พระองค์ตรัสถึงการจับปลา เมื่อพระองค์อยู่กับชาวนา พระองค์ตรัสถึงการหว่านพืช

เริ่มต้นที่ความต้องการเฉพาะหน้าของคนไม่เป็นคริสเตียน

เมื่อใดก็ตามที่พระเยซูพบกับคน ๆ หนึ่ง พระองค์จะทรงเริ่มต้นที่ความเจ็บปวด ความต้องการ และความสนใจของพวกเขา เมื่อพระองค์ส่งสาวกออกไป พระองค์บัญชาให้พวกเขาทำเหมือนกัน "จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ (มัทธิว 10:8)

สังเกตว่าพระองค์เน้นที่ความต้องการและความเจ็บปวดเฉพาะหน้า เวลาที่คุณเจ็บปวด ไม่ว่าทางร่างกายหรืออารมณ์ คุณจะไม่สนใจความหมายของคำกรีกหรือฮีบรู คุณต้องการอย่างเดียวคือหาย พระเยซูปรนนิบัติผู้คนในความต้องการและความเจ็บปวดเสมอ เมื่อมีคนโรคเรื้อนมาหาพระเยซู พระเยซูมิได้คุยยืดยาวเรื่องบัญญัติเกี่ยวกับการล้างชำระในเลวีนิติ พระองค์แค่รักษาเขาให้หาย เมื่อพระองค์พบพวกเขาพระองค์มิได้ตรัสว่า "เสียใจด้วย มันไม่ตรงกับตารางเทศนาของเรา วันนี้ เราจะเทศนาเรื่องหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติให้จบ"

ถ้าคริสตจักรคุณจริงจังกับการเข้าถึงคนไม่เป็นคริสเตียน คุณต้องเต็มใจที่จะอดทนกับคนที่มีปัญหามาก การจับปลาเป็นงานเลอะเทอะและเหม็น ในหลาย ๆ คริสตจักรอยากได้ปลาที่ขอดเกล็ด ควักไส้ ทำความสะอาด และปรุงเสร็จแล้ว นั่นคือเหตุที่พวกเขาไม่เคยเข้าถึงใครเลย

เข้าใจและตอบสนองความลำบากใจของคนไม่เป็นคริสเตียน

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราจริงจังกับปัญหาของคนไม่เป็นคริสเตียน แม้มันจะเกิดจากความไม่รู้ของเขาก็ตาม คริสตจักรที่ใช้ความรู้สึกผิดหรือความกลัวเป็นเครื่องจูงใจ คริสตจักรที่คาดหวังให้พวกเขาเข้าร่วมทุกรายการ และคริสตจักรที่ให้แขกยืนขึ้นและแนะนำตัวเอง

วิธีการของเราคือโต้ตอบความลำบากใจเหล่านี้ให้เร็วที่สุด เช่น ในการสำรวจของเรา เราพบว่า ในแคลิฟอร์เนียใต้ คนที่ไม่เป็นคริสเตียนมีความรู้สึกไม่ดีกับชื่อคณะ เราจึงเลือกชื่อที่เป็นกลาง ๆ คือ "คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค"

ผมไม่อายในความเป็นเซาเธิร์น แบ๊บติสของผม และเราอธิบายชัดเจนในชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่ว่า คริสตจักรแซดเดิลแบ็คอยู่ในคณะเซาเธิร์น แบ๊บติสต์ แต่เมื่อเราถามคนไม่เป็นคริสเตียนในแคลิฟอร์เนียใต้ว่า "คำว่า เซาเธิร์น แบ๊บติส มีความหมายอะไรกับคุณ" ผมก็ต้องประหลาดใจกับความเข้าใจผิดที่แพร่หลาย ผู้ไม่เป็นคริสเตียนหลายคนโดยเฉพาะคนที่มาจากครอบครัวคาธอลิกบอกผมว่า พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะไปเยี่ยมคริสตจักรเซาเธิร์น แบ๊บติส

นี่ทำให้ผมมีทางเลือก 2 ทาง ผมอาจใช้เวลาสอนชุมชนว่าแท้จริงคณะเซาเธิร์น แบ๊บติสเป็นอยางไร ก่อน ที่ผมจะได้พวกมาคริสตจักรของเรา หรือผมอาจแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ หลังจาก ที่พวกเขาต้อนรับพระคริสต์แล้ว เราเลือกทางเลือกที่สอง

ผมถูกตำหนิเพราะการตัดสินใจนี้หรือไม่ คุณคิดอย่างไรล่ะ ผู้หวังดีบางคนกล่าวหาว่าผมสอนตกขอบและขาดความซื่อสัตย์ภักดี แต่พวกเขาไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของผมอยู่แล้ว ผมไม่พยายามจะดึงดูดคริสเตียนหรือชาวคณะแบ๊บติสคนอื่น ๆ คนเหล่านี้บางคนกลายเป็นเพื่อนของผมเมื่อเขาเข้าใจว่าผมพยายามจะเข้าถึงใคร การเลือกชื่อที่เป็นกลางเป็นยุทธวิธีการประกาศ ไม่ใช่การลดทอนหลักศาสนศาสตร์

ในปี 1988 การสำรวจของแกลลัปพบว่า 33% ของชาวโปรเตสแตนท์เคยเปลี่ยนคณะในช่วงชีวิตของพวกเขา ผมแน่ใจว่าเวลานี้ตัวเลขสูงกว่านั้น แน่นอน คนรุ่นนี้จงรักภักดีต่อ "ตรายี่ห้อ" น้อยมาก สำหรับคนส่วนใหญ่ คุณค่าสำคัญกว่า มีน้อยคนที่เลือกคริสตจักรเพราะชื่อคณะ แต่พวกเขาเลือกคริสตจักรที่ช่วยเหลือความต้องการของพวกเขาได้ดีที่สุด

เปลี่ยนวิธีการทุกครั้งที่จำเป็น

ถ้าคุณเคยตกปลาทั้งวัน คุณจะรู้ว่าบางทีคุณต้องเปลี่ยนเหยื่อเมื่อมันใช้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ปลากินในตอนเช้า มันอาจไม่สนใจตอนบ่าย ปัญหาของคริสตจักรจำนวนมากในเวลานี้คือ พวกเขายังพยายามใช้เหยื่อและเบ็ดจากทศวรรษที่ 1950 ในทศวรรษที่ 1990 และปลาก็ไม่กินอีกแล้ว ศัตรูตัวร้ายที่สุดของความสำเร็จในอนาคตมักจะเป็นความสำเร็จในอดีต

ใช้เบ็ดมากกว่า 1 ตา

การใช้เบ็ดหลายตาจะเพิ่มโอกาสได้ปลา ยิ่งคุณหย่อนเบ็ดลงในน้ำมากเท่าใด คุณก็มีโอกาสได้ปลามากขึ้นเท่านั้น

เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คนอเมริกันมีทางเลือกมากกว่าเมื่อก่อน เดิมเราเคยมีโทรทัศน์ 3 สถานี ตอนนี้โทรทัศน์ผมรับได้กว่า 50 สถานี และในไม่ช้าด้วยสายไฟเบอร์อ๊อฟติกอาจรับได้มากกว่านี้ 3 เท่า เราเคยมีโค้กชนิดเดียว เดี๋ยวนี้มีโค้กมากมาย

ปีก่อน ผมดูรายการโทรทัศน์เรื่องทางเลือกของผู้บริโภค สารคดีนั้นประมาณการว่า ทุกสัปดาห์มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดประมาณ 200 ชนิด และทุกปีมีนิตยสารใหม่เกือบ 300 ฉบับ บริษัทลีวายบริษัทเดียวมีสินค้าให้เลือกตามขนาด รูปทรง รูปแบบและเนื้อผ้าถึง 70,000 ชนิด เราอยู่ในโลกที่มีทางเลือกมากมาย

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เราได้คนรุ่นที่คาดหวังว่าทุกอย่างจะมีทางเลือก น่าเสียดาย พอมาถึงการนมัสการ คริสตจักรส่วนใหญ่มีเพียงสองทางเลือก คือ เอาหรือไม่เอา ถ้าคุณไม่สามารถร่วมตอนเช้าวันอาทิตย์ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่น

การนมัสการหลายรอบหรือหลายรูปแบบไม่ใช่การล่อลวงให้คนลุ่มหลงในการบริโภค มันเป็นยุทธวิธีและไม่เห็นแก่ตัว และมันเป็นการบอกว่า เราจะทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อนำคนมาถึงพระคริสต์มากกว่านี้ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อทำให้ยากที่สุด แต่เพื่อคนไม่เป็นคริสเตียนจะมาฟังเรื่องของพระคริสต์ได้ง่ายที่สุด

คริสตจักรที่เติบโตจะเสนอรายการหลากหลาย การนมัสการหลายรอบและบางครั้งนมัสการหลายที่ด้วย พวกเขารู้ว่า ต้องใช้สารพัดวิธีเพื่อจะประกาศกับคนทุกประเภท ใช้ทุกวิธีที่มี เพื่อนำทุกคนที่ฟัง ในทุกเวลาที่ทำได้

ทำไมเรามักจะตกปลาด้วยเบ็ดตาเดียว ทำไมคริสตจักรส่วนใหญ่มีรายการประกาศน้อยหรือไม่มีเลย ผมเชื่อว่า เป็นเพราะเราถามผิดคำถาม บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราถามคำถามแรกว่า "จะต้องใช้เงินเท่าไร" คำถามที่ ถูก คือ "จะประกาศกับใคร" จิตวิญญาณมีค่าเท่าไร มันคุ้มค่ามิใช่หรือที่จะใช้เงิน 500 เหรียญในการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ถ้ามันจะนำผู้ไม่เชื่อหนึ่งคนมาถึงพระคริสต์

การเข้าถึงชุมชนต้องลงทุน

ถ้าคริสตจักรคุณจริงจังกับการวางแผนยุทธวิธีการประกาศที่ครบถ้วน คุณจะต้องใช้เงิน ผมคำนึงถึงเรื่องนี้ จึงขอสรุปบทนี้ด้วยความคิดบางอย่างเรื่องการใช้เงินในยุทธวิธีของคุณ

ประการแรก เงินที่ใช้ในการประกาศไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุน คนที่เราประกาศนั้นจะจ่ายคืนมากกว่าที่คุณจ่ายเพื่อนำพวกเขา ก่อนเราจัดการนมัสการครั้งแรก คนในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์เล็ก ๆ ของเราเป็นหนี้รวมกันประมาณ 6,500 เหรียญเพื่อเตรียมการนมัสการครั้งนั้น เราใช้บัตรเครดิตของเรา เราเชื่อว่าเงินถวายของคนที่เรานำมาเชื่อพระคริสต์จะช่วยจ่ายหนี้ของทุกคนในที่สุด

การอัศจรรย์อย่างหนึ่งในการนมัสการซักซ้อมของเราคือ ชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยมากลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านของเรา มาร่วมนมัสการและให้เช็คเป็นเงิน 1,000 เหรียญเมื่อเราผ่านถึงถวาย หลังจากจบรายการ ผู้หญิงที่ดูแลการนับเงินถวายมาหาผมและให้ดูเช็คนั้น ผมพูดว่า "มันต้องได้ผล" แน่นอน เราจ่ายเงินคืนทุกคนภายใน 4 เดือน แต่ผม ไม่ได้ เสนอให้คริสตจักรคุณใช้บัตรเครดิตหาทุน ผมเพียงพยายามเสนอภาพว่า เราต้องเต็มใจที่จะลงทุนเพื่อนำคนมาหาพระคริสต์

ในเวลาที่การเงินในคริสตจักรฝืดเคือง สิ่งแรกที่ถูกตัดออกมักจะเป็นงบการประกาศและการประชาสัมพันธ์ แต่นั่นเป็น สิ่งสุดท้าย ที่คุณควรจะตัด มันเป็นแหล่งของสายเลือดใหม่และชีวิตใหม่สำหรับคริสตจักรของคุณ

ประการที่สองที่ต้องตระหนักเวลาคิดเรื่องการเงินในคริสตจักร คือ สมาชิกถวายให้แก่ นิมิต ไม่ใช่ความจำเป็น ถ้าคนให้เพื่อความจำเป็น ทุกคริสตจักรคงมีเงินเหลือเฟือ สถาบันที่ดึงดูดผู้บริจาคไม่ใช่สถาบันที่ขาดแคลนที่สุด แต่เป็นสถาบันที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่ที่สุด คริสตจักรที่ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุดจะเป็นคริสตจักรที่ดึงดูดของประทานมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูตรัสว่า "ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะต้องเอาไปจากเขา" (ลูกา 19:26)

ถ้าคริสตจักรคุณขาดเงินสดอยู่เรื่อย ๆ ให้ดูว่านิมิตของคุณชัดเจนหรือไม่ คุณสื่อสารมันอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เงินจะไหลไปสู่ความคิดที่พระเจ้าประทานให้คือพระวิญญาณดลใจ ที่จริงคริสตจักรที่มีปัญหาการเงินมักจะมีปัญหาเรื่องมินิต

ประการที่สาม ถ้าคุณใช้เศษเงินเพื่อการประกาศ คุณก็จะได้รับผลของเศษเงิน ในมัทธิว 17 พระเยซูตรัสกับเปโตรให้ไปเอาเงินจากปากปลาเพื่อชำระภาษีของโรมัน ข้อ 27 บอกว่าพระเยซูตรัสกับเปโตรว่า "ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินตราเชเขลหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรากับท่านเถิด" ผมเชื่อว่ามีบทเรียนสำคัญในเรื่องนี้ เงินนั้นอยู่ในปากปลามานานแล้ว ถ้าคุณจดจ่อที่การตกปลา (ประกาศ) พระเจ้าจะชำระค่าใช้จ่ายให้คุณ

สุดท้าย ขอให้จำคำขวัญที่มีชื่อเสียงของฮัดสัน เทเลอร์ มิชชันนารีผู้เป็นนักวางแผนที่ยิ่งใหญ่ "งานของพระเจ้าที่ทำโดยวิธีของพระเจ้าจะไม่ขาดการสนับสนุนของพระเจ้า"

การตกปลาเป็นงานจริงจัง

ผมชอบที่พระเยซูเปรียบการประกาศกับ "จับปลา" แต่ผมลังเลอยู่เรื่องหนึ่ง คือ การตกปลาเป็นเพียงงานอดิเรกสำหรับคนส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่เขาทำเมื่อมีเวลาว่าง ไม่มีใครเห็นว่าการตกปลาเป็นความรับผิดชอบ แต่การจับคนเหมือนจับปลาเป็นงานที่จริงจัง ไม่ใช่งานอดิเรกสำหรับคริสเตียน มันเป็นวิถีชีวิตของเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น