วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 10 รู้จักคนที่คุณสามารถประกาศได้ดีที่สุด

แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่าเราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว
ยอห์น 1:41

เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกายหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่น ๆ หลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์
มัทธิว 9:10

เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ใหม่อย่างคราว ๆ ก็จะเห็นว่า ข่าวประเสริฐแพร่กระจายโดยทางความสัมพันธ์เป็นหลัก ทันทีที่อันดรูว์ได้ยินถึงพระคริสต์ ท่านไปบอกซีโมนเปโตรพี่ชายของท่าน ฟิลิปติดต่อนาธานเอลเพื่อนของท่านทันที มัทธิวคนเก็บภาษีจัดเลี้ยงอาหารเพื่อประกาศกับคนเก็บภาษีอื่น ๆ ผู้หญิงที่บ่อน้ำบอกทุกคนในหมู่บ้านของเธอเกี่ยวกับพระคริสต์ และยังมีอีกมากมาย

ผมเชื่อว่า ยุทธวิธีประกาศข่าวประเสริฐที่ได้ผลที่สุดคือ พยายามประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่คุณมีบางสิ่งเหมือนกับเขาอยู่แล้ว หลังจากที่คุณค้นพบทุกกลุ่มที่อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณแล้ว คุณควรจะมุ่งเน้นที่กลุ่มไหนก่อน คำตอบคือ มุ่งเน้นกลุ่มที่เป็นไปได้มากที่สุดที่คุณจะนำเขามาเชื่อ

ดังที่เราได้คุยกันแล้วว่า ทุกคริสตจักรเหมาะกับการเข้าถึงคนบางกลุ่ม คริสตจักรของคุณอาจประกาศกับคนประเภทหนึ่งได้ง่ายกว่าคนอีกประเภทหนึ่ง และจะมีคนบางกลุ่มที่คริสตจักรคุณไม่มีวันจะประกาศได้ เพราะพวกเขาต้องการรูปแบบที่ต่างจากคริสตจักรคุณอย่างสิ้นเชิง

หลายปัจจัยทำให้คนต่อต้านการมาคริสตจักรของคุณ เช่น กำแพงทางศาสนศาสตร์ กำแพงทางความสัมพันธ์ กำแพงทางอารมณ์ กำแพงทางวิถีชีวิต กำแพงทางวัฒนธรรม แม้ว่ากำแพง 4 ประเภทแรกจะชัดเจนมาก แต่ในบทนี้ผมอยากจะเน้นที่กำแพงทางวัฒนธรรม คนที่คริสตจักรคุณน่าจะประกาศได้ดีที่สุด คือ คนที่เหมาะกับวัฒนธรรมของคริสตจักรคุณ

คนที่มาร่วมคริสตจักรอยู่แล้วคือใคร

คุณจะรู้จักวัฒนธรรมของคริสตจักรคุณได้อย่างไร ก็โดยถามตัวเองว่า "คนประเภทไหนที่มาคริสตจักรของเราอยู่แล้ว" นี่อาจทำให้ศิษยาภิบาลท้อใจ แต่มันเป็นความจริง ไม่ว่าคุณจะมีคนประเภทใด คนประเภทนั้นแหละที่คริสตจักรคุณมีโอกาสดึงดูดเข้ามาอีก คริสตจักรคุณมีโอกาสน้อยที่จะดึงดูดและรักษาคนที่แตกต่างมาก ๆ จากคนที่มาร่วมคริสตจักรของคุณอยู่แล้ว

เมื่อแขกเดินเข้ามาในคริสตจักร คำถามแรกที่พวกเขาถามไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับศาสนา แต่เกี่ยวกับวัฒนธรรม เมื่อเขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า พวกเขาก็กำลังถามโดยไม่รู้ตัวว่า "ที่นี่มีใครเหมือนฉันบ้างไหม" สามีภรรยาที่ปลดเกษียณแล้วจะมองหาว่ามีคนสูงอายุในห้องประชุมไหม ทหารจะมองหาคนที่ใส่เครื่องแบบหรือตัดผมทรงทหาร คู่สมรสใหม่ที่มีสามีภรรยาพาทารกหรือเด็ก ๆ มาหรือไม่ ถ้าแขกพบคนที่คล้ายพวกเขาในคริสตจักรคุณ พวกเขาก็มีโอกาสกลับมาอีกมากกว่า

คริสตจักรที่เต็มไปด้วยคนปลดเกษียณมีโอกาสมากแค่ไหนในการประกาศกับวัยรุ่น น้อยมาก แล้วคริสตจักรที่เต็มไปด้วยนายทหารมีโอกาสแค่ไหนในการประกาศกับผู้เรียกร้องสันติภาพ น้อยมาก หรือคริสตจักรที่สมาชิกส่วนมากเป็นคนงานโรงงานมีโอกาสมากแค่ไหนในที่จะประกาศกับผู้บริหาร มันก็เป็นไปได้ แต่ไม่มากเลย

แน่นอนในฐานะผู้เชื่อ เราต้องต้องการและต้อนรับคนทุกประเภท ยิ่งกว่านั้นเราต่างก็เหมือนกันในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ขอให้จดจำข้อเท็จจริงที่ว่า การที่คริสตจักรไม่ประสบความสำเร็จในการประกาศกับคนบางประเภทไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่เป็นการยอมรับความหลากหลายอันน่าอัศจรรย์ของมนุษย์ที่พระเจ้าให้อยู่ในโลกนี้

เรามีผู้นำแบบไหน

คำถามที่ 2 เพื่อจะค้นหาว่าคริสตจักรคุณจะประกาศกับใครได้ดีที่สุด คือ "ผู้นำของเรามีเบื้องหลังทางวัฒนธรรมและบุคลิกลัษณะอย่างไร" ลักษณะส่วนตัวของผู้นำทั้งที่รับเงินเดือนและที่เป็นสมาชิกมีผลกระทบต่อพันธกิจของคริสตจักรคุณอย่างมาก การวิจัยหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า เหตุผลอันดับแรกที่คนเลือกคริสตจักรคือพวกเขายอมรับศิษยาภิบาล แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ศิษยาภิบาลไม่ได้ดึงดูดคนที่มาครั้งแรก แต่ศิษยาภิบาลเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขากลับมา (หรือไม่กลับมา) เมื่อผู้มาใหม่ยอมรับศิษยาภิบาล โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาย่อมมีมากกว่า

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล คุณต้องถามตัวเองตรง ๆ ว่า "ผมเป็นคนแบบไหนเบื้องหลังทางวัฒนธรรมของผมเป็นอย่างไร คนประเภทที่ผมเข้ากับเขาได้ง่ายและประเภทไหนที่ผมเข้าใจยาก" คุณต้องวิเคราะห์อยงตรงไปตรงมาว่าคุณเป็นคนแบบไหน และคนประเภทใดที่คุณเข้ากับเขาได้ดีที่สุด

เมื่อผมเป็นนักศึกษา ผมเป็นผู้รับใช้ในฐานะศิษยาภิบาลชั่วคราวในคริสตจักรเล็ก ๆ ซึ่งมีแต่คนขับรถบรรทุกและช่างซ่อมรถ เนื่องจากผมไม่มีเบื้องหลังหรือความสามารถทางช่างเลย ผมจึงมีปัญหามากที่จะสนทนาอย่างเข้าใจกับสมาชิก แม้เขาสุภาพมากกับนักเทศน์หนุ่มคนนี้ แต่ผมไม่ใช่คนที่คริสตจักรต้องการเลย พวกเขาต้องการผู้นำที่เหมาะกับพวกเขา

แต่อีกด้านหนึ่ง ผมรู้สึกเป็นกันเองมากกับนักธุรกิจ ผู้จัดการ และพนักงาน ที่จริง ผมสังเกตว่า พวกเขาสนใจพันธกิจของผม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมกำหนด แต่พระเจ้าทรงสร้างผมมาเช่นนี้

ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า พระเจ้าทรงเรียกและสร้างเราแต่ละคนในลักษณะที่ต่างกันเพื่อจะประกาศกับคนประเภทต่าง ๆ คุณสามารถเข้าถึงคนที่ผมไม่มีวันเข้าถึงได้ และผมคงจะเข้าถึงบางคนที่คุณไม่มีวันเข้าถึงได้ นี่คือเหตุผลที่เราต้องการซึ่งกันและกันในพระกายของพระคริสต์

ถ้าพระเจ้าทรงเรียกคุณให้รับใช้ ความเป็นตัวคุณก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้นด้วย คุณไม่รับใช้โดยขัดกับตัวคุณเอง แต่รับใช้โดยบุคลิกที่พระเจ้าประทานแก่คุณพระเจ้าทรงสร้างคุณมาโดยมีวัตถุประสงค์ ถ้าพระเจ้าเรียกคุณให่เป็นศิษยาภิบาล นั่นก็หมายความว่า มีคนกลุ่มหนึ่งในโลกที่คุณสามารถเข้าถึงพวกเขาโดยที่ไม่มีคนอื่นทำได้

มีหลัการ 2 ประการที่ต้องจำไว้เมื่อคุณแสวงหาการทรงนำสำหรับพันธกิจของคุณ

คุณจะประกาศข่าวประเสริฐได้ดีที่สุดกับคนที่คุณเข้ากับเขาได้ คนที่คุณจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ คนที่คล้ายคุณมากที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณ ไม่สามารถเข้าถึงคนที่ไม่เหมือนคุณ แน่นอน คุณทำได้ เพียงแต่มันยากกว่า ศิษยาภิบาลบางคนเข้ากับคนที่มีการศึกษาสูงได้ดี แต่คนอื่นเข้ากับชาวบ้านธรรมดา ๆ ได้ดีกว่า คนทั้ง 2 กลุ่มต้องการพระคริสต์ คุณจะเป็นประโยชน์ที่สุดเมื่อคุณเข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้ดี แล้วคุณก็จะมีอิทธิพลต่อเขาโดยการเป็นตัวคุณเอง

ประการที่ 2 ในฐานะผู้นำ คุณจะดึงดูดคนที่เหมือนคุณ ไม่ใช่คนที่คุณต้องการเมื่อผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมอายุ 26 ปี ไม่ว่าผมพยายามมากแค่ไหน ผมไม่สามารถได้สักคนเดียวที่อายุมากกว่า 45 ปี สมาชิกไม่น้อยมีอายุใกล้เคียงกับผม เราไม่ได้เริ่มต้นเข้าถึงคนสูงอายุ จนกระทั่งผมเพิ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งที่มีอายุมากกว่าผม ตอนนี้ผมเข้าสู่วัยกลางคน ผมต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่อายุน้อยกว่าเพื่อเข้ากับกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่าผม

บางครั้งเนื่องจาก ศิษยาภิบาลต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้ดูว่าพวกเขาเป็นใคร ผมรู้จักศิษยาภิบาลที่มีอายุกว่า 50 ปีมีเบื้องหลังเป็นเกษตรกรที่ต้องการตั้งคริสตจักรที่ประกาศกับคนวัยยี่สิบตอนปลาย เพราะเขาไม่เห็นคริสตจักรอื่นทำ และมันดูน่าตื่นเต้น คริสตจักรนี้ล้มเหลวอย่างน่าเศร้า เขาปรับทุกข์ว่า "ผมไม่สามารถเข้ากับคนพวกเขานี้ได้"

มีข้อยกเว้นสำหรับหลักการทั้งสองนี้ ถ้าคุณได้รับสิ่งที่เรียกว่า "ของประทานการเป็นมิชชันนารี" การรับใช้ข้ามวัฒนธรรมต้องใช้ของประทานพิเศษ และเป็นความสามารถจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสื่อสารกับคนที่มีเบื้องหลังแตกต่างจากคุณอย่างมาก

อัครทูตเปาโลมีของประทานการเป็นมิชชันนารีอย่างแน่นอน ท่านได้รับการเลี้ยงดูที่ทำให้ท่าน "เป็นชาติฮีบรู" (ฟีลิปปี 3:5) แต่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ท่านตั้งคริสตจักรสำหรับคนต่างชาติ ผมรู้ว่าศิษยาภิบาลที่เกิดในภาคใต้ซึ่งพระเจ้าใช้ให้เกิดผลมากในเมืองทางเหนือ ศิษยาภิบาลที่มีของประทานเหล่านี้ถือเป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฏ

การเติบโตอย่างพุ่งทะยานนั้นเกิดขึ้นเมื่อคนในชุมชนคุณเป็นประเภทที่เหมาะกับสมาชิกของคุณ และคนทั้งสองกลุ่มก็เหมาะกับศิษยาภิบาลแบบเดียวกัน แต่ถ้าสมาชิกและศิษยาภิบาล เข้ากันไม่ได้ ก็จะมีแต่ปัญหาและไม่มีการเติบโต หลายครั้งความขัดแย้งในคริสตจักรเกิดขึ้นจากผู้นำที่ไม่เหมาะกับสมาชิก การมีผู้นำที่ไม่เหมาะกับคริสตจักรก็เหมือนการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ผิดขั้ว เดี๋ยวจะได้เห็นประกายไฟแน่

หลายครั้งผมเห็นศิษยาภิบาลที่ทำงานลำบากยากเย็นกับคนในชุมชนของเขาเพราะพวกเขาเข้ากันทางวัฒนธรรมไม่ได้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทุ่มเท แต่ปัญหาอยู่ที่เบื้องหลังชีวิต คนที่รักพระเจ้าแต่อยู่ผิดสถานที่จะเกิดผลเพียงปานกลางเท่านั้น

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สงสัยเลยว่า มีหลายภาคในประเทศของเราที่ผมจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในฐานะศิษยาภิบาล เพราะผมไม่เหมาะกับวัฒนธรรมที่นั่น พระเจ้าสร้างผมเพื่อรับใช้ในที่ที่ผมอยู่โดยเฉพาะ ชีวิตคนมากมายที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในคริสตจักรเราคือ เครื่องพิสูจน์

บางครั้ง สิ่งที่ฉลาดที่สุดที่ศิษยาภิบาลจะทำได้คือ ยอมรับว่าเขาไม่เหมาะกับคริสตจักรหรือชุมชนนั้น แล้วย้ายไปที่อื่น หลายปีก่อนคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ได้มีการเริ่มตั้งคริสตจักรใหม่ในเมืองใกล้ ๆ ที่ชื่อเออร์วิน รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนของผมย้ายจากแอตแลนต้าเพื่อเป็นศิษยาภิบาล เขาได้ตั้งคริสตจักรที่แอตแลนต้าซึ่งเติบโตขึ้นจนมีคนมานมัสการ 200 คน ดังนั้น ผมรู้ว่าเขามีของประทานที่จำเป็นสำหรับการตั้งคริสตจักร แต่หลังจากประมาณ 8 เดือน คริสตจักรใหม่ในเออร์วินก็ยังไปไม่ถึงไหน

ผมถามจอห์นว่า เขาคิดว่าปัญหาคืออะไร เขาบอกว่า "เห็นได้ชัดว่า ผมไม่เหมาะกับที่นี่ แถบเออร์วินนี้มีแต่ครอบครัววัยกลางคนที่ร่ำรวย และมีลูกเป็นวัยรุ่น"

ผมจึงถามเขาว่า "แล้วคุณคิดว่า คุณเข้าถึงคนประเภทไหนได้ดีที่สุด"

จอห์นตอบว่า "ผมคิดว่า ผมสามารถเข้าถึงครอบครัวหนุ่มสาวที่มีลูกก่อนวัยเรียน และคนโสดหนุ่มสาวซึ่งย้ายออกจากบ้านไปหาที่อยู่เองเป็นครั้งแรก ผมเข้าใจปัญหาของพวกเขา"

ผมบอกจอห์นว่า "งั้นเราต้องย้ายคุณไปแถบฮันติงตัน บีช" เราย้ายจอห์นไปฮันติงตัน บีช เพื่อเริ่มต้นคริสตจักรใหม่อีกครั้งหนึ่ง และภายในปีเดียวก็มีคนมาร่วมนมัสการกว่า 200 คน

ผมมีเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรอัฟริกัน-อเมริกัน (คนผิวดำ) ที่ลองบีช แคลิฟอร์เนีย วันหนึ่งเขามาหาผม เขาท้อใจมากที่คริสตจักรไม่เติบโต ไม่นานผมก็พบว่า เขาไม่เหมาะกับระดับการศึกษาของสมาชิกของเขา เขามีปริญญาสูง ๆ หลายใบ และมีคำศัพท์ที่ซับซ้อนมาก แต่คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรของเขาและชุมชนนั้นเรียนจบแค่มัธยมเท่านั้น วิธีการพูดของเขาทำให้คนไม่สนใจ หลักจากพบว่ามีชุมชนอัฟริกัน-อเมริกันที่ทำงานบริษัทอยู่ห่างออกไป 4 ไมล์ ผมจึงเสนอให้เขาลาออกจากคริสตจักรปัจจุบัน และเริ่มคริสตจักรใหม่ในอีกส่วนของลองบีช เขาทำอย่างนั้นและ 2 ปีต่อมา เขารายงานว่าคริสตจักรมีคนร่วมนมัสการกว่า 300 คนทุกสัปดาห์

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาลที่กำลังดิ้นรนกับพันธกิจที่ "ไม่เหมาะ" และคุณก็ไม่เหมาะกับแถบนั้น คุณรู้ดีว่า ผมกำลังพูดถึงคุณ คุณคงรู้สึกลึก ๆ เช่นนั้นมานานแล้วอย่ารู้สึกผิด มันไม่ใช่ความบาปที่คุณไม่เหมาะกับแถบนั้น แต่ให้ย้ายออกไป ถ้าพระเจ้าประทานของประทานแก่คุณและทรงเรียกคุณให้รับใช้ ก็ย่อมทีที่ใดที่หนึ่งซึ่งเหมาะกับคุณโดยเฉพาะ

แล้วถ้าคริสตจักรคุณ
ไม่เหมาะกับชุมชนล่ะ

ชุมชนมักจะเปลี่ยน แต่คริสตจักรไม่เปลี่ยน คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณกำลังรับใช้ในคริสตจักรที่ไม่เหมาะกับชุมชน

สร้างคริสตจักรบนจุดแข็งของคุณ

อย่าพยายามทำสิ่งที่ไม่ใช่คุณ ถ้าคริสตจักรคุณมีคนสูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ก็จงตัดสินใจทำพันธกิจกับคนสูงอายุให้มีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าพยายามเป็นคริสตจักรของคนวัย 30 ตอนปลาย เสริมสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วให้แข็งแกร่ง และอย่ากังวลในสิ่งที่คุณทำไม่ได้ ทำส่วนที่เป็นจุดแข็งต่อไป แต่ทำให้ดีขึ้น อาจมีคนกลุ่มหนึ่งในชุมชน ที่คริสตจักรคุณเท่านั้นจะสามารถเข้าถึงได้

วางรากคริสตจักรของคุณใหม่

การวางรากใหม่เกิดขึ้นเมื่อคุณจงใจเปลี่ยนลักษณะคริสตจักรของคุณเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ คุณทดแทนรายการ โครงสร้าง และรูปแบบการนมัสการเดิมทั้งหมดด้วยสิ่งใหม่

ผมอยากพูดให้ชัดเจนว่า ผมไม่แนะนำวิธีนี้ เพราะมันเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดและอาจต้องใช้เวลาหลายปี คนจะออกจากคริสตจักรเนื่องจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคุณนำกระบวนการนี้ สมาชิกเก่าแก่อาจตราหน้าคุณว่าเป็นซาตานมาเกิด เว้นแต่ว่าคุณอยู่ที่นั่นนานกว่าคนอื่น ผมเคยเห็นคนทำสิ่งนี้สำเร็จ แต่มันต้องอาศัยความอุตสาหะและความเต็มใจที่จะรับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ต้องอาศัยศิษยาภิบาลที่มีความรัก ความอดทน และของประทานที่จะนำคริสตจักรให้วางรากใหม่อีกครั้ง

ถ้าคริสตจักรมีคนมานมัสการเกินกว่า 100 คน คุณอย่าแม้แต่คิดถึงวิธีนี้เด็ดขาด เว้นแต่ว่าพระเจ้าตรัสให้คุณทำ มันเป็นเส้นทางสู่การพลีชีพ อย่างไรก็ตามถ้าคุณ อยู่ในคริสตจักรที่มี 50 คนหรือน้อยกว่านั้น นี่อาจเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับคุณ ข้อดีของคริสตจักรเล็ก คือ สามารถเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดโดยมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่จากไป และก็จะมีครอบครัวใหม่มาร่วม แต่ยิ่งคริสตจักรใหญ่มากเท่าไรโอกาสที่คุณจะทำเช่นนี้ได้ก็น้อยลงเท่านั้น

เริ่มต้นคริสตจักรใหม่

ทางเลือกที่ 3 นี้คือทางเลือกที่ผมอยากแนะนำ มีสองวิธีที่จะเริ่มต้นคริสตจักรใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในชุมชนของคุณ วิธีแรก คุณอาจเพิ่มการนมัสการอีกรอบหนึ่งที่มีรูปแบบการนมัสการแตกต่างจากเดิม เพื่อเข้าถึงคนกลุ่มที่รูปแบบการนมัสการในปัจจุบันเข้าไม่ถึง ทั่วอเมริกา มีคริสตจักรที่กำลังเริ่มต้นนมัสการรอบที่ 2 และ 3 เพื่อเพิ่มทางเลือก และพัฒนาการประกาศ

วิธีที่ 2 คือการเริ่มต้นภารกิจใหม่ ซึ่งคุณตั้งใจจะให้เป็นคริสตจักรที่เลี้ยงตนเอง การเริ่มต้นคริสตจักรใหม่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้มหาบัญชาสำเร็จ

คุณอาจจำสิ่งที่เรียนในวิชาชีววิทยาได้ว่า ลักษณะสำคัญของการเติบโตเต็มที่ทางชีวภาพคือ ความสามารถในการขยายพันธุ์ ผมเชื่อว่าคริสตจักรก็เป็นเช่นนั้น พระคัมภีร์เรียกคริสตจักรว่าเป็น "ร่างกาย" สิ่งที่แสดงว่าคริสตจักรเติบโตจริง ๆ คือ คริสตจักรมีทารก คือ ตั้งคริสตจักรอื่น ๆ

คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคริสตจักรใหญ่แล้วถึงจะตั้งคริสตจักรใหม่ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเริ่มต้นคริสตจักรลูกแห่งแรกเมื่ออายุเพียง 1 ปี ตั้งแต่นั้นมา ทุก ๆ ปีเราเริ่มต้นคริสตจักรใหม่อย่างน้อย 1 แห่ง พอครบ 15 ปี เราตั้งคริสตจักรได้ 25 แห่ง

รับรู้การตอบสนอง
ฝ่ายวิญญาณของชุมชนของคุณ

พระเยซูทรงสอนในคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิด (มัทธิว 13:3-23) ว่า การตอบสนองฝ่ายวิญญาณของผู้คนนั้นแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับดินที่มีหลายชนิด คนก็ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐแตกต่างกัน บางคนเปิดใจมาก และบางคนก็ใกล้มาก ในคำอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูทรงอธิบายว่า มีใจที่แข็งกระด่าง ใจที่ฉาบฉวย ใจที่วอกแวกและใจที่ยอมรับ

ถ้าเราจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการประกาศ เราต้องหว่านเมล็ดลงในดินดีดินที่จะเกิดผลร้อยเท่า ไม่มีชาวนาสติดีคนไหนจะทิ้งเมล็ดพันธุ์อันมีค่าไปกับดินที่ไม่มีธาตุอาหาร ทำนองเดียวกัน การประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่วางแผนหรือไม่ใส่ใจก็คือการเป็นผู้อารักขาที่ไม่ดี เรื่องราวของพระคริสต์นั้นสำคัญเกินกว่าที่จะเสียเวลา เงินทอง พลังงานกับวิธีการ และดินที่ไม่เกิดผล เราต้องมีกลยุทธ์ในการประกาศข่าวประเสริฐกับโลก มุ่งเน้นกำลังของเราในที่ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากที่สุด

แม้แต่ในกลุ่มเป้าหมายของคุณเองก็ยังมีความแตกต่างของการยอมรับ การยอมรับฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและหายไปเหมือนคลื่นในทะเล ในบางช่วงของชีวิต คนจะมีแนวโน้มที่จะเปิดต่อความจริงฝ่ายวิญญาณมากกว่าในช่วงเวลาอื่น พระเจ้าทรงใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อทำให้จิตใจอ่อนโยนและเตรียมคนให้รับความรอด

ใครคือคนที่ตอบสนองดีที่สุด ผมเชื่อว่า มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ คนที่อยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลง และคนที่อยู่ภายใต้ความกดดัน พระเจ้าทรงใช้ทั้งการเปลี่ยนแปลงและความเจ็บปวดเพื่อจับความสนใจของคน และทำให้เขายอมรับข่าวประเสริฐ

คนที่อยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลง

ทุกครั้งที่คนพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ดูเหมือนมันจะทำให้เขาโหยหาความมั่นคงฝ่ายวิญญาณ เวลาเช่นนี้คนจะสนใจเรื่องฝ้ายวิญญาณมาก เนื่องจาการเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกของเราทำให้คนรู้สึกกลัวและไม่มั่นคงนี่คือคลื่นที่คริสตจักรต้องเกาะไป

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราพบว่าคนจะตอบสนองต่อข่าวประเสริฐมากกว่าเมื่อพวกเขาพบการเปลี่ยนแปลง เช่น แต่งงาน มีลูกคนใหม่ มีบ้านใหม่ ได้งานใหม่ หรือเข้าโรงเรียนใหม่ นี่คือเหตุผลที่โดยทั่วไปคริสตจักรในชุมชนใหม่ ซึ่งมีคนย้ายเข้ามาตลอดเวลา จะเติบโตเร็วกว่าในชุมชนเก่าแก่ซึ่งตั้งมั่นคงมานาน 40 ปี

คนที่อยู่ภายใต้ความกดดัน

พระเจ้าทรงใช้ความเจ็บปวดทางอารมณ์ทุกประเภทเพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บปวดจาการหย่าร้าง คนที่รักเสียชีวิต การตกงาน ปัญหาการเงิน ปัญหาครอบครัว ความว้าเหว่ ความคับแค้นใจ ความรู้สึกผิด และความกดดันอื่น ๆ คนที่กลัวหรือกังวลมักจะมองหาสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และเติมเต็มความว่างเปล่าที่พวกเขารู้สึก

ผมไม่อ้างตนเป็นคนที่เข้าใจผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่จากการเป็นศิษยาภิบาลมา 15 ปี ผมเสนอรายการต่อไปนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่เปิดใจมากที่สุด 10 กลุ่มจากการประกาศที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค

1. แขกที่มาคริสตจักรเป็นครั้งที่ 2
2. เพื่อนสนิทและญาติของผู้เชื่อใหม่
3. คนที่กำลังจะหย่าร้าง
4. คนที่รู้สึกต้องการการบำบัด (จากการติดเหล้า ยาเสพติด เรื่องเพศหรืออื่น ๆ)
5. คนที่มีลูกคนแรก
6. คนที่ป่วยใกล้ตายและครอบครัวของเขา
7. คู่ครองที่มีปัญหาใหญ่ในครอบครัว
8. พ่อแม่ที่ลูกมีปัญหา
9. คนที่เพิ่งตกงานหรือมีปัญหาการเงินรุนแรง
10. คนที่ย้ายมาใหม่ในชุมชน

เป้าหมายที่เป็นไปได้สำหรับคริสตจักรของคุณอาจจะเป็นการมีรายการหรือการประกาศเฉพาะสำหรับคนแต่ละประเภทที่ตอบสนองดีในชุมชนของคุณ แน่นอนถ้าคุณเริ่มต้นทำสิ่งนี้ จะมีคนบอกว่า "อาจารย์ ผมคิดว่า ก่อนที่เราจะเริ่มประกาศกับคนใหม่เหล่านี้ เราควรจะพยายามติดตามสมาชิกเก่าที่หายหน้าไปเสียก่อน" นั่นเป็นกลยุทธ์ที่รับรองได้ว่าจะทำให้คริสตจักรถดถอย มันไม่ได้ผล การตามสมาชิกที่ไม่พอใจหรืออยู่ฝ่ายเนื้อหนังนั้น มันต้องใช้พลังงาน 5 เท่าเมื่อเทียบกับการนำคนไม่เชื่อที่ตอบสนองดี

ผมเชื่อว่าพระเจ้าเรียกศิษยาภิบาลให้จับปลาและเลี้ยงแกะ ไม่ใช่จับแพะเข้าคอก สมาชิกของคุณที่หายหน้าไปน่าจะไปร่วมคริสตจักรอื่นด้วยเหตุผลหลายประการ ถ้าคุณต้องการเติบโต ให้มุ่งเน้นที่การประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ตอบสนอง

เมื่อคุณรู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ ใครคือคนที่คุณน่าจะประกาศข่าวประเสริฐได้ดีที่สุด และใครเป็นคนที่ตอบสนองดีในกลุ่มเป้าหมายของคุณ คุณก็พร้อมสำหรับก้าวต่อไป นั่นคือ การกำหนดกลยุทธ์การประกาศข่าวประเสริฐสำหรับคริสตจักรของคุณ

บทที่ 9 กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร

ตอนที่ 3
เข้าถึงชุมชนของคุณ

พระเยซูตรัสว่า "เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล"
มัทธิว 15:24

เปาโลพูดว่า "ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้นที่เป็นคนต่างชาติเช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยิว"
กาลาเทีย 2:7

ครั้งหนึ่งผมเห็นการ์ตูนสนูปปี้ที่บรรยายวิธีประกาศของหลาย ๆ คริสตจักร ชาลี บราวน์กำลังซ้อมยิงธนูใส่รั้วบ้าน แล้วเดินไปเขียนเป้าล้อมรอบที่ ๆ ลูกธนูปัก ลูซี่เดินมาถามว่า "ทำไมเธอทำอย่างนี้ ชาลี บราวน์" เขาตอบอย่างไม่อายเลยว่า "ทำแบบนี้ฉันจะยิงไม่พลาดเลย"

น่าเศร้าที่เหตุผลเดียวกันนี้อยู่เบื้องหลังวิธีการประกาศข่าวประเสริฐของคริสตจักรจำนวนมาก เรายิงธนูแห่งข่าวประเสริฐเข้าไปในชุมชน และถ้ามันเกิดถูกใครเข้า เราก็บอกว่า "นั้นไงเล็งไว้นานแล้ว" สิ่งที่เราทำมีการวางแผนและวางกลยุทธ์กันน้อยเหลือเกิน เราไม่ได้เล็งที่เป้าหมายอย่างเจาะจง เราเพียงแค่เขียนเป้าหมายไว้ที่คนที่เราเข้าถึงได้ และยอมรับเช่นนั้น วิธีประกาศแบบนี้ขาดความใส่ใจอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ การนำคนมาหาพระคริสต์เป็นงานที่สำคัญเกินกว่าที่เราจะมีท่าทีสบาย ๆ เช่นนี้

คริสตจักรจำนวนมากมีความคิดซื่อ ๆ เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าคุณถามสมาชิกว่า "คริสตจักรของคุณพยายามนำใครมาเชื่อพระเจ้า" คำตอบคงจะเป็น "ทุกคน" เราพยายามนำทั้งโลกมาถึงพระคริสต์" แน่นอน นี่คือเป้าหมายของพระมหาบัญชา และมันควรเป็นคำอธิษฐานของคริสตจักร แต่ในภาคปฏิบัติ ไม่มีคริสตจักรท้องถิ่นแห่งใดสามารถประกาศกับทุกคนได้

เพราะมนุษย์มีความแตกต่างมาก ไม่มีคริสตจักรแห่งใดสามารถเข้าถึงทุกคนได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอาศัยคริสตจักรทุกประเภท คริสตจักรเดียว ยุทธวิธีเดียวหรือรูปแบบเดียวไม่อาจทำให้สำเร็จได้ เราต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถทำสำเร็จ

ถ้าคุณนั่งเล่นที่สนามบินสักครึ่งวัน คุณจะเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าชอบความหลากหลาย พระองค์สร้างมนุษย์ที่หลากหลายทั้งความสนใจ ความชอบ ภูมิหลัง และบุคลิก การเข้าถึงคนทุกประเภทเพื่อพระคริสต์ก็ต้องอาศัยรูปแบบการประกาศที่หลากหลายด้วย ข่าวประเสริฐนั้นคงเดิม แต่วิธีการและรูปแบบของการสื่อสารข่าวประเสริฐมีหลากหลาย

ผมปฏิเสธที่จะโต้เถียงว่าวิธีการระกาศแบบใดดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณพยายามประกาศกับใคร เหยื่อต่างชนิดก็จะล่อปลาต่างชนิด ผมชอบวิธีประกาศที่นำคนมาถึงพระคริสต์ได้อย่างน้อย 1 คน ตราบใดที่มันไม่ผิดจรรยาบรรณ ผมคิดว่า วันหนึ่งคนที่คัดค้านวิธีประกาศแบบใดแบบหนึ่ง จะอับอายมากเมื่อได้เห็นคนจำนวนมากเข้าสู่สวรรค์เพราะวิธีการนั้น ๆ เราไม่ควรตำหนิวิธีการใด ๆ ที่พระเจ้าทรงอวยพร

ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรมีประสิทธิภาพสูงสุดในการประกาศ คุณต้องตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณ จงค้นหาว่ามีคนประเภทใดบ้างที่อยู่ในละแวกคริสตจักรคุณ ตัดสินใจว่าคนกลุ่มไหนที่คริสตจักรคุณพร้อมจะประกาศมากที่สุด และหาว่ารูปแบบการประกาศใดที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แม้คริสตจักรคุณจะไม่สามารถเข้าถึงทุกคนได้ แต่คริสตจักรคุณก็เหมาะกับการนำคนประเภท เมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังพยายามประกาศกับใคร ก็จะทำให้การประกาศง่ายขึ้นมาก

ลองนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานีวิทยุที่พยายามดึงดูดนักฟังเพลงทุกประเภท สถานีที่เปลี่ยนแนวดนตรีจากแนวหนึ่งไปสู่อีกแนวหนึ่งจะไม่เหมาะกับใครสักคน ไม่มีใครจะฟังสถานีนั้น

บรรดาสถานีวิทยุที่ประสบความสำเร็จล้วนเลือกกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาทำวิจัยบริเวณที่พวกเขาออกอากาศ ค้นหาว่ากลุ่มใดที่ยังไม่มีสถานีใดเข้าถึง แล้วเลือกแนวดนตรีที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 2 ที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค หลังจากที่รู้ว่า คริสตจักรของเราเหมาะสมที่สุดในการประกาศกับใคร เราก็จงใจมุ่งไปหาคนเหล่านั้น เมื่อเราวางแผนการประกาศเรามีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในความคิดเสมอ พระคัมภีร์ได้กำหนดข่าวประเสริฐที่เราประกาศ แต่กลุ่มเป้าหมายจะกำหนดว่าเราจะสื่อสารเมื่อไร ที่ไหน และอย่างไร

คุณต้องไม่ คิด ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร จนกว่าคุณจะมีวัตถุประสงค์คริสตจักรที่ชัดเจนเสียก่อน ต้องวางรากฐานพระคัมภีร์ก่อน ผมเคยเฝ้าดูบางคริสตจักรที่เริ่มต้นกำหนดยุทธวิธีการประกาศด้วยกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่วางฐานแห่งวัตถุประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าเสียก่อน ผลก็คือได้คริสตจักรที่ไม่มั่นคงและไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ เคลื่อนไปด้วยกำลังทางการตลาด แทนที่จะเป็นพระวจนะของพระเจ้า ข่าวประเสริฐไม่อาจประกาศอย่างประนีประนอมได้

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศ
เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงเพื่อการประกาศนั้น เป็นหลักการตามพระคัมภีร์สำหรับการทำพันธกิจ มันเก่าแก่เท่ากับพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงมีกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพระองค์ เมื่อหญิงคานาอันขอให้พระองค์ช่วยลูกสาวของนางที่ถูกผีเข้า พระองค์กล่าวอย่างเปิดเผยว่า พระบิดาบัญชาให้พระองค์จดจ่อที่ "แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล" (มัทธิว 15:22-28) แม้พระเยซูทรงรักษาลูกสาวของนางเพราะความเชื่อของนาง แต่พระองค์ก็บอกอย่างเปิดเผยว่า พันธกิจของพระองค์มุ่งที่คนยิว พระเยซูไม่ยุติธรรมหรือมีอคติหรือเปล่า ไม่ใช่อย่างแน่นอน พระเยซูทรงกำหนดกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพระองค์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อแบ่งแยก

ก่อนหน้านั้น พระเยซูบัญชาเหล่าสาวกให้มีกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพวกเขาด้วย มัทธิว 10:5-6 กล่าวว่า "สิบสองคนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า" เปาโลมุ่งเป้าพันธกิจของท่านที่คนต่างชาติและเปโตรมีกลุ่มเป้าหมายคือคนยิว (กาลาเทีย 2:7) พันธกิจทั้งสองมีความจำเป็น ทั้งสองสำคัญ และทั้งสองมีประสิทธิภาพ

แม้แต่พระกิตติคุณสี่เล่มก็เขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมพระเจ้าทรงใช้ผู้เขียน 4 คนและหนังสือ 4 เล่มเพื่อสื่อสารชีวิตของพระคริสต์ผู้เดียว เรื่องราวและคำสอนเกือบทั้งหมดในมาระโกก็มีอยู่ในมัทธิวด้วย แล้วทำไมเราถึงต้องการหนังสือ 2 เล่ม ก็เพราะพระกิตติคุณมัทธิวมุ่งที่ผู้อ่านชาวฮีบรู ส่วนมาระโกมุ่งที่ผู้อ่านต่างชาติ พวกเขามีเรื่องราวเดียวกัน แต่เนื่องจากพวกเขาเขียนสำหรับผู้อ่านที่ต่างกัน รูปแบบการสื่อสารจึงแตกต่าง การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศเป็นวิธีที่พระเจ้าสร้างขึ้น พระองค์คาดหวังให้เราเป็นพยานกับผู้อื่นตามลักษณะของเขา

แนวคิดเรื่องการมีกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศผนวกอยู่ในพระมหาบัญชาด้วย เราต้องสอน "ชนทุกชาติ" ให้เป็นสาวก คำกรีก "ta ethne" (รากศัพท์ของคำอังกฤษ ethnic - เผ่าพันธ์) ถ้าแปลตามตัวอักษรก็คือ "กลุ่มชนทั้งหมด" กลุ่มชนที่แตกต่างต้องอาศัยยุทธวิธีการประกาศที่สามารถสื่อสารข่าวประเสริฐในลักษณะที่คนในวัฒนธรรมนั้นสามารถเข้าใจได้

เดือนมีนาคม 1995 งานของบิลลี่ แกรแฮมในเปอร์โตริโก มีการออกอากาศ 116 ภาษาสู่ผู้ฟังทั่วโลก เรื่องราวเดียวกัน แต่ต้องแปลเป็นภาษาของแต่ละประเทศและมีเพลงและคำพยานที่เหมาะกับแต่ละวัฒนธรรม คนกว่า 1,000 ล้านได้ยินข่าวประเสริฐในภาษา ทำนองและคำพยานที่เหมาะกับกลุ่มพวกเขา นี่เป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ในการประกาศตามกลุ่มเป้าหมาย

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับคริสตจักรเล็ก ๆ ในคริสตจักรเล็กซึ่งมีทรัพยากรจำกัด มันสำคัญมากที่คุณต้องใช้สิ่งที่คุณมีให้คุ้มค่าที่สุด ให้คุณทุ่มทรัพยากรของคุณเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่คริสตจักรคุณสามารถสื่อสารได้ดีที่สุด

คริสตจักรเล็ก ๆ ต้องตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ เช่น เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดคนทุกประเภทด้วยดนตรีรูปแบบเดียวในการนมัสการครั้งเดียว และคริสตจักรเล็กก็ไม่สามารถมีการนมัสการหลายรอบ ดังนั้นจึงต้องเลือกกลุ่มเป้าหมาย ถ้าหากคุณเปลี่ยนรูปแบบทุก ๆ สัปดาห์ คุณก็จะได้ผลเหมือนกับสถานีวิทยุที่ผสมทุกแนวเพลงคือไม่มีใครพอใจซักคน

ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของคริสตจักรใหญ่ คือ คุณมีทรัพากรพอที่จะมุ่งกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่ม ยิ่งคริสตจักรของคุณใหญ่เท่าไร คุณก็ยิ่งมีทางเลือกด้านรายการ รายการพิเศษและรูปแบบการนมัสการได้มากขึ้น เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเริ่มต้น เรามุ่งเน้นเพียงกลุ่มเดียว คือ คู่สมรสใหม่ คนชั้นกลางที่ไม่เป็นคริสเตียน เรามุ่งเน้นที่พวกเขาเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในแซดเดิลแบ็ควาลลีย์ และเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่ผมสร้างความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด แต่เมื่อคริสตจักรเราเติบโตขึ้นเราสามารถทำพันธกิจและรายการประกาศเพื่อเข้าถึงผู้ใหญ่ตอนต้น คนโสด นักโทษ คนสูงอายุ พ่อแม่ที่ลูกมีปัญหา และคนที่พูดภาษาสเปน เวียดนาม และเกาหลี รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายอีกหลายกลุ่ม

คุณจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างไร

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนของคุณให้มากที่สุด คริสตจักรคุณต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงโดยคำนึง 4 ด้าน คือ ภูมิศาสตร์ (ที่อยู่) ลักษณะประชากร (เช่น เพศ อายุ) วัฒนธรรม และสภาพจิตวิญญาณ

เมื่อผมเรียนวิชาการตีความพระคัมภีร์ ธรรมเนียม วัฒนธรรม และศาสนาของคนในสมัยนั้นเสียก่อน แล้วผมถึงจะสามารถกลั่นกรองความจริงนิรันดร์ของพระเจ้าออกมาจากบริบทได้ กระบวนการนี้เรียกว่า "ธรรมกถา" นักเทศน์ที่ยึดมั่นในพระคัมภีร์ทุกคนต้องใช้มัน

น่าเสียดาย ไม่มีวิชาไหนสอนผมว่า ก่อนที่ผมจะสื่อสารความจริงนิรันดร์นี้กับคนในสมัยนี้ ผมต้อง "ธนนมกถา" (ทำความเข้าใจ) ชุมชนของผมเสียก่อน ผมต้องสนใจภูมิศาสตร์ ธรรมเนียม วัฒนธรรม และภูมิหลังของชุมชนของผม เหมือนที่ผมต้องทำกับคนที่อยู่ในสมัยพระคัมภีร์ ถ้าผมต้องการสัตย์ซื่อในการสื่อสารพระวจนะของพระเจ้า

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามภูมิศาสตร์

พระเยซูมีแผนการสำหรับการประกาศกับทั้งโลก ในกิจการ 1:8 พระองค์บอกให้สาวกรู้ถึงกลุ่มเป้าหมายทาวภูมิศาสตร์ว่า "แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" นักวิชาการพระคัมภีร์หลายคนชี้ว่า นี่คือรูปแบบการเติบโตที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในพระธรรมกิจการ ข่าวประเสริฐไปถึงคนยิวในเยรูซาเล็มก่อน แล้วไปถึงแคว้นยูเดีย แล้วก็แคว้นสะมาเรีย และในที่สุดก็แพร่ไปทั่วยุโรป

ในพันธกิจของคุณ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางภูมิศาสตร์หมายความว่าคุณกำหนดว่าคุณต้องการประกาศคนที่อยู่บริเวณไหน เอาแผนที่เมืองหรือจังหวัดของคุณออกมากาง และทำเครื่องหมายว่าคริสตจักรคุณอยู่ตรงไหน ให้ประมาณรัศมีโดยรอบที่สามารถขับรถถึงใน 15-25 นาที และทำเครื่องหมายพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นขอบเขตพันธกิจหลัก นี่คือ "บ่อตกปลา" ของคุณ หน่วยงานราชการสามารถบอกคุณว่าในพื้นที่รอบ ๆ คริสตจักรนั้นมีคนจำนวนเท่าไร

เรื่องนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคิด ประการแรก "ระยะทางที่ขับรถไปถึงได้" คำ ๆ นี้แต่ละคนเข้าใจไม่เหมือนกัน เวลาเดินทางในแต่ละส่วนของประเทศไม่เหมือนกัน คนชนบทเต็มใจจะขับรถไกลกว่าคนที่อยู่ในเมือง คนอยากใช้ทางหลวงมากกว่าขับผ่านไฟจราจรในเมือง ผมเดาว่า เวลาขับรถไปคริสตจักร คนเรายอมทนเจอไฟจราจรอย่างมากประมาณ 12 จุด

ประการที่ 2 ปัจจุบันคนเลือกคริสตจักรเพราะความสัมพันธ์ และรายการมากกว่าที่ตั้ง การตั้งคริสตจักรให้ใกล้พวกเขาที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเข้าถึงพวกเขาได้โดยอัตโนมัติ คริสตจักรคุณอาจไม่ เหมาะ กับพวกเขาก็ได้ ตรงกันข้าม จะมีคนที่ยอมขับรถผ่านคริสตจักรอื่น 15 แห่งเพื่อมาร่วมคริสตจักรคุณ ถ้าคุณตอบสนองความต้องการของพวกเขา

ประการที่ 3 ยิ่งคริสตจักรคุณใหญ่ขึ้น ก็จะยิ่งขยายออกไปได้ไกลขึ้น เรามีคนประเภทที่ขับรถกว่าชั่วโมงเพื่อมาคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เพราะเรามีรายการหรือกลุ่มสนับสนุนที่พวกเขาหาที่ไหนใกล้กว่านี้ไม่ได้ คนเต็มใจจะขับรถไกลขึ้นเพื่อร่วมคริสตจักรใหญ่ที่มีพันธกิจรอบด้านมากกว่าร่วมคริสตจักรเล็กที่มีพันธกิจจำกัด

อีกวิธีหนึ่งในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายของคุณ คือ เขียนวงกลมรอบคริสตจักรคุณเป็นรัศมี 5 ไมล์ (8 กิโลเมตร) แล้วดูว่ามีคนในวงกลมนั้นจำนวนเท่าไร นี่คือบริเวณ เริ่มต้น พันธกิจของคุณ คนอเมริกันประมาณ 65% ไม่ไปคริสตจักรที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในเขตเมือง ถ้าคุณคำนวณจำนวนประชากรบริเวณนั้น แล้วหา 65% คุณก็จะเห็นว่า "ทุ่งนาพร้อมจะเก็บเกี่ยว" จริง ๆ

เมื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรในบ่อตกปลาของคุณ นี่สำคัญมาก เนื่องจากประชากรที่อยู่ในบริเวณของคุณเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ที่คุณจะนำพวกเขาเข้ามา ส่วนในบริเวณที่มีประชากรมาก เป็นไปได้ที่คุณจะทำให้คริสตจักรเติบโตโดยการมุ่งเน้นที่กลุ่มเดียว แต่ในบริเวณที่ประชากรน้อยคุณต้องประกาศกับคนหลายกลุ่มเพื่อจะได้คริสตจักรขนาดใหญ่

การไม่สนใจบทบาทของจำนวนประชากรในการคำนวณว่าคริสตจักรจะใหญ่เพียงไรนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา ไม่ว่าคริสตจักรจะทุ่มเทเพียงไร ถ้าบริเวณพันธกิจมีคนเพียง 1,000 คน คริสตจักรจะไม่มีวันใหญ่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของศิษยาภิบาล และไม่ใช่เพราะคริสตจักรขาดการทุ่มเท แต่มันเป็นหลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ

ผมเคยไปคริสตจักรใหญ่บางแห่งในเมืองใหญ่ พวกเลือกกลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจงมากเพื่อจะเข้าถึงประชากรเพียง 0.5% แต่เนื่องจากบริเวณนั้นมีประชากร 200,000 คน คริสตจักรนั้นจึงมีคนมานมัสการ 1,000 คน คุณจะเข้าใจผิดและผิดหวัง ถ้าคุณจะเลียนแบบกลยุทธ์ของพวกเขา คริสตจักรคุณซึ่งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ จะใหญ่เหมือนคริสตจักรนั้น คุณจำเป็นต้องจดจ่อที่ค่าเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เข้าถึงได้จริง ๆ แต่ไม่ใช่จำนวนตัวเลข กลยุทธ์ที่เข้าถึงคน 1,000 คนในเมืองที่มี 200,000 คน ก็เหมือนการเข้าถึง 50 คนในเมืองที่มี 1,000 คน

ไม่ฉลาดนักและก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบจำนวนคนที่มาร่วมนมัสการของคริสตจักรต่าง ๆ เพราะทุกคริสตจักรต่างมีบ่อตกปลาที่ไม่เหมือนที่อื่น และแต่ละบ่อก็มีจำนวนและชนิดของปลาที่แตกต่างกัน คริสตจักร 2 แห่งอาจดูคล้ายกันมาก แต่เมื่อพิเคราะห์ดูใกล้ ๆ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยอาศัยข้อมูลประชากร

ไม่เพียงแค่คุณจำเป็นต้องหาว่า มีกี่คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของคุณ คุณยังต้องรู้ด้วยว่า คนที่อยู่นั่นมีลักษณะแบบไหน แต่ก่อนอื่น ผมขอเตือนคุณว่า อย่าทำการวิจัยข้อมูลประชากรมากเกินไป เพราะคุณจะเสียเวลามากมายไปกับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนในส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับคริสตจักร ผมรู้จักผู้ก่อตั้งคริสตจักรบางคนที่ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เตรียมแฟ้มอย่างสวยงามซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลประชากรในพื้นที่ของพวกเขา มันแค่น่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์ต่อวัตถุประสงค์ของคริสตจักร

มีข้อมูลประชากรเพียงไม่กี่อย่างที่มีประโยชน์และจำเป็น ผมถือว่าปัจจัยสำคัญ ๆ ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศคือ
๐ อายุ - แต่ละช่วงอายุมีคนจำนวนเท่าไร
๐ สถานภาพสมรส - มีผู้ใหญ่โสดจำนวนเท่าไร คู่สมรสจำนวนเท่าไร
๐ รายได้ - ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเท่าไร
๐ การศึกษ - ระดับการศึกษาในชุมชนเป็นอย่างไร
๐ อาชีพ - อาชีพส่วนใหญ่คืออะไร

แต่ละปัจจัยเหล่านี้ต่างมีอิทธิพลต่อวิธีการทำพันธกิจ และการสื่อสารข่าวประเสริฐของคุณ

ตัวอย่างเช่น คนที่เพิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีความหวังและความกลัวแตกต่างจากคนท่่เกษียณแล้ว การเสนอพระกิตติคุณซึ่งเน้นเรื่องความรอดในสวรรค์คงจะไม่ได้ผลเพราะพวกเขายังมีชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล เขาไม่สนใจชีวิตหลังความตาย เขาเพียงแต่กระหายอยากรู้ว่า ชีวิต นี้ มีความหมายหรือเป้าหมายหรือไม่ การสำรวจระดับประเทศครั้งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า คนอเมริกันน้อยกว่าท1% สนใจคำถามว่า "ผมจะไปสวรรค์ได้อย่างไร"

วิธีที่ได้ผลดีกว่านั้นในการประกาศกับคนที่เพิ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือ ชี้ให้เห็นว่า เวลานี้ เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยทางพระคริสต์ได้อย่างไร ตรงข้าม ผู้สูงอายุจะสนใจมากในเรื่องการเตรียมตัวเพื่อนิรัดร์กาล เพราะพวกเขารู้ว่า เวลาของพวกเขาอาจหมดลงเมื่อไหร่ก็ได้

คู่สมรสมีความสนใจต่างจากคนโสด คนยากจนเผชิญปัญหาที่แตกต่างจากคนชั้นกลาง คนมั่งมีมีความวิตกของพวกเขาเอง คนที่จบมหาวิทยาลัยจะมองโลกแตกต่างจากคนที่จบชั้นมัธยม การรู้มุมมองของคนที่เราอยากจะนำมาเชื่อพระคริสต์นั้นมีความสำคัญมาก

ถ้าคุณจริงจังกับการทำให้คริสตจักรคุณมีอิทธิพลจริง ๆ จงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชุมชนของคุณ ศิษยาภิบาลควรรู้จักชุมชนของตนดีกว่าคนอื่น อย่างที่ผมอธิบายในบทที่ 1 ก่อนผมจะย้ายเข้ามาในชุมชนนี้ ผมใช้เวลา 3 เดือนศึกษาสถิติประชากรและข้อมูลประชากร เพื่อผมจะรู้ว่าคนประเภทใดบ้างที่อาศัยอยู่ในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ก่อนผมจะย่างเท้าเข้ามา ผมรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นั่นกี่คน พวกเขาทำงานที่ไหน มีรายได้เท่าไร รวมถึงรู้ระดับการศึกษาและเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณจะรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้จากที่ไหน มีแหล่งข้อมูลมากมาย รวมทั้งห้องสมุดต่าง ๆ สำนักงานหนังสือพิมพ์ หอการค้า นายหน้าค้าที่ดิน บริษัทสาธารณูปโภค คริสตจักรคณะใหญ่ ๆ ก็มีฐานข้อมูลที่คุณจะใช้ได้

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามวัฒนธรรม

การเข้าใจข้อมูลประชากรของชุมชนนั้นสำคัญ แต่การเข้าใจวัฒนธรรมของชุมชนนั้นสำคัญยิ่งกว่า วัฒนธรรม คือสิ่งที่คุณไม่พบในสถิติสำมะโนประชากร ผมใช้คำว่า วัฒนธรรมซึ่งหมายถึง วิถีชีวิตและทัศนคติของคนที่อยู่ใกล้คริสตจักรของคุณ ในเรื่องนี้โลกธุรกิจใช้คำไพเราะว่า ลักษณะทางจิตวิทยา ซึ่งก็หมายถึง ค่านิยม ความสนใจ ความเจ็บปวด และความกลัว มิชชันนารี คริสเตียนรู้จักจำแนกความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมมานานแสนนาน ก่อนที่โลกธุรกิจจะหลงใหลในเรื่อง ลักษณะทางจิตวิทยา

ไม่มีมิชชันนารีคนไหนไปต่างประเทศและพยายามประกาศและรับใช้โดยไม่ทำความเข้าใจวัฒนธรรมของคนที่นั่นเสียก่อน มันโง่เขลาที่จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบัน การเข้าใจวัฒนธรรมที่เราทำพันธกิจอยู่ก็ยังสำคัญเหมือนเดิม เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับวัฒนธรรมของเรา แต่เรา ต้อง เข้าใจมัน

ภายในชุมชนของเรา มีวัฒนธรรมย่อยหรือกลุ่มย่อย ๆ มากมาย การจะเข้าถึงแต่ละกลุ่ม เราจำเป็นต้องค้นหาว่า พวกเขาคิดอย่างไร ความสนใจของพวกเขาคืออะไร พวกเขาให้ความสำคัญกับอะไร พวกเขาเจ็บปวดตรงไหน พวกเขากลัวสิ่งใด ลักษณะเด่นที่สุดของวิถีชีวิตพวกเขาคืออะไร สถานีวิทยุที่พวกเขานิยมที่สุดคือสถานีใด ยิ่งคุณรู้จักพวกเขามากเท่าไร คุณก็ยิ่งเข้าถึงพวกเขาง่ายเท่านั้น

อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของคริสตจักรคือ "การไม่รู้จักผู้คน" คือไม่รู้ถึงความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละกลุ่มคน คนผิวขาวเหมือนกันทั้งหมดหรือเปล่า แน่นอน ไม่ คนผิวดำเหมือนกันทุกคนหรือเปล่า แน่นอน ไม่ คนที่พูดภาษาสเปน หรือคนเอเชียเหมือนกันหมดหรือเปล่า ไม่ สายตาที่ได้รับการฝึกฝนแล้วจะมองเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างคนที่อยู่ในพื้นที่ของคุณ

วิธีที่ดีที่สุดในการรู้จักวัฒนธรรม ทัศนคติ และวิถีชีวิตของคน คือ การพูดคุยกับพวกเขาเป็นส่วนตัว คุณไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทการตลาด เพียงแค่คุณออกไปและพบปะคนในชุมชนของคุณเป็นส่วนตัว ทำการสำรวจด้วยตัวคุณเอง ถามพวกเขาว่าพวกเขา รู้สึกว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด ฟังความเจ็บปวด ความสนใจ และความกลัวของพวกเขา ไม่มีหนังสือหรือรายงานข้อมูลประชากรใดที่สามารถจะทดแทนการพูดคุยกับคนในชุมชนของคุณ สถิติให้ภาพเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น คุณต้องใช้เวลาส่วนตัวกับคนอื่น เพื่อจะรับรู้ความรู้สึกของชุมชนโดยการพูดคุยกันตัวต่อตัว ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรจะมาทดแทนสิ่งนี้ได้

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามสภาพจิตวิญญาณ

หลังจากที่คุณกำหนดพื้นที่เป้าหมายตามวัฒนธรรมแล้ว คุณต้องหาเบื้องหลังด้านจิตวิญญาณของคนในชุมชนของคุณ ค้นหาว่าคนในพื้นที่ของคุณรู้อะไรเกี่ยวกับพระกิตติคุณแล้วบ้าง เช่น เมื่อผมศึกษาแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ผมพบว่า คนในเขตออเรนจ์ เคาน์ตี้เชื่อในพระเจ้าหรือวิญญาณสากล 94% เชื่อคำนิยามของพระเจ้าในพระคัมภีร์ 75% เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย 70% และเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในโลกนี้เพื่อจุดประสงค์ฝ่ายวิญญาณ 52% นี่เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะทำให้รู้ว่าเวลาเป็นพยานกับพวกเขาควรจะเริ่มต้นตรงไหน

ในการกำหนดบรรยากาศฝ่ายวิญญาณของชุมชน คุณต้องสัมภาษณ์ศิษยาภิบาลคนอื่น ๆ ในแถบนั้น ศิษยาภิบาลที่ได้ทำงานในชุมชนนั้นกว่า 10 ปีควรจะรู้อย่างมากถึงปัญหาท้องถิ่นและแนวโน้มฝ่ายวิญญาณ

ก่อนผมย้ายมาเพื่อตั้งคริสตจักรของเรา ผมติดต่อกับศิษยาภิบาลแต่ละคนในแถบแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์เพื่อฟังการประเมินของพวกเขาเรื่องความต้องการทางฝ่ายวิญญาณของคนแถบนี้ งานนี้ง่ายมาก ผมไปที่ห้องสมุด ค้นสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง หาคำว่า "คริสตจักร" และจดชื่อและที่อยู่ของคริสตจักรทุกแห่งในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ (ประเทศไทยก็สะดวกมากเพราะมีสมุดโทรศัพท์คริสเตียนไทย) แล้วผมก็เขียนจดหมายถึงศิษยาภิบาลแต่ละคน อธิบายว่าผมจะทำอะไร และถามคำถาม 6 ข้อในบัตรตอบรับที่ติดแสตมป์แล้ว ผมได้รับบัตรตอบรับกลับมาประมาณ 30 ใบ ผมได้รับความเข้าใจอย่างมาก และได้เริ่มต้นมิตรภาพที่ยาวนานกับศิษยาภิบาลหลายคน

คำว่า คนที่ไม่ไปคริสตจักร ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ไม่เคยอยู่ในคริสตจักรมาก่อน มันยังรวมถึงคนที่เคยไปคริสตจักร แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์และคนที่ไม่ได้ไปคริสตจักรมานานพอสมควร ซึ่งมักจะเป็นเวลาหลายปี (สำหรับในประเทศไทยน่าจะใช้คำว่าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า หรือคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนน่าจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า - ผู้เรียบเรียง)

คนอเมริกัน 26% อ้างว่ามาจากพื้นเพแบบคาธอลิก ถ้าคุณอยู่ฝั่งตะวันตก คนที่คุณจะพบมากที่สุดคงจะเป็นคนที่เคยเป็นคอธอลิก ถ้าคุณอยู่ทางใต้ แน่นอน คนกลุ่มใหญ่ที่สุดคือคนที่มีพื้นเพแบบแบ๊กติส (30%) ในรัฐนอร์ธ ดาโกต้า คนที่ไม่ไปคริสตจักรที่คุณมีโอกาสคุยด้วยคงมีพื้นเพแบบลูเธอร์แรน (28%) และในรัฐแคนซัสและไอโอว่าคนเหล่านั้นคงมีพื้นเพเมธอดิสต์ (13%) ในรัฐไอดาโฮ ไวโอมิ่ง และยูทาห์ก็คงเป็นลัทธิมอร์มอน ดังนั้น คุณต้องรู้จักพื้นที่ของคุณ

เมื่อผมเป็นพยานกับใครก็ตามที่ไม่รู้จักพระคริสต์เป็นการส่วนตัว ผมจะพยายามหาสิ่งที่เรามีเหมือนกันในเรื่องเบื้องหลังทางศาสนา เช่น ขณะที่ผมคุยกับคนคาธอลิก ผมรู้ว่าพวกเขายอมรับพระคัมภีร์ แต่คงไม่เคยอ่าน และรู้ว่าพวกเขายอมรับตรีเอกนุภาพ การประสูติโดยหญิงพรหมจารีและพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เรามีเรื่องพื้นฐานสำคัญ ๆ บางอย่างที่เห็นตรงกันอยู่แล้ว งานของผม คือ การสื่อสารควรมแตกต่างระหว่างการมีศาสนาที่ตั้งอยู่บนการกระทำ กับการมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์โดยอาศัยพระคุณ (งานของเราต้องเริ่มจากการหาจุดที่เรามีเหมือนกันคนไทยที่เราประกาศ หลังจากนั้นค่อยนำสู่ความแตกต่าง)

เมื่อผมพูดในสัมมนาศิษยาภิบาล มักจะมีศิษยาภิบาลบอกผมว่า คริสตจักรของพวกเขา "เหมือนคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค" พอผมถามว่าเหมือนอย่างไร พวกเขาตอบว่า "เราเน้นที่การประกาศกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน" ผมบอกว่า "เยี่ยมมากแล้วคริสตจักรคุณประกาศกับคนไม่เป็นคริสเตียนประเภทไหนล่ะครับ" คนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน การบอกว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือ "คนไม่เป็นคริสเตียน" เป็นการกล่าวที่ยังไม่สมบูรณ์ คนไม่เป็นคริสเตียนที่ปราดเปรื่องในเบิร์กเล่ย์ (มหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย) ต่างกันมากกับชาวนาในเมืองเฟรสโน หรือคนไม่เป็นคริสเตียนที่อพยพมาอยู่ในลอสแอนเจลิส

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศนั้นต้องใช้เวลา และการศึกษาที่จริงจัง แต่เมื่อคุณทำการสำรวจเสร็จแล้ว คุณจะเข้าใจว่า ทำไมวิธีประกาศบางวิธีจึงได้ผลหรือไม่ได้ผลในพื้นที่ของคุณ มันจะช่วยคุณไม่ให้สูญเสียกำลังและทุนทรัพย์อันมีค่าไปกับวิธีประกาศที่ไม่ได้ผล

ในต้นทศวรรษที่ 1980 บางคริสตจักรพยายามใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือเพื่อการประกาศ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่เคยทำตาม ทำไมหรือ เพราะว่าในการสำรวจกลุ่มเป้าหมายของเรา เราได้รู้ 2 สิ่งคือ หนึ่ง เรารู้ว่า คนที่รบกวนชาวออร์เรนจ์ เคาน์ตี้มากที่สุดคือ "คนแปลกหน้าที่โทรศัพท์มาขายของ" อง เรารู้ว่า กว่าครึ่งของคนในชุมชนของเราไม่มีชื่อในสมุดโทรศัพท์ แค่นี้สรุปได้แล้ว ผมประหลาดใจที่คริสตจักรหลายแห่งมักจะใช้เงินมากมายไปกับโครงการประกาศ โดยไม่ได้ถามกลุ่มเป้าหมายเสียก่อนว่า เขาคิดว่ามันใช้ได้หรือไม่

วาดภาพกลุ่มเป้าหมายให้เป็นบุคคล

เมื่อคุณรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับชุมชนของคุณแล้ว ผมหนุนใจให้คุณจัดแฟ้มประวัติรวมลักษณะของบุคคลที่เป็นแบบฉบับของคนไม่เป็นคริสเตียน ซึ่งคริสตจักรคุณต้องการประกาศด้วย การรวบรวมลักษณะของคนในพื้นที่ของคุณให้เป็นบุคคลสมมุติคนเดียว จะทำให้สมาชิกคุณก็จะเห็นว่า บุคคคสมมุติคนนี้คือ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับเขา

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเรียกบุคคลสมมุติคนนี้ว่า "แซดเดิลแบ็คแซม" สมาชิกส่วนใหญ่ของเราสามารถบรรยายลักษณะของแซมได้ เราบรรยายถึงเขาอย่างละเอียดทุกครั้งที่เราสอนชั้นเรียนสมาชิกใหม่

แซดเดิลแบ็คแซม คือ แบบฉบับของคนที่ไม่เป็นคริสเตียนซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเรา อายุของเขาคือปลาย 30 หรือต้น 40 เขาจบปริญญาตรี หรืออาจมีปริญญาที่สูงกว่านั้น (แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์เป็นบริเวณที่มีการศึกษาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา) เขาแต่งงานกับแซดเดิลแบ็คซาแมนธา และมีลูก 2 คนคือ สตีฟและแซลลี่

การสำรวจบอกว่า แซมชอบงานของเขา ชอบที่ที่เขาอยู่ และคิดว่า ตอนนี้เขามีความสุขมากกว่า 5 ปีก่อน เขาพอใจในตัวเอง จนถึงขั้นอิ่มอกอิ่มใจในสถานภาพของตน เขาเป็นมืออาชีพ เป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ แซมอยู่ในกลุ่มคนที่มั่งมีที่สุดในอเมริกา แต่เขามีหนี้สินมาก โดยเฉพาะจากราคาบ้านของเขา

สุขภาพและรูปร่างมีความสำคัญมากสำหรับแซมและครอบครัว คุณมักจะเห็นแซมวิ่งในตอนเช้า ปลซาแมนธาไปเข้าชั้นแอโรบิกสัปดาห์ละ 3 ครั้งที่ศูนย์สุขภาพทั้งสองชอบฟังเพลงป๊อปและคันทรี โดยเฉพาะเวลาพวกเขาออกกำลังกาย

เกี่ยวกับการเข้าสังคม แซมและภรรยาของเขาชอบพบปะคนกลุ่มใหญ่มากกว่ากลุ่มเล็ก ทำไมหรือ เพราะกลุ่มใหญ่ แซมสามารถหลบซ่อน ไม่ปรากฏตัวและปกป้องความเป็นส่วนตัวที่เขาแสนจะหวงแหน แซมมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่ปรากฏในสมุดโทรศัพท์ และอาจอยู่ในชุมชนที่เป็นส่วนตัวมาก (นี่คือเหตุผลหลักที่คริสตจักรของเราทำประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคริสตจักรทางจดหมายในปีแรก มันเป็นวิธีเดียวที่จะติดต่อกับครอบครัวในพื้นที่ของเรา)

ลักษณะสำคัญอีกอย่างของแซมคือ เขาไม่ไว้ใจสิ่งที่เขาเรียกว่า ศาสนา "ที่เป็นแบบแผน" เขามักจะบอกว่า "ผมเชื่อในพระเยซู ผมเพียงแต่ไม่ชอบศาสนาที่เป็นแบบแผน" เรามักจะหยอกกลับว่า "แล้วคุณจะชอบคริสตจักรแซดเดิลเดิลแบ็ค เราเป็นศาสนาที่ไม่เป็นแปบบแผน"

เนื่องจากแซมเป็นคนภาคใต้ของแคลิฟอร์เนีย เขาชอบการประชุมที่ไม่เป็นทางการมากกว่าอะๆรที่เข้มงวดและเป็นระเบียบ เขาชอบแต่งตัวสบาย ๆ เหมาะกับอากาศแคลิฟอร์เนียใต้ เราพิจารณาสิ่งเหล่านี้เมื่อเราวางแผนการนมัสการเพื่อดึงดูดแซม ยกตัวอย่าง ผมไม่เคยใส่สูทผูกเน็คไทเวลาเทศนาในการนมัสการที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมจงใจแต่งตัวสบาย ๆ เพื่อให้เข้ากับความคิดของคนที่ผมพยายามเข้าถึง ผมทำตามกลยุทธ์ของอัครทูตเปาโล 1 โครินธ์ 9:20 "ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นพวกยิวเพื่อจะได้พวกยิว" ในกรณีผม ผมแน่ใจว่าเปาโลจะพูดว่า "ต่อคนแคลิฟอร์เนียใต่ข้าพเจ้าก็เป็นคนแคลิฟอร์เนียใต้ เพื่อจะได้คนแคลิฟอร์เนียใต้" ผมไม่คิดว่าพระเยซูจะถือเรื่องการแต่งกายเป็นเรื่องสำคัญ เราอยากให้คนไม่เชื่อพระเจ้าสวมรองเท้าผ้าใบและกางเกงขาสั้นมาคริสตจักร มากกว่าจะให้พวกเขาไม่มาเพราะไม่มีชุดสูท

แซดเดิลแบ็คยังใช้เวลาและเงินมากเกินตัว เขารูดบัตรเคดิตจนไม่เหลือเงินเลย เขาเป็นวัตถุนิยมมาก แต่ก็ยอมรับอย่างสัตย์ซื่อว่า ความมั่งคั่งของเขาไม่ได้นำความสุขถาวรมาให้

ทำไมเราต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้เพื่อบรรยายลักษณะคนที่เราพยายามจะประกาศด้วย ก็เพราะยิ่งเราเข้าใจคนหนึ่งมากเท่าใด เราก็ยิ่งสื่อสารกับเขาง่ายเท่านั้น

ถ้าคุณจะทำแฟ้มแบบฉบับบุคคลที่อาศัยในพื้นที่ของคุณ คุณจะบอกลักษณะอะไรบ้าง คุณจะเรียกชื่อเขาว่าอะไร มันคุ้มค่าที่จะคิดเรื่องนี้ เมื่อคุณได้กำหนดและตั้งชื่อกลุ่มเป้าหมายการประกาศของคริสตจักรคุณแล้ว โปรดส่งสำเนานั้นให้ผมด้วยงานอดิเรกของผม คือ รวบรวมแฟ้มแบบฉบับบุคคลเพื่อการประกาศของคริสตจักร ผมมีแฟ้มที่พูดถึง ดัลลัสดัก เมมฟิสไมค์ และแอตแลนต้าอัล

คุณคิดว่าช่างภาพถ่ายรูปโดยไม่ได้ปรับโฟกัสได้ไหม พรานล่ากวางที่ไหนจะยืนบนเขาและยิงสุ่มไปในหุบโดยไม่เล็งอะไรสักอย่าง ความพยายามในการประกาศจะเป็นแค่ความอยากเท่านั้น ถ้าเราไม่มีกลุ่มเป้าหมาย แน่นอน มันต้องใช้เวลาปรับโฟกัสและเล็งเป้า และมันก็คุ้มค่า ยิ่งเป้าหมายของคุณชัดเจนเท่าไร คุณก็มีโอกาสยิงถูกมากขึ้น

บทที่ 8 ประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์ของคุณ

เรามีความวางใจในท่านเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
ท่านกำลังประพฤติและจะประพฤติต่อไปตามที่เรากำชับท่าน
2 เธสะโลนิกา 3:4

ตอนนี้เรามาถึงส่วนที่ยากที่สุดของการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ หลายคริสตจักรได้ทำทุกสิ่งที่ผมพูดมาในบทก่อน ๆ พวกเขาได้กำหนดวัตถุประสงค์ของตน และสร้างคำที่ใช้แสดงวัตถุประสงค์ รวมทั้งพวกเขาได้สื่อสารวัตถุประสงค์ให้แก่สมาชิก บางแห่งได้จัดโครงสร้างใหม่ตามวัตถุประสงค์จะต้องก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง และประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์กับทุกส่วนของคริสตจักรอย่างเข้มงวด เช่น การจัดรายการ การจัดตารางเวลา การทำงบประมาณ การจัดสรรเจ้าหน้าที่ การเทศนา และอีกมากมาย

การรวมเอาวัตถุประสงค์ของคุณเข้าในทุกส่วนและทุกแง่มุมของคริสตจักรเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ การกระโดดจากคำที่ใช้แสดงวัตถุประสงค์สู่การปฏิบัติที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์นั้นต้องมีผู้นำที่ทุ่มเทให้กระบวนการอย่างสุดตัว การประยุกต์วัตถุประสงค์ของคุณต้องใช้เวลาในการอธิษฐาน วางแผน เตรียมการ และลองปฏิบัติเป็นเดือน ๆ หรืออาจเป็นปี ๆ ก็ได้จงทำอย่างช้า ๆ และจดจ่อที่ความคืบหน้า ไม่ใช่ที่ความสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ของคริสตจักรคุณจะดูแตกต่างจากคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และจากคริสตจักรอื่น ๆ ที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

มี 10 ด้านที่คุณต้องพิจารณาเมื่อคุณเริ่มต้นดัดแปลงคริสตจักรของคุณให้เป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

10 วิธีในการเป็น
คริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

1. รับสมาชิกใหม่ตามวัตถุประสงค์

ให้วงกลมแห่งการอุทิศชีวิตเป็นกลยุทธ์ในการรับคนเข้าสู่คริสตจักรของคุณ เริ่มต้นโดยการนำคนในขุมชนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนให้เข้ามาเป็นฝูงชนของคุณ (เพื่อการนมัสการ) แล้วนำเขาจากฝูงชนเข้ามาเป็นสมาชิก (เพื่อการสมัคคีธรรม) ต่อจากนั้น นำเขาจากสมาชิกเข้าสู่กลุ่มผู้อุทิศตัว (เพื่อสร้างสาวก) และจากกลุ่มผู้อุทิศตัวเข้าสู่กลุ่มแกน (เพื่อรับใช้) และในที่สุด นำเขาจากกลุ่มแกนกลับเข้าไปสู่ชุมชน (เพื่อการประกาศ) กระบวนการนี้ทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรสำเร็จ

สังเกตว่า ผมแนะนำให้คุณเริ่มที่ชุมชนของคุณไม่ใช่กลุ่มแกน นี่ตรงข้ามกับคำแนะนำในหนังสือการเพิ้มพูนคริสตจักรส่วนมาก วิธีการตามธรรมเนียมในการเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ คือ การสร้างกลุ่มแกนที่อุทิศตัวให้เป็นผู้ใหญ่ก่อนแล้วจึงเริ่มเข้าไปในชุมชน

ปัญหาที่ผมพบในวิธี "จากภายในสู่ภายนอก" คือ พอถึงเวลาที่ผู้ก่อตั้งคริสตจักรได้ " สร้าง" กลุ่มแกนขึ้นมาแล้ว พวกเขามักจะสูญเสียการติดต่อกับชุมชนและที่จริงพวกเขากลัวที่จะติดต่อกับคนไม่เป็นคริสเตียน มันง่ายที่จะเกิดสิ่งที่ปีเตอร์ แวกเนอร์เรียกว่า "กลุ่มสามัคคีธรรม" กลุ่มที่ใกล้ชิดกันมากจนคนมาใหม่กลัว หรือไม่สามารถแหวกเข้าไปได้ บ่อยครั้ง กลุ่มแกนที่วางแผนตั้งคริสตจักรใหม่ใช้เวลาในช่วงที่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ นานเกินไป จนทำให้พวกเขารู้สึกสบายกับมัน และสูญเสียการตระหนักถึงภารกิจไป ดังนั้น ไฟแห่งการประกาศจึงมอดไป

ปัญหาของคริสตจักรเล็ก ๆ คือ พวกเขาเป็นกลุ่มแกนกันหมด ไม่มีกลุ่มอื่นคนหน้าเดิม 50 คนร่วมในทุกอย่างที่คริสตจักรทำ พวกเขาเป็นคริสเตียนมานานมากจนพวกเขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนให้เป็นพยานด้วยซ้ำ คริสตจักรที่ประสบปัญหานี้ต้องเรียนรู้วิธีสร้างวงกลมอีก 4 วง

เมื่อผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมเริ่มต้นโดยการจดจ่อที่ชุมชน โดยเฉพาะคนไม่เป็นคริสเตียนในชุมชนของผม ผมพบกับคนไม่เป็นคริสเตียนนับร้อย ๆ คนใน 12 สัปดาห์ ผมไปตามบ้าน ฟังคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และสำรวจความต้องการของพวกเขา ผมสร้างสัมพันธ์และสร้างสะพานแห่งมิตรภาพกับคนไม่เป็นคริสเตียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

แล้วผมก็รวบรวมฝูงชนออกจากชุมชนโดยการเขียนจดหมายประกาศการ เริ่มต้นคริสตจักรของเรา และส่งไปยัง 15,000 ครัวเรือน ผมเขียนจดหมายโดยอาศัยสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับชุมชนจากการสำรวจของผม เราใช้การโฆษณาถี่มากในปีแรก เพราะเราไม่มีความสัมพันธ์มากพอที่จะอาศัยแค่คำบอกเล่าปากต่อปาก คริสตจักรเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ แต่ปัจจุบัน การโฆษณาไม่จำเป็นแล้ว เมื่อเรามีสมาชิกนับพัน ๆ เชิญเพื่อน ๆ มาคริสตจักรของเรา

ในปีแรกนั้น ทั้งหมดที่เราทำแทบจะอยู่ที่การพยายามสร้างฝูงชน และแนะนำพวกเขาให้รู้จักพระคริสต์ มันก็เหมือนการส่งจรวดออกจากฐานที่ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล การรวบรวมฝูงชนจากไม่มีอะไรเลยก็ต้องใช้ความพยายามอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน จุดสนใจของเรานั้นแคบมาก ผมเทศนาประกาศเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเป็นหัวข้ออย่างต่อเนื่อง เช่น "ข่าวดีสำหรับปัญหาทั่วไป" และ "แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ" ปลายปีแรกเรามีผู้ร่วมนมัสการประมาณ 200 คน และคนส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนใหม่

ในปีที่ 2 ผมเริ่มเน้นการนำผู้เชื่อในฝูงชนเข้ามาเป็นสมาชิก เราประกาศกับชุมชนต่อไปและเพิ่มขนาดของฝูงชน แต่เราเน้นหนักมากขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์ในการสามัคคีธรรมของเรา เราจดจ่อที่การเปลี่ยนคนมาร่วมนมัสการให้เป็นสมาชิก เราเริ่มต้นพูดมากขึ้นเกี่ยวกับคุณค่าของการเป็นสมาชิก ประโยชน์ของการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวคริสตจักร และความรับผิดชอบของการเป็นสมาชิก ผมเทศนาในหัวข้อเช่น "เราอยู่ที่นี่ด้วยกัน" "ทุกคนอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า" และ "ทำไมเราจึงมีคริสตจักร" ผมยังจำได้ถึงความตื่นเต้นในการเฝ้าดูพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงฝูงชนจากการเป็นผู้มานมัสการที่สนใจตัวเอง ให้เป็นสมาชิกที่มีความรัก

ปีที่ 3 เราวางแผนเพื่อยกระดับการอุทิศตัวของสมาชิก ผมท้าท้ายซ้ำแล้วซ้ำอีกให้สมาชิกถวายตัวเพื่อพระคริสต์มากขึ้น ผมสอนให้พวกเขาสร้างวินัยและอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ผมเทศนาต่อเนื่องเรื่องการอุทิศตัว ในหัวข้อ "เราเติบโตไปด้วยกัน" และเทศนาต่อเนื่องเรื่องคำสอนพื้นฐานในหัวข้อ "คำถามที่ผมอยากจะถามพระเจ้า" แน่นอน ผมสอนสิ่งเหล่านี้กับผู้เชื่อใหม่ในปีแรกและปีที่ 2 ด้วย แต่ปีที่ 3 ผมเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เมื่อสมาชิกมั่นคงในความเชื่อแล้ว ผมเริ่มเน้นการมีส่วนในงานรับใช้มากขึ้นเช่น เทศนาหัวข้อเรื่อง "สมาชิกทุกคนคือผู้รับใช้" และหัวข้อต่อเนื่อง "ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่คุณให้เกิดผลมากที่สุด" ผมเน้นว่าคริสเตียนที่ไม่รับใช้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง และเปิดโปงความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณคือจุดหมายในตัวของมันเอง ผมเน้นเรื่องการเป็นผู้ใหญ่เพื่อการรับใช้

แม้ว่าเรามีพันธกิจของฆราวาสตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักร แต่ตอนนี้เราเริ่มต้นรวบรวมพวกเขาให้เป็นกลุ่มแกนที่เห็นได้ชัด ผมเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยผมในการนำการประชุมอบรม หนุนใจ และดูแลบรรดาผู้นำในพันธกิจฆราวาสของเรา

คุณเห็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติไหมครับ คุณสร้างพันธกิจให้มีหลายมิติโดยการรองรับสมาชิกอย่างมีวัตถุประสงค์ และจดจ่อที่การอุทิศตัวทีละระดับอย่าคิดว่าคุณต้องทำทุกอย่างพร้อมกันหมด แม้แต่พระเยซูก็มิได้ทำทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน ให้คุณสร้างจากภายนอกมาสู่ภายใน และเมื่อคุณได้ทั้ง 5 กลุ่ม และคริสตจักรได้ดำเนินไปแล้ว คุณก็ค่อยเน้นแต่ละส่วนให้สมดุล

บางคนอาจวิจารณ์ว่า ช่วงแรกเรานำคนสู่ระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้นได้ช้าเหลือเกิน แต่คุณต้องจำไว้ว่า เราเริ่มต้นจากกลุ่มคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และวางแผนปรัชญาการรับใช้จากศูนย์

ผมมักจะมองการสร้างคริสตจักรแซดเดิลแบ็คว่าเป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิต ความปรารถนาของผมเหมือนของเปาโลคือ เพื่อ "วางรากลงเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ" (1 โครินธ์ 3:10) มันต้องใช้เวลาที่จะทำให้คนต้องอุทิศตัว ที่จะพัฒนาคุณภาพ และที่จะนำคนผ่านแต่ละวงกลมแห่งการอุทิศชีวิต ผมสามารถบอกคุณถึงวิธีทำให้คริสตจักรสมดุลและสุขภาพดี แต่ผม ไม่สามารถ บอกคุณถึงวิธีที่จะทำอย่างรวดเร็ว

คริสตจักรที่หนักแน่นมั่นคงไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียว เมื่อพระเจ้าต้องการสร้างเห็ด พระองค์ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เมื่อพระองค์ต้องการสร้างต้นโอ๊ค พระองค์ใช้เวลา 60 ปี แล้วคุณล่ะ คุณต้องการคริสตจักรแบบเห็ด หรือต้นโอ๊ค

2. จัดรายการตามวัตถุประสงค์ของคุณ

คุณต้องเลือกหรือคิดรายการเพื่อทำให้วัตถุประสงค์แต่ละอย่างสำเร็จ พึงระลึกว่า แต่ละวงกลมของการอุทิศตัวต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของคริสตจักรถ้าคุณเลือกใช้ 5 วงกลมเป็นกลยุทธ์สำหรับการจัดรายการ คุณก็จะแยกประเภทกลุ่มเป้าหมายของคุณ (ชุมชน ฝูงชน คริสตจักร ผู้อุทิศตัว และกลุ่มแกน) และกำหนดจุดประสงค์ให้สอดคล้องกับแต่ละกลุ่ม (การประกาศ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การสร้างสาวก และการรับใช้)

คุณต้องทำให้ทุกรายการในคริสตจักรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเสมอ และกำจัดรายการใด ๆ ก็ตามที่ไม่ทำให้วัตถุประสงค์สำเร็จ และทดแทนรายการเมื่อพบรายการอื่นที่ดีกว่ารายการเดิม รายการต้องตอบสนองต่อวัตถุประสงค์เสมอ

รายการพิเศษเพื่อทอดสะพาน ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค รายการหลักที่เราใช้สร้างผลกระทบต่อชุมชน คือ รายการพิเศษประจำปีที่จัดสำหรับทั้งชุมชน เราเรียกรายการเหล่านี้ว่า "รายการพิเศษเพื่อทอดสะพาน" เพราะเราจัดขึ้นเพื่อสร้างสะพานระหว่างคริสตจักรกับชุมชนของเรา รายการเหล่านี้มักจะใหญ่มาก เพื่อจะสร้างความสนใจของทั้งชุมชน เช่น งานเลี้ยงเพื่อเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ในวันฮาโลวีน การนมัสการคืนก่อนคริสมาสสำหรับทั้งชุมชน การนมัสการวันอีสเตอร์สำหรับชุมชน และคืนก่อนวันชาติ รวมทั้งงานพิเศษตามโอกาสอื่น ๆ การแสดงดนตรี และละคร รายการทอดสะพานบางรายการจะมีการประกาศข่าวประเสริฐอย่างชัดเจน แต่บางรายการถือเป็นรายการ "ปูทางสู่การประกาศ" คือ เพียงเพื่อให้ชุมชนได้รู้จักคริสตจักรของเราเท่านั้น

การนมัสการสำหรับผู้สนใจ รายการหลักสำหรับฝูงชน คือ การนมัสการสำหรับผู้สนใจในช่วงสัปดาห์ เป็นการนมัสการที่สมาชิกของเราจะพาเพื่อนที่ยังไม่เชื่อ ซึ่งพวกเขาได้เคยเป็นพยานมาร่วม จุดประสงค์ของการนมัสการสำหรับผู้สนใจคือ เพื่อสนับสนุนการประกาศส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อทดแทนการประกาศส่วนตัว การวิจัยพบว่า คนตัดสินใจเชื่อพระคริสต์เร็วขึ้นเมื่อมีการสนับสนุนจากกลุ่ม

รายการหลักสำหรับสมาชิก คือ เครือข่ายกลุ่มย่อยของเรา ประโยชน์ของกลุ่มย่อย คือ การสามัคคีธรรม การดูแลเอาใจใส่ส่วนตัว และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักร เราบอกสมาชิกว่า "คุณจะไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรนี้จนกว่าคุณจะเข้าร่วมกลุ่มย่อย"

สถาบันพัฒนาชีวิต รายการหลักสำหรับผู้อุทิศตัว คือ สถาบันพัฒนาชีวิต สถาบันพัฒนาชีวิตเปิดโอกาสมากมายเพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ได้แก่ การศึกษาพระคัมภีร์ การสัมมนา การเรียนเชิงปฏิบัติ โอกาสที่จะมีพี่เลี้ยง และรายการศึกษาอิสระ ผู้เรียนจะได้รับหน่อยกิตสำหรับวิชาที่เรียน และในที่สุดจะได้รับประกาศนียบัตร การนมัสการกลางสัปดาห์ของเราก็เป็นส่วนสำคัญของสถาบันพัฒนาชีวิต

การประชุมฝึกฝนผู้นำระดับสูง (SALT) รายการหลักสำหรับกลุ่มแกน คือ การประชุมประจำเดือนเพื่อฝึกฝนผู้นำระดับสูง การประชุม 2 ชั่วโมงนี้จัดขึ้นในค่ำวันอาทิตย์แรกของเดือน มีการรายงานและคำพยานจากพันธกิจของสมาชิกทั้งหมดมีการถ่ายทอดนิมิตจากศิษยาภิบาล มีการเสริมสร้างทักษะ การฝึกฝนผู้นำ การอธิษฐาน และการแต่งตั้งผู้รับใช้ฆราวาสคนใหม่ ในฐานะศิษยาภิบาล ผมถือว่าการประชุมประจำเดือนกับกลุ่มแกนผู้รับใช้ฆราวาสเป็นการประชุมที่สำคัญมากที่สุดที่ผมต้องเตรียมและนำ มันเป็นโอกาสล้ำค่าในการสั่งสอน เร้าใจ และแสดงความขอบคุณคนที่ทำให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คดำเนินไป

สิ่งที่ต้องจำไว้เกี่ยวกับการจัดรายการ คือไม่มีรายการใดที่จะสามารถทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดสำเร็จได้ในรายการเดียว ไม่ว่ารายการนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงไร หรือได้ผลดีเพียงไรในอดีต เช่นเดียวกัน ไม่มีรายการใดที่สามารถรับใช้คนทุกกลุ่มที่อยู่ในวงกลมแต่ละวงได้ คุณต้องอาศัยรายการหลายประเภทเพื่อจะรับใช้คนทั้ง 5 ระดับและทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรสำเร็จได้

3. ให้การศึกษาเรื่องวัตถุประสงค์แก่คนของคุณ

หลักสูตรคริสเตียนศึกษาของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็ต้องเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เป้าหมายของเราคือช่วยพัฒนาคนให้มีวิถีชีวิตแห่งการประกาศ นมัสการ สามัคคีธรรม สร้างสาวก และรับใช้ เราต้องการสร้างผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่แค่ผู้ฟัง เราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ คำขวัญหนึ่งของเราคือ "คุณเชื่อเฉพาะพระคัมภีร์ตอนที่คุณทำตาม"

การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เราต้องสร้างกระบวนการสร้างสาวกหรือการศึกษาที่ส่งเสริมให้สมาชิกทำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และให้รางวัลพวกเขาเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราเรียกสิ่งนี้ว่า "กระบวนการพัฒนาชีวิต"

เราใช้ภาพง่าย ๆ ของสนามเบสบอลเพื่อให้เห็นภาพกระบวนการให้การศึกษาและการรองรับสมาชิกของเรา แต่ละฐานแสดงถึงชั้นเรียนที่สมาชิกได้ผ่าน และระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้น

คุณมาถึงฐานแรกเมื่อคุณเรียนจบชั้น 101 และอุทิศตัวให้พันธสัญญาสมาชิกคุณมาถึงฐานที่ 2 เมื่อเรียนจบชั้น 201 และการอุทิศตัวให้พันธสัญญาการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คุณมาถึงฐานที่ 3 เมื่อเรียนจบชั้น 301 และอุทิศตัวเพื่อรับใช้ในพันธกิจของคริสตจักร และในที่สุดคุณกลับมาที่ฐานเริ่มต้นเมื่อเรียนจบ 401 และอุทิศตัวเพื่อการประกาศทั้งที่บ้านและต่างแดน ผมจะอธิบายขั้นตอนเหล่านี้อย่างละเอียดภายหลัง

เช่นเดียวกับกีฬาเบสบอล ต้องวิ่งมาถึงฐานเริ่มต้นจึงจะได้คะแนน เราบอกสมาชิกของเราว่า เป้าหมายของเราคือให้พวกเขาเป็น "สาวกที่พิชิตรางวัลใหญ่" เราต้องการให้พวกเขาเรียนจบใน 16 ชั่วโมงของการฝึกอบรมพื้นฐาน รวมทั้งอุทิศตัวให้พันธสัญญาที่อยู่ในแต่ละฐาน ในแต่ละฐานเรามีพันธสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเราคาดหวังว่าสมาชิกจะลงนามและสัญญาที่จะเดินหน้าต่อไป สมาชิกจะไม่สามารถไปสู่ฐานถัดไปจนกว่าเขาจะได้อุทิศตัวตามข้อกำหนดของพันธสัญญาในแต่ละฐาน

คริสตจักรส่วนใหญ่ทำได้ค่อนข้างดีในการนำคนมาถึงฐานที่ 1 หรืออาจถึงฐานที่ 2 ด้วย คนจะต้อนรับพระคริสต์ รับบัพติศมา และเข้าร่วมคริสตจักร (นั่นคือได้เขามาอยู่ที่ฐานที่ 1) บางคริสตจักรยังทำได้ดีในการช่วยผู้เชื่อพัฒนาอุปนิสัยที่นำไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (นั่นคือฐานที่ 2) แต่มีคริสตจักรไม่กี่แห่งที่มีแผนการเพื่อทำให้แน่ใจได้ว่า ผู้เชื่อทุกคนจะพบพันธกิจที่เหมาะสม (ฐานที่ 3) และมีคริสตจักรน้อยกว่านั้นอีกที่ฝึกฝนสมาชิกให้นำคนอื่นมาถึงพระคริสต์ และทำให้ภารกิจชีวิตของเขาสำเร็จ (ฐานเริ่มต้น)

เป้าหมายสูงสุดของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คือ เปลี่ยนผู้ฟังให้เป็นกองทัพ คุณไม่อาจประเมินกำลังของกองทัพด้วยจำนวนทหารที่นั่งอยู่ในโรงอาหาร แต่ต้องดูที่การปฏิบัติงานในแนวหน้าของพวกเขา เช่นเดียวกัน กำลังของคริสตจักรไม่ได้วัดกันด้วยจำนวนผู้มานมัสการ (ฝูงชน) แต่วัดกันด้วยจำนวนคนที่รับใช้อยู่ในกลุ่มแกน

ในต้นทศวรรษ 1980 ผมเคยพูดตลกว่า เป้าหมายของผม คือ เปลี่ยนพวกยัปปี้ (หมุ่นสาวที่ทำงานบริษัท) ให้เป็นพวกยัมมี่ (คนหนุ่มสาวที่เป็นมิชชันนารี) ผมได้กล่าวแล้วว่า ผมเชื่อว่าคริสตจักรคือสถานีส่งออกมิชชันนารี เราจะทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราได้นำสมาชิกวนครบทุกฐานจนกลับมาสู่ฐานเริ่มต้น

4. เริ่มต้นกลุ่มย่อยตามวัตถุประสงค์

เราไม่คาดหวังว่าทุกกลุ่มย่อยจะทำงานเหมือนกันหมด แต่เราปล่อยให้พวกเขาเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง

กลุ่มผู้สนใจ กลุ่มผู้สนใจของเราจัดขึ้นเพื่อการประกาศโดยเฉพาะ กลุ่มเหล่านี้จะมีบรรยากาศที่ไม่น่ากลัว เพื่อให้ผู้ไม่เชื่อได้ถามคำถาม แสดงความสงสัย และตรวจสอบคำกล่าวอ้างของพระคริสต์

กลุ่มสนับสนุน เรามีกลุ่มสนับสนุนเพื่อการดูแล สามัคคีธรรม และนมัสการ กลุ่มสนับสนุนของเราส่วนมากทำหน้าที่ให้การสนับสนุนและการสามัคคีธรรมสำหรับคนในช่วงอายุต่าง ๆ เช่น คนที่พึ่งเป็นพ่อแม่ นักศึกษา หรือพ่อแม่ที่ลูกไม่อยู่ด้วยแล้ว บางกลุ่มก็ช่วยบำบัดบาดแผลบางชนิดโดยเฉพาะ เช่น การสูญเสียคู่ครองเพราะความตาย หรือการหย่าร้าง เรายังมีกลุ่มพื้นฟูสภาพชีวิตด้วย

กลุ่มรับใช้ กลุ่มเหล่านี้จัดขึ้นตามการรับใช้เฉพาะ อย่างเช่น สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราในเม็กซิโก พันธกิจเรือนจำ และพันธกิจช่วยคนฟื้นตัวจากการหย่าร้าง กลุ่มเช่นนี้สร้างการสามัคคีธรรมผ่านงาน โครงการ หรือพันธกิจที่ร่วมกันทำ

กลุ่มเติบโต กลุ่มเติบโตของเราทุ่มเทเพื่อทำให้สมาชิกเติบโต เพื่อการฝึกฝนสาวก และศึกษาพระคัมภีร์เจาะลึก เรามีมากกว่า 50 วิชาให้เลือก และบางกลุ่มก็ศึกษาคำเทศนาในสัปดาห์ก่อนให้ลึกยิ่งขึ้น

แทนที่จะบังคับให้ทุกคนยอมรับสิ่งเดียวกันหมด เราอนุญาตให้สมาชิกเลือกชนิดของกลุ่มย่อยที่เหมาะสมกับความต้องการ ความสนใจ วัย หรือระดับการเติบโตของพวกเขามากที่สุด เราไม่คาดหวังว่า แต่ละกลุ่มย่อยต้องทำให้วัตถุประสงค์ทุกอย่างของคริสตจักรสำเร็จ แต่เรากำหนดว่าแต่ละกลุ่มต้องตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์อย่างน้อยหนึ่งอย่าง

5. เพิ่มเจ้าหน้าที่ตามวัตถุประสงค์

แต่ละคนที่เราจ้างเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่คริสตจักร (รวมทั้งผู้รับใช้ด้วย) จะได้รับรายละเอียดของงานซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ในระหว่างการสัมภาษณ์ เราใช้คำถามมาตรฐานเพื่อจะทราบว่าผู้สมัครมีภาระใจกับวัตถุประสงค์ใดมากที่สุด แล้วก็บรรจุเขาตามนั้น เราไม่ได้มองเพียงแค่ชีวิตและความสามารถ เรามองหาภาระใจที่เขามีต่อวัตถุประสงค์หนึ่งของคริสตจักร คนที่มีภาระใจแรงกล้าในสิ่งที่เขาทำย่อมมีแรงจูงใจในตัวเอง

ถ้าวันนี้ผมจะเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ ผมจะเริ่มโดยการหาอาสาสมัคร 5 คนสำหรับ 5 ตำแหน่งที่ไม่มีเงินเดือน ผู้นำเพลงเพื่อช่วยในการนมัสการสำหรับฝูงชน ผู้นำสมาชิกเพื่อสอนชั้น 101 และดูแลสมาชิกในคริสตจักร ผู้นำด้านความเป็นผู้ใหญ่เพื่อสอนชั้น 201 และดูแลรายการศึกษาพระคัมภีร์สำหรับผู้อุทิศตัว ผู้นำการรับใช้สำหรับชั้น 301 สัมภาษณ์คนเพื่อวางตัวในการรับใช้ และดูแลพันธกิจฆราวาสของกลุ่มแกน และผู้นำภารกิจเพื่อสอนชั้น 401 ดูแลการประกาศ และโครงการประกาศในชุมชน เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น ผมจะย้ายคนเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ได้รับเงินเดือนครึ่งเวลา และในที่สุดเต็มเวลา โดยแผนการนี้ คุณจะสามารถเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ได้ไม่ว่าคริสตจักรคุณจะมีขนาดใดก็ตาม

6. วางโครงสร้างตามวัตถุประสงค์

แทนที่จะวางโครงสร้างเป็นแผนก ๆ ตามที่เคยทำกันมา ให้คุณวางโครงสร้างเป็นทีมซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค พันธกิจฆราวาสทุกอย่างและเจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์อย่างน้อย 1 อย่าง แต่ละทีมนำโดยศิษยาภิบาลหนึ่งคน ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ประสานงานอีกคนหนึ่ง และประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่รับเงินเดือน และผู้รับใช้ฆราวาสอาสาสมัคร พวกเขาช่วยกันนำรายการ พันธกิจและรายการพิเศษเพื่อทำให้วัตถุประสงค์ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ

ทีมประกาศ ทีมประกาศได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการประกาศกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือชุมชน งานของพวกเขาคือวางแผน ส่งเสริม และดูแลรายการสร้างความสัมพันธ์ กลุ่มผู้สนใจ การอบรมประกาศ (รวมทั้งชั้นเรียน 401) กิจกรรมและรายการต่าง ๆ และโครงการประกาศ พวกเขาต้องจัดการทุกอย่างที่จำเป็นในการนำชุมชนและโลกนี้มาหาพระคริสต์

คริสตจักรทำธุรกิจส่งออก เป้าหมายของเราคือในที่สุด 25% ของสมาชิกจะทำโครงการประกาศบางอย่างเป็นประจำทุกปี ผมชอบดูจำนวนคนมาร่วมนมัสการลดลงทุกฤดูร้อน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไปเที่ยว แต่เพราะพวกเขาออกไปประกาศ เป้าหมายอีกอย่าง คือ ส่งมิชชันนารีเลี้ยงตนเอง 200 คนภายใน 20 ปีข้างหน้า ปีที่ผ่านมาเราส่งสมาชิกผู้ใหญ่ออกไปทำโครงการประกาศใน 5 ทวีป ส่งอนุชนของเราไช่วยพันธกิจที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราในเม็กซิโก และกับคนยากจนในเมืองลอสแองเจลิส

ทีมดนตรี ทีมนี้ได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการนมัสการ กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือฝูงชน งานของพวกเขาคือการวางแผนและดูแลการนมัสการสำหรับผู้สนใจ รายการนมัสการพิเศษ จัดเตรียมสิ่งจำเป็นด้านดนตรีและการนมัสการสำหรับคนอื่น ๆ ในคริสตจักร

ทีมดูแลสมาชิก ทีมนี้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการสามัคคีธรรม กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือสมาชิก งานของเขาคือดูแลฝูงแกะ พวกเขารับผิดชอบชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่ (ชั้น 101) พวกเขาดูแลกลุ่มสนับสนุน งานแต่งงาน งานศพ การอภิบาลศิษย์ การเยี่ยมตามโรงพยาบาล และงานให้ความช่วยเหลือภายในคริสตจักร พวกเขาดำเนินงานศูนย์ให้คำปรึกษาด้วย และทีมนี้รับผิดชอบรายการสามัคคีธรรมใหญ่ ๆ ทุกครั้งของคริสตจักรด้วย

ทีมพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ ทีมนี้ได้รับมอบหมายวัตถุประสงค์ของการสร้างสาวก กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือผู้ที่อุทิศตัว เป้าหมายคือนำสมาชิกของเราให้อุทิศตัวมากขึ้นและช่วยพวกเขาให้พัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ทีมนี้ดำเนินการชั้น 201 และรับผิดชอบสถาบันพัฒนาชีวิต การนมัสการกลางสัปดาห์ การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมด กลุ่มเติบโตตามบ้าน และการรณรงค์พิเศษเพื่อการเติบโตในฝ่ายวิญญาณสำหรับทั้งคริสตจักร พวกเขายังผลิตคู่มือการนมัสการในครอบครัว หลักสูตรศึกษาพระคัมภีร์ และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อเติบโต

ทีมพันธกิจ ทีมนี้ได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการรับใช้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มแกน งานของพวกเขาคือเปลี่ยนสมาชิกให้เป็นผู้รับใช้ โดยการช่วยสมาชิกให้ค้นพบงานรับใช้ที่พวกเขาสนใจ และนำพวกเขาให้รู้จักพันธกิจที่มีอยู่แล้วหรือพันธกิจใหม่ ทีมนี้ดำเนินงานศูนย์พัฒนาพันธกิจ และรับผิดชอบทีมรับใช้ทั้งหมดรวมทั้งชั้นเรียน 301 และการประชุมฝึกฝนการเป็นผู้นำระดับสูง (SALT) พวกเขายังช่วยเหลือ อบรม และดูแลผู้รับใช้ฆราวาสในคริสตจักรด้วย เป้าหมายของทีมนี้คือช่วยสมาชิกทุกคนให้พบงานรับใช้ที่มีความหมาย ซึ่งเขาสามารถใช้ของประทานและความสามารถของตน

7. เทศนาตามวัตถุประสงค์

เพื่อจะมีผู้เชื่อที่สุขภาพแข็งแรงและสมดุล คุณต้องวางแผนการเทศนาที่ต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการ ถ้าคุณเทศนา 4 ครั้งสำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ ก็จะใช้เวลาเพียง 20 สัปดาห์ คุณยังเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งปีเพื่อเทศนาหัวข้ออื่น ๆ

การวางแผนเทศนาตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสอนแต่เรื่องเกี่ยวกับคริสตจักร จงทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้เป็นของสมาชิกทุกคน จงพูดถึงวัตถุประสงค์เหล่านี้ในฐานะที่เป็นวัตถุประสงค์สำหรับคริสเตียนทุกคน ยกตัวอย่างเช่น ผมได้ตั้งชื่อคำเทศนาเรื่องวัตถุประสงค์ในลักษณะที่เป็นส่วนตัวว่า "พระเจ้าสร้างคุณเพื่อสิ่งที่มีความหมาย" เป็นคำเทศนาต่อเนื่องเพื่อระดมสมาชิกให้นำผู้เชื่อผ่าไป เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ "ฝึกฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า" เป็นคำเทศนาจากหนังสือปัญญาจารย์เพื่อเตรียมสมาชิกสำหรับการประกาศ "สร้างสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม" เป็นคำเทศนาต่อเนื่อง 1 โครินธ์ 13 เพื่อสร้างการสามัคคีธรรมในคริสตจักรให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อคุณใช้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรเป็นแนวทางในการวางแผนตารางเทศนาของคุณ คุณก็กำลังเทศนาอย่างมีวัตถุประสงค์

8. จัดทำงบประมานตามวัตถุประสงค์

เราจัดงบประมาณเป็นหมวดหมู่ตามวัตถประสงค์ของคริสตจักร ดูว่าสิ่งนั้น ส่งเสริมหรือเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ใด วิธีที่เร็วที่สุดในการค้นหาว่าคริสตจักรให้ความสำคัญกับสิ่งใด คือ ดูที่งบประมาณและปฏิทินคริสตจักร วิธีที่เราใช้เวลาและเงินทองแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสำคัญจริง ๆ สำหรับเรา ถ้าหากคริสตจักรคุณอ้างว่า การประกาศสำคัญ คุณก็ต้องสามารถยืนยันคำพูดโดยดูจากงบประมาณของคุณได้ ไม่เช่นนั้น คุณก็เพียงแค่พูดเฉย ๆ

9. ทำปฏิทินตามวัตถุประสงค์

กำหนด 2 เดือนของทุก ๆ ปีเพื่อเน้นวัตถประสงค์แต่ละข้อเป็นพิเศษ แล้วมอบหมายให้ทีมที่รับผิดชอบวัตถุประสงค์นั้น ๆ (ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร) ทำการเน้นวัตถุประสงค์นั้นสำหรับทั้งคริสตจักรในช่วงเดือนเหล่านั้น

ยกตัวอย่าง มกราคมและมิถุนายนอาจเป็นเดือนแห่งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตลอดเดือนที่เน้นการเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้น คุณอาจอ่านพันธสัญญาใหม่ให้จบด้วยกันทั้งคริสตจักร หรือท่องข้อพระคัมภีร์ด้วยทุกสัปดาห์ หรือจัดสัมมนาพระคัมภีร์หรือศึกษาพระคัมภีร์กันทั้งคริสตจักร

กุมภาพันธ์และกรกฎาคมอาจเน้นการทำพันธกิจ ตลอดสองเดือนนี้ คุณก็สามารถจัดงานพันธกิจเพื่อชักชวนคนให้ทำพันธกิจ ศิษยาภิบาลสามารถเทศต่อเนื่องเรื่องการรับใช้ และสนับสนุนให้สมาชิกร่วมกุ่มรับใช้

มีนาคมและสิงหาคมอาจจะเป็นเดือนภารกิจ โดยมีกิจกรรม เช่น อบรมการประกาศส่วนตัว สัมมนาภารกิจคริสเตียน และโครงการทำภารกิจพิเศษ

เมษายนและกันยายนอาจเป็นเดือนแห้งสมาชิกภาพ สองเดือนนี้เป็นเดือนที่เน้นการเชิญชวนให้ผู้ร่วมนมัสการเข้าเป็นสมาชิกใหม่ และคุณสามารถจัดการสามัคคีธรรมสำหรับทั้งคริสตจักร เช่น ปิคนิค การแสดงดนตรี และงานฉลอง

พฤษภาคมและตุลาคมอาจเป็นเดือนแห่งดนตรี สองเดือนนี้เน้นการนมัสการส่วนตัวและการนมัสการร่วมกัน ถ้าคุณให้ 2 เดือนสำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ คุณจะเหลืออีก 2 เดือนว่างไว้ ตามตัวอย่างนี้คือพฤศจิกายนและธันวาคม ซึ่งคุณมักจะต้องยุ่งอยู่กับวันขอบคุณพระเจ้า (เดือนพฤศจิกายน) และวันคริสต์มาส

อย่าหลอกตัวเอง ถ้าคุณไม่จัดเวลาในปฏิทินสำหรับวัตถุประสงค์ของคุณ คุณก็จะไม่ได้เน้นวัตถุประสงค์เหล่านี้เลย

10. ประเมินผลตามวัตถุประสงค์

การจะเป็นคริสตจักรที่มีประสิทธิภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณต้องประเมินผลในสิ่งที่คุณทำเสมอ การทบทวนและปรับเปลี่ยนต้องเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของคุณ ประเมินผลเพื่อความเป็นเลิศในคริสตจักรเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ของคุณคือมาตรฐานที่คุณใช้ประเมินประสิทธิภาพ

การมีวัตถุประสงค์โดยไม่มีวิธีประเมินผล ก็เหมือนกับองค์การนาซ่าวางแผนยิงจรวดไปดวงจันทร์โดยไม่มีระบบการติดตาม ถ้าทำอย่างนั้น คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรกลางคัน และคงไม่สามารถมุ่งไปสู่เป้าได้ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราสร้างเครื่องมือในการติดตามที่เรียกว่า "ภาพถ่ายแซดเดิลแบ็ค" ทีมศิษยาภิบาลของเราทบทวนทุกเดือน "ภาพถ่าย" เป็นการบรรยายภาพรวมของกระบวนการพัฒนาสาวก มีความยาว 6 หน้า มันบอกว่าใครกำลังอยู่ที่ไหนในกระบวนการพัฒนาชีวิต (สนามเบสบอล) "ภาพถ่าย" ยังแสดงว่าเวลานี้มีกี่คนอยู่ในแต่ละวงกลมแห่งการอุทิศชีวิต รวมทั้งวัดตัวบ่งชี้สำคัญ ๆ ที่บอกถึงสุภาพคริสตจักรด้วย

"ภาพถ่าย" บังคับให้เรามองตรงไปตรงมาทุกเดือนว่า เราทำให้วัตถุประสงค์สำเร็จได้มากน้อยเพียงใด และทำให้สามารถเห็นคอขวดในระบบได้ง่าย ยกตัวอย่าง ถ้าจำนวนผู้มานมัสการเพิ่มขึ้น 35% ใน 1 ปี แต่สมาชิกและกลุ่มย่อยมีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเพียง 20% เราก็รู้ว่าเราต้องแก้ไขช่องว่างบางอย่างในกระบวนการ สถิติเช่นนี้ช่วยเราประเมินผลขั้นตอนการรองรับสมาชิกใหม่ และกำหนดว่าจำเป็นต้องเน้นเรื่องใด ตามที่ผมได้กล่าวในก่อนหน้านี้ คือ เราต้องถามเสมอว่า "ธุรกิจของเราคืออะไร" และ "ตอนนี้ธุรกิจเป็นอย่างไร"

แข็งแรงยิ่งขึ้น

เมื่อคุณพยายามประยุกต์วัตถุประสงค์ของคุณเข้ากับทุกส่วนของคริสตจักรคุณจะสังเกตเห็นว่า คริสตจักรแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะมองดูที่รายการใหม่ ๆ ในแต่ละปีเพื่อทำให้สมาชิกตื่นเต้นและได้รับแรงกระตุ้น คุณจะสามรถจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คุณจะสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดแต่ละครั้ง และสร้างคริสตจักรต่อไปบนความสำเร็จที่ได้รับ ถ้าคริสตจักรคุณนำโดยวัตถุประสงค์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง คุณก็จะสามารถทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้สำเร็จได้มากและดีขึ้นในแต่ละปี พลังที่ผลักดันจะช่วยส่งเสริมคุณ ยิ่งสมาชิกของคุณเข้าใจและอุทิศตัวเพื่อวัตถุประสงค์ของคุณมากเท่าใด คริสตจักรของคุณยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น

บทที่ 7 วางระบบตามวัตถุประสงค์

แต่น้ำองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่
ลูกา 5:38

นักเทศน์ที่สำคัญที่สุด 2 คนในศตวรรษที่ 18 คือ จอร์จ วิทฟิลด์และจอห์น เวสเล่ย์ แม้ว่าพวกเขาอยู่ในยุคเดียวกัน แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ท่านทั้งสองอย่างมาก แม้ทั้งสองแตกต่างกันมากในด้านศาสนศาสตร์ บุคลิกและวิธีจัดระบบพันธกิจของตน

วิทฟิลด์มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเทศนา ตลอดชีวิตของท่าน ท่านเทศน์กว่า 18,000 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 10 ครั้ง ครั้งหนึ่งท่านเทศนากับผู้ฟังเกือบ 100,000 คนที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ และเมื่อท่านเกินทางเทศนาในสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดการฟื้นฟูซึ่งรู้จักกันในนาม "การตื่นตัวครั้งใหญ่" อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชีวประวัติของท่านชี้ให้เห็นว่า วิทฟิลด์มักจะทิ้งคนรับเชื่อของท่านไว้โดยไม่มีการจัดระบบใด ๆ ผลจากงานของท่านจึงคงอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ ปัจจุบันมีคริสเตียนน้อยคนรู้จักชื่อของจอร์จ วิทฟิลด์

ตรงกันข้ามกับ จอห์น เวสเล่ย์ ที่ชื่อเสียงของท่านยังเป็นที่รู้จักของคริสเตียนนับล้าน ๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เวสเล่ย์เป็นนักเทศน์ที่ตระเวนเทศนาเช่นเดียวกับวิทฟิลด์ ท่านประกาศกลางแจ้งกับคนจำนวนมาก แต่เวสเล่ย์เป็นนักบริหารด้วย ท่านเริ่มวางระบบโครงสร้างเพื่อทำให้วัตถุประสงค์ของท่านสำเร็จ และมันมีผลยาวนานกว่าชีวิตของท่านมาก ระบบโครงสร้างนั้นคือ คริสตจักรเมธอดิสต์

ถ้าจะให้การฟื้นฟูคงอยู่ถาวรในคริสตจักรหนึ่ง ก็ต้องมีโครงสร้างเพื่อเลี้ยงดูและสนับสนุนมันด้วย เพียงแค่กำหนดและสื่อสารประโยควัตถุประสงค์นั้นยังไม่เพียงพอ คุณยังต้องจัดโครงสร้างตามลักษณะคริสตจักรคุณ และตามวัตถุประสงค์ของคุณในบทนี้ ผมจะอธิบายถึงการจัดโครงสร้างเพื่อให้มีการเน้นวัตถุประสงค์ทั้ง 5 อย่างสมดุล ความสมดุลเป็นกุญแจสู่การเป็นคริสตจักรที่มีสุขภาพแข็งแรง

คริสตจักรอีแวนเจลิคอล (เน้นความรอดโดยความเชื่อ) ส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะทำตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่ทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้สมดุลกัน คริสตจักรหนึ่งอาจเข้มแข็งเรื่องการสามัคคีธรรม แต่อ่อนในเรื่องการประกาศ อีกคริสตจักรอาจเข้มแข็งเรื่องการนมัสการ แต่อ่อนเรื่องการสร้างสาวก อีกแห่งหนึ่งอาจเข้มแข็งเรื่องการประกาศ แต่อ่อนเรื่องการรับใช้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

แนวโน้มนี้เป็นเรื่องปกติ คือ ผู้นำจะเน้นสิ่งที่เขารู้สึกว่าสำคัญมาก แต่ละเลยสิ่งที่เขารู้สึกว่าสำคัญน้อยกว่า ทุกแห่งทั่วโลกคุณสามารถพบคริสตจักรที่กลายเป็นกิ่งสาขาเพื่อสนองของประทานของศิษยาภิบาลของตน ถ้าคุณไม่กำหนดระบบและโครงสร้างเพื่อจงใจให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นั้นสมดุล คริสตจักรคุณก็มีแนวโน้มที่จะเน้นหนักเกินไปในวัตถุประสงค์ที่แสดงออกถึงของประทานและภาระใจของศิษยาภิบาล

ในประวัติศาสตร์ คริสตจักรต่าง ๆ ได้รับเอาลักษณะพื้นฐานทั้ง 5 ประการแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเน้นวัตถุประสงค์ใดมากที่สุด

คริสตจักร 5 ประเภท

คริสตจักรนำวิญญาณ ถ้าศิษยาภิบาลเห็นว่าบทบาทหลักของเขาคือผู้ประกาศข่าวประเสริฐ คริสตจักรก็จะกลายเป็นคริสตจักร "นำวิญญาณ" เพราะวัตถุประสงค์หลักของคริสตจักรคือ การช่วยดวงวิญญาณให้รอด คำที่คุณจะได้ยินบ่อยที่สุดภายในคริสตจักรนี้คือ เป็นพยาน ประกาศ ความรอด ตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์ บัพติศมา เยี่ยมเยียน เรียกรับเชื่อ และการประกาศใหญ่ ในคริสตจักรนำวิญญาณสิ่งที่นอกเหนือจากการประกาศถือเป็นความสำคัญอันดับรองลงไป

คริสตจักรที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ถ้าหากภาระใจและของประทานของศิษยาภิบาลอยู่ที่การนมัสการ เขาจะนำคริสตจักรโดยสัญชาตญาณ ให้เป็นคริสตจักร "ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า" คริสตจักรนี้จะจดจ่อกับประสบการณ์การสถิติอยู่ด้วยและฤทธิ์เดชของพระเจ้าในการนมัสการ คำสำคัญสำหรับคริสตจักรนี้คือ สรรเสริญ อธิษฐาน นมัสการ ดนตรี ของประทานฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณ ฤทธิ์เดช และการฟื้นฟู ในคริสตจักรลักษณะนี้ การนมัสการได้รับความสนใจมากกว่าสิ่งอื่น เราจะพบคริสตจักรที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าทั้งที่เป็นคาริสเมติกและไม่เป็นคาริสเมติก

คริสตจักรพบญาติ คริสตจักรที่จดจ่อกับการสามัคคีธรรม คือ คริสตจักรที่ผมเรียกว่าคริสตจักร "พบญาติ" คริสตจักรนี้สร้างขึ้นโดยศิษยาภิบาลที่เด่นชัดเรื่องความสัมพันธ์ เขารักสมาชิกและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูแลสมาชิก เขาทำหน้าที่เลี้ยงดูมากกว่าอย่างอื่น คำสำคัญสำหรับคริสตจักรนี้คือ ความรัก การเป็นส่วนหนึ่ง สามัคคีธรรม ห่วงใย ความสัมพันธ์ นำอาหารมาทานด้วยกัน กลุ่มย่อย และสนุกสนาน สนคริสตจักรพบญาติ การพบปะกันสำคัญกว่าเป้าหมายอื่น ๆ

คริสตจักรลักษณะนี้ส่วนใหญ่มีสมาชิกน้อยกว่า 200 คน เนื่องจากนั่นคือจำนวนที่ศิษยาภิบาลคนหนึ่งจะดูแลได้ด้วยตัวเอง ผมประเมินว่าคริสตจักรประมาณ 80% ในอเมริกาอยู่ในกลุ่มนี้ คริสตจักรพบญาติอาจทำอะไรไม่มาก แต่เป็นคริสตจักรชนิดที่ทำลายยากที่สุด มันอยู่รอดได้แม้ว่าคำเทศนาจะแย่ การเงินจะจำกัด ขาดการเติบโต และแม้กระทั่งเผชิญการแตกแยกในคริสตจักร ความสัมพันธ์เป็นกาวซึ่งทำให้คนที่สัตย์ซื่อยังคงมาคริสตจักร

คริสตจักรห้องเรียน คริสตจักร "ห้องเรียน" เกิดขึ้นเมื่อศิษยาภิบาลเห็นว่าบทบาทหลักของเขาคือครู ถ้าการสอนเป็นของประทานหลักของเขา เขาจะเน้นการเทศนาและสั่งสอน และลดความสำคัญของภารกิจอื่น ศิษยาภิบาลนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้สอนที่เชี่ยวชาญ และสมาชิกมาคริสตจักรพร้อมสมุด เพื่อจดคำสอนและกลับบ้าน คำสำคัญสำหรับคริสตจักรห้องเรียนคือ เทศนาอรรถาธิบาย ศึกษาพระคัมภีร์กรีกและฮีบรู หลักข้อเชื่อ ความรู้ ความจริง และการสร้างสาวก

คริสตจักรห่วงใยสังคม ศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่ "ห่วงใยสังคม" เห็นบทบาทของเขาเป็นผู้เผยพระวจนะและนักปฏิรูป คริสตจักรชนิดนี้จะออกไปเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม มันเต็มไปด้วยนักต่อสู้ ซึ่งเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น" และมีกลุ่มกัวก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยม คริสตจักรหัวก้าวหน้ามักจะเน้นที่ความไม่ยุติธรรมในสังคม ปต่คริสตจักรอนุรักษ์นิยมมักจะเน้นที่ความเสื่อมเสียทางศีลธรรม คริสตจักรทั้ง 2 แบบต่างรู้สึกว่า คริสตจักรควรมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางการเมือง และสมาชิกมักจะมีส่วนในการรณรงค์บางอย่างในช่วงเวลานั้น คำสำคัญภายในคริสตจักรนี้คือ ความจำเป็น รับใช้ แบ่งปัน ปรนนิบัติ ยืนหยีด และทำอะไรสักอย่าง

ผมรู้ว่าผมได้วาดภาพแบบกว้าง ๆ และการกล่าวแบบกว้าง ๆ นี้ย่อมไม่ทำให่เห็นภาพทั้งหมดได้ เพราะบางคริสตจักรผสมผสาน 2 หรือ 3 ประเภทเข้าด้วยกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ถ้าไม่มีการวางแผนที่จงใจให้คริสตจักรสมดุลในวัตถุประสงค์ทั้ง 5 คริสตจักรก็จะยึดเอาวัตถุประสงค์หนึ่งมากจนละทิ้งวัตถุประสงค์อื่น ๆ

มีเรื่องน่าสนใจที่เราเห็นจากคริสตจักรทั้ง 5 ประเภท สมาชิกของแต่ละคริสตจักรคิดว่าคริสตจักรของตนอยู่ ฝ่ายวิญญาณมากที่สุด นั่นเป็นเพราะเมื่อคริสตจักรสอดคล้องกับสิ่งที่เขามีความสามารถและภาระใจ มันก็จะดึงดูดให้เขาเข้าเป็นสมาชิก เราทุกคนต้องการเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่เห็นพ้องกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าสำคัญที่สุดความจริงก็คือ วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นี้เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของคริสตจักร และต้องสมดุลกันเพื่อให้คริสตจักรมีสุขภาพแข็งแรง

ความขัดแย้งหลายครั้งเกิดขึ้นเมื่อคริสตจักรเชิญศิษยาภิบาลที่มีของประทานและภาระใจไม่ตรงกับสิ่งที่คริสตจักรมีในอดีต เช่น ถ้าคริสตจักรพบญาติตั้งใจจะเชิญศิษยาภิบาลมาเป็นผู้เลี้ยง และกลับได้นักประกาศหรือนักปฏิรูปมา คุณก็จะได้เห็นประกายไฟปลิวว่อน นั่นคือสูตรสำหรับความหายนะ

การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ
องค์การคริสเตียน

น่าสนใจที่เห็นว่า องค์การคริสเตียนส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมามักจะเชี่ยวชาญในวัตถุประสงค์หนึ่งของคริสตจักร พระเจ้าเร้าให้เกิดการเคลื่อนไหวขององค์การคริสเตียนเพื่อจะเน้นวัตถุประสงค์ที่ถูกละเลยของคริสตจักรอีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่า มันถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่คริสตจักรเมื่อองค์การคริสเตียนจดจ่ออยู่ที่วัตถุประสงค์เดียว เพราะมันทำให้สิ่งที่เขาเน้นเกิดผลกระทบต่อคริสตจักรได้มากกว่า

การเคลื่อนไหวเรื่องการฟื้นฟูฆราวาส การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรหันมาจดจ่อเรื่องคริสเตียนทุกคนคือผู้รับใช้อีกครั้ง พระเจ้าทรงใช้องค์การ เช่น Faith at Work, Laity Lodge และ The Church of the Savior กับนักเขียนอย่าง เอลตัน ทรูบลัด, ฟินด์ลี่ เอดจ์ และเดวิด ฮานี่ เพื่อเน้นย้ำอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงเรียกและประทานของประทานแก่ผู้เชื่อ ทุกคน เพื่อการรับใช้

การเคลื่อนไหวเรื่องการสร้างสาวกและชีวิตฝ่ายวิญญาณ การเคลื่อนไหวนี้เน้นย้ำอีกครั้งในเรื่องการพัฒนาผู้เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ องค์การเช่น Navigators, Worldwide Discipleship และ Campus Crusade for Christ และนักเขียนอย่างเวย์ลอน มัวร์, แกรี่ คูน, จีน เกทซ์, ริชาร์ด ฟอสเตอร์ และดัลลัส วิลลาร์ดได้เน้นความสำคัญของการเสริมสร้างคริสเตียนและพัฒนาวินัยฝ่ายวิญญาณ

การเคลื่อไหวเรื่องการนมัสการและการฟื้นใจ การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรเน้นควาใสำคัญของการนมัสการ มันเริ่มต้นที่ Jesus Movement ในต้นทศวรรษ 1970 และตามด้วยการฟื้นใจของกลุ่มคาริสเมติกและคริสตจักรที่เน้นพิธีกรรม ล่าสุดการนมัสการร่วมสมัยทำให้เรามีบทเพลงใหม่ ๆ การนมัสการรูปแบบใหม่ และมีการเน้นให้มีส่วนร่วมในการนมัสการมากขึ้น องค์การเช่น Maranatha! Music และ Hosanna Integrity มีบทบาทสำคัญในการสร้างรูปแบบการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงและทวีคูณ

การเคลื่อนไหวเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรกลับมาเน้นการประกาศ ภารกิจ และการเติบโตร่วมกัน มันเริ่มจากฟนังสือของโดนัลด์ แมกาฟแรน, ปีเตอร์ แวกเนอร์, เอลเมอร์ ทาวน์, วิน อาร์น และอาจารย์วิทยาลัยพระคริสตธรรมอีกหลายคน การเคลื่อนไหวนี้ขยายตัวมากขึ้นในทศวรรษที่ 1980 โดยผู้ให้คำปรึกษาเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร การสัมมนา และศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียง

การเคลื่อนไหวเรื่องกลุ่มย่อยหรือการอภิบาลศิษย์ การเคลื่อนไหวเรื่องกลุ่มย่อยหรือการอภิบาลศิษย์มีหน้าที่ทำให้คริสตจักรกลับมาเน้นที่การสามัคคีธรรม และความสัมพันธ์ที่ห่วงใยกันในพระกายของพระคริสต์ แม่แบบคริสตจักรเซลของเกาหลี และองค์การเช่น Touch Ministries, Serendipity, Care Givers และ Stephen's Ministry ได้ทำให้เราเห็นคุณค่าของการใช้กลุ่มย่อย และความสำคัญของการดูแลคนแต่ละคน

เราควรขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเคลื่อนไหวแต่ละประเภท องค์การแต่ละองค์การ และนักเขียนแต่ละคน การเคลื่อนไหวแต่ละอย่างบอกสิ่งที่สำคัญให้แก่คริสตจักร และปลุกคริสตจักรให้ตื่นขึ้น พร้อมทั้งเน้นย้ำวัตถุประสงค์แต่ละอย่างของคริสตจักร

รักษาคริสตจักรคุณให้สมดุล

โดยธรรมชาติแล้ว การเคลื่อนไหวแต่ละประเภทจะ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เพื่อทำให้เกิดผลกระทบ การมีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างไม่ใช่ความผิด เมื่อผมต้องผ่าตัด ผมต้องการแพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดนั้น แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนสามารถอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายผมได้โดยลำพัง

เช่นเดียวกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวขององค์การคริสเตียนใดที่สามารถให้ทุกสิ่งเพื่อทำให้เกิดพระกายของพระคริสต์แข็งแรงได้ การเคลื่อนไหวแต่ละประเภทจะเน้นเพียงส่วนเดียว ของภาพรวม สิ่งสำคัญคือเราต้องมองที่ภาพของคริสตจักร เพื่อจะเห็นความสำคัญของการทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นี้สมดุล

ยกตัวอย่าง เพื่อนศิษยาภิบาลของผมไปร่วมสัมมนาซึ่งสอนว่า กลุ่มย่อยคือกุญแจ ดอกเดียว สำหรับการเติบโตของคริสตจักร ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านและวางแผนจะยกเครื่องโครงสร้างคริสตจักรใหม่ทั้งหมด และสร้างเครือข่ายกลุ่มเซลขึ้นมาแทนแต่ภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ไปร่วมสัมมนาที่โด่งดังอีกแห่งซึ่งสอนว่า การนมัสการสำหรับผู้สนใจ คือ กุญแจดอกเดียว สำหรับการเติบโต ดังนั้น เขาจึงกลับบ้านและจัดระเบียบและรูปแบบการนมัสการของเขาใหม่ แล้วเขาก็ยิ่งสับสนเมื่อเขาได้รับโฆษณาสัมมนาถึง 3 ใบในสัปดาห์เดียวกัน ใบหนึ่งประกาศอย่างมั่นใจว่า "รวีศึกษาคือ ตัวกระตุ้นให้คริสตจักรเติบโต" อีกใบบอกว่า "การสร้างสาวกตัวต่อตัวคือเคล็ดลับของการเติบโต" ใบโฆษณาที่ 3 เป็นสัมมนาเรื่อง "เทศนาอรรถาธิบายเพื่อการเติบโตของคริสตจักร" ในที่สุด เขาสับสนว่าอะไรกันแน่คือ กุญแจ ของการเติบโต เขาเลิกไปร่วมสัมมนา ผมไม่โทษเขา เพราะผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่เขาไปร่วมสัมมนาเขาได้รับภาพที่ถูกต้อง แต่มันเป็นเพียงบางส่วนของสิ่งที่คริสตจักรควรจะทำ มันง่ายเกินไปและไม่ถูกต้องที่เสนอว่า มีปัจจัยเดียวที่เป็นเคล็ดลับสำหรับการเติบโตของคริสตจักร

ที่จริงมีกุญแจหลายดอก พระเจ้าไม่ได้เรียกให้คริสตจักรทำสิ่งเดียว แต่ให้ทำหลายสิ่ง นั่นคือเหตุผลที่ว่า ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมบอกเจ้าหน้าที่ของผมว่า "บุคคลผู้ใดสมดุล ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะอยู่ได้นานกว่าคนอื่น"

เปาโลชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนใน 1 โครินธ์ 12 ว่า พระกายของพระคริสต์มีอวัยวะหลายส่วน ไม่ใช่มีแค่มือ ปาก หรือตาเท่านั้น แต่เป็นระบบที่อวัยวะแต่ละส่วนทำงานร่วมกัน ที่จริง ร่ายการของคุณประกอบด้วยหลายระบบ ระบบหายใจ ระบบการหมุนเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบโครงกระดูก และอื่น ๆ เมื่อระบบเหล่านี้ทั้งหมดสมดุลกัน ก็เรียกว่า "สุขภาพดี" ความไม่สมดุลคือความเจ็บป่วย เช่นเดียวกัน ความสมดุลในวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของพระคัมภีร์ใหม่ก็จะนำสุขภาพที่ดีสู่พระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร

คริสตจักรแซดเดิลแบ็คจัดโครงสร้างโดยใช้แนวคิดง่าย ๆ 2 ประการเพื่อให้แน่ใจว่าเราสมดุล เราเรียกว่า "วงกลมแห่งการอุทิศชีวิต" และ "กระบวนการพัฒนาชีวิต" สองแนวคิดนี้ทำให้เห็นว่า ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราระยุกต์วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรอย่างไร กระบวนการพัฒนาชีวิต (วงกลมซ้อนกัน 5 วง) แสดงให้เห็นว่าเราทำงานกับใคร

ผมสร้างแนวคิดเหล่านี้ขึ้นในปี 1974 เมื่อเป็นศิษยาภิบาลอนุชนก่อนที่จะเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค วันนี้คนมาร่วมนมัสการเกือบ 10,000 คน และเรายังสร้างทุกสิ่งที่เราทำโดยอาศัยแผนภาพทั้งสองนี้ มันได้ผลดีที่เดียว

วงกลมซ้อนกันแสดงถึงระดับการอุทิศตัว และความเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันในคริสตจักรคุณ สนามเบสบอลแสดงถึงกระบวนการนำคนที่อุทิศตัวน่อย หรือไม่อุิทศตัวเลย ให้อุิทศตัวและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบทนี้เราจะดูที่ภาพวงกลมซ้อนกันและผมจะอธิบายสนามเบสบอลในบทที่ 8

ให้คุณมองคริสตจักรของคุณด้วยมุมมองใหม่ ทุกคนในคริสตจักรคุณอุทิศตัวเพื่อพระคริสต์เท่ากันหรือไม่ สมาชิกทุกคนเป็นผู้ใหญ่เท่ากันหรือไม่ แน่นอน ไม่ใช่ สมาชิกบางคนอุทิศตัวเต็มที่และเติบโตมาก คนอื่น ๆ ไม่ค่อยอุทิศตัวและไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ในคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เราจำแนกระดับการอุทิศชีวิตที่ต่างกัน 5 ระดับ และ 5 ระดับนี้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักร

ในภาพวงกลมซ้อนกัน 5 วงในหน้าถัดไป แต่ละวงแสดงถึงระดับการอุทิศตัวที่ต่างกัน เริ่มตั้งแต่น้อยมาก (เช่น ตกลงว่าจะมานมัสการสม่ำเสมอ) จนถึงอุทิศตัวมาก (เช่น สัญญาจะใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณในการรับใช้คนอื่น) เมื่อผมบรรยายระดับทั้ง 5 นี้โดยกล่าวถึงสมาชิกที่แซดเดิลแบ็ค คุณจะเห็นว่า คริสตจักรคุณก็มีสมาชิกอยู่ในระดับเหล่านี้ด้วย

วงกลมแห่งการอุทิศชีวิต

เป้าหมายของคริสตจักรคุณคือการนำคนจากวงนอก (อุทิศตัวน้อยและไม่เป็นผู้ใหญ่) มาสู่วงกลมใน (อุทิศตัวมาก เป็นผู้ใหญ่) ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การนำคนจากชุมชนสู่กลุ่มแกน"

ชุมชน

ชุมชนคือจุดเริ่มต้นของคุณ มันเป็นศูนย์ร่วมของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า หรือคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคริสตจักรของคุณ พวกเขาไม่ได้อุทิศตัวให้แก่พระเยซูคริสต์ หรือคริสตจักรของคุณเลย พวกเขาคือ คนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ซึ่งคุณต้องการจะเข้าถึง ชุมชนของคุณคือ ที่ซึ่งคุณจะทำตามวัตถุประสงค์แห่ง การประกาศ มันเป็นวงกลมใหญ่ที่สุด เพราะมันมีผู้คนมากที่สุด

เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเติบโตขึ้น เราจำกัดคำนิยามของชุมชนให้แคบลงว่า "คนที่ไม่เป็นคริสเตียน ผู้มานมัสการเป็นครั้งคราว" ถ้าคุณมาเยี่ยมคริสตจักรแซดเดิลแบ็คอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง (และลงชื่อในบัตร หรือซองถวายทรัพย์) ชื่อของคุณจะอยู่ในฐานข้อมูล "ชุมชน" ในคอมพิวเตอร์ของเรา คนกลุ่มนี้คือคนที่เราจะทำการประกาศมากที่สุด ขณะที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ เรามีรายชื่อคนมานมัสการเป็นครั้งคราวกว่า 31,000 ชื่อ คิดเป็นประมาณ 10% ของคนในแถบนี้ แน่นอน เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ เจาะเข้าถึงชุมชนทั้งหมดของเรา ให้ทุกคนมีโอกาสได้ยินเรื่องของพระคริสต์

ฝูงชน

วงต่อมาแสดงถึงกลุ่มที่เราเรียกว่า "ฝูงชน" ฝูงชนหมายถึงทุกคนที่มานมัสการในเช้าวันอาทิตย์ พวกเขามานมัสการประจำ ฝูงชนประกอบด้วยทั้งผู้ที่เชื่อพระคริสต์และผู้สนใจ แต่สิ่งที่ทุกคนเหมือนกัน คือ สัญญาว่าจะมาร่วม นมัสการ ทุกสัปดาห์นั่นไม่ใช่การอุทิศตัวมากมายอะไร แต่อย่างน้อยก็เป็นพื้นฐานบางอย่างให้คุณสร้างต่อไปได้ เมื่อคนหนึ่งย้ายจากชุมชนเข้ามาเป็นฝูงชน คุณก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าครั้งสำคัญในชีวิตของเขา ปัจจุบันคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมี "ฝูงชน" ประมาณ 10,000 คนที่มานมัสการแต่ละสัปดาห์

แม้ผู้ที่สนใจจะไม่สามารถนมัสการได้จริง ๆ แต่เขาสามารถดูคนอื่นนมัสการได้ ผมมั่นใจว่า การนมัสการที่แท้จริงเป็นคำพยานที่มีพลังที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจ ถ้าเรานมัสการในรูปแบบที่เขาเข้าใจได้ ผมจะบอกรายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 13 ถ้าคนที่สนใจสัญญาว่าจะมานมัสการประจำที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมเชื่อว่า ในที่สุดเขาจะต้อนรับพระคริสต์ เมื่อคนหนึ่งต้อนรับพระคริสต์ เป้าหมายของเราก็คือนำเขาสู่ระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้นคือ "สมาชิก"

สมาชิก

สมาชิกคือกลุ่มสมาชิกอย่างเป็นทางการของคริสตจักรคุณ พวกเขารับบัพติศมาและสัญญาจะเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรคุณ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เป็นแค่คนที่มาร่วม พวกเขาอุทิศตัวเพื่อวัตถุประสงค์แห่งการ สามัคคีธรรม นี่เป็นการอุทิศตัวที่สำคัญมาก ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เรื่องของการเชื่อเท่านั้น แต่มันรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรด้วย เมื่อคนตัดสินใจมอบชีวิตให้พระคริสต์ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการหนุนใจให้ก้าวต่อไปและอุทิศตัวเพื่อพระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คนที่ต้อนรับพระคริสต์ ได้รับบัพติศมา ได้เรียนชั้นสมาชิกใหม่ (ชั้น 101 "ค้นพบการเป็นสมาชิกคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค") และได้ลงนามในสัญญาสมาชิกเท่านั้นที่จะเป็นสมาชิกได้

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราไม่เห็นประโยชน์ของการมีรายชื่อสมาชิก แต่เจ้าตัวไม่มานมัสการ ดังนั้นเราคัดชื่อสมาชิกออกปีละเป็นร้อย ๆ ชื่อ เราไม่สนใจในจำนวนสมาชิกที่มาก แต่สนใจเฉพาะสมาชิกที่แท้จริงซึ่งกระตือรือร้นและมีส่วนจริง ๆ ปัจจุบันคริสตจักรเรามีสมาชิกกระตือรือร้นประมาณ 5,000 คน

ผมเคยเทศนาในคริสตจักรซึ่งมีสมาชิกในทะเบียนกว่า 1,000 คน แต่มีคนมานมัสการน้อยกว่า 200 คน สมาชิกประเภทนี้จะมีค่าอะไร ถ้าคุณมีสมาชิกในทะเบียนมากกว่าคนที่มาร่วมนมัสการ คุณก็ควรไตร่ตรองถึงการเปลี่ยนความหมายของคำว่าสมาชิกเสียใหม่

การมีคนมาร่วมนมัสการมากกว่าจำนวนสมาชิก หมายความว่าคริสตจักรนั้นมีประสิทธิภาพในการดึงดูดคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และสร้างแหล่งรวมเพื่อการประกาศตัวบ่งชี้ที่ดีถึงประสิทธิภาพการประกาศของคริสตจักรคือ เมื่อคุณมีคนที่มาร่วมมากกว่าจำนวนสมาชิกอย่างน้อย 25% ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีสมาชิก 200 คน คุณควรจะมีคนมาร่วมนมัสการเป็นประจำอย่างน้อย 250 คน ถ้าคุณไม่มี ก็หมายความว่าแทบไม่มีใครในคริสตจักรของคุณเชิญคนไม่เป็นคริสเตียนมาคริสตจักร ในปัจจุบันที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีฝูงชนมากกว่าสมาชิก 100% สมาชิก 5,000 คนของเรานำเพื่อนที่ไม่เชื่อมา ดังนั้นเราจึงมีผู้ร่วมนมัสการประมาณ 10,000 คน

ผู้อุทิศตัว

คริสตจักรของคุณมีคนที่รักพระเจ้าและเติบโต แต่ไม่ได้รับรับใช้อย่างกระตือรือร้นหรือไม่ พวกเขาจริงจังในความเชื่อ แตจะเป็นเหตุใดก็ตามที่ทำให้เขาไม่ได้รับใช้ เราเรียกคนเหล่านี้ว่า "ผู้อุทิศตัว" พวกเขาอธิษฐาน ถวายทรัพย์ และอุทิศตัวเพื่อการเติบโตในกระบวนการสร้างสาวก พวกเขาเป็นคนดี แต่ยังไม่เข้าร่วมในการรับใช้

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราถือว่า คนที่ได้เรียนวิชา 201 "ค้นพบความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" และลงนามในบัตรพันธสัญญาการเติบโต เราจัดอยู่คนเหล่านี้ในกลุ่มผู้อุทิศตัว บัตรพันธสัญญาการเติบโตแสดงถึงการอุทิศตัวเพื่อฝึกฝนอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ 3 ประการ (1) เฝ้าเดี่ยวทุกวัน (2) ถวายสิบลดของรายได้ และ (3) เข้ากลุ่มย่อยสม่ำเสมอ เราถือว่านิสัยทั้ง 3 อย่างนี้จำเป็นต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่ผมเขียนเล่มนี้ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีประมาณ 3,500 คนที่ลงนามในบัตรพันธสัญญาการเติบโต และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม "ผู้อุทิศ"

กลุ่มแกน

"กลุ่มแกน" คือ กลุ่มที่เล็กที่สุด เพราะพวกเขามีระดับการอุทิศตัวมากที่สุด พวกเขาคือคนส่วนน้อยที่เป็นคนงานและผู้นำที่ทุ่มเท พวกเขาถวายตัวเพื่อ รับใช้ คนอื่น พวกเขาคือคนที่นำและรับใช้ในพันธกิจต่าง ๆ ในคริสตจักร เป็นครูสอนวรีวารศึกษา มัคนายก ผู้ดูแลกลุ่มอนุชน และอื่น ๆ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ คริสตจักรของคุณจะหยุดนิ่ง กลุ่มแกนของคุณรวมตัวกันเป็นหัวใจของคริสตจักรของคุณ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีกระบวนการที่มีเจตนาโดยตรงในการช่วยให้สมาชิกได้ค้นพบงานรับใช้ที่เหมาะสมกับเขาที่สุด มันรวมถึงการเรียนวิชา 301 "ค้นพบพันธกิจของฉัน" การกรอกประวัติ SHAPE ผ่านการสัมภาษณ์พันธกิจส่วนตัว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้ฆราวาสในคริสตจักร และเข้าร่วมการฝึกฝนประจำเดือนที่จัดไว้สำหรับกลุ่มแกนโดยเฉพาะ ปัจจุบัน เรามีคนในกลุ่มแกน 1,500 คนผมจะทำทุกอย่างเพื่อคนเหล่านี้ พวกเขาเป็นเคล็ดลับแห่งพลังของเรา ถ้าจู่ ๆ ผมเสียชีวิตลงคริสตจักรแซดเดิลแบ็คจะเติบโตต่อไปเพราะฐานสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ 1,500 คนนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนหนึ่งเดินมาถึงกลุ่มแกนแล้ว เราก็จะนำพวกเขากลับไปที่ชุมชนเพื่อทำพันธกิจต่อไป

พระเยซูทรงยอมรับ
ระดับการอุทิศชีวิตที่แตกต่างกัน

พระเยซูทรงทราบว่าทุกคนมีระดับการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณที่ต่าางกัน ผมมักประหลาดใจเสมอกับคำสนทนาของพระเยซูกับผู้แสวงหาคนหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย ไม่ไกล จากแผ้นดินพระเจ้า" (มาระโก 12:34) ไม่ไกลเหรอ ผมเข้าใจว่านี่หมายความว่าพระเยซูทรงยอมรับว่า มีระดับความเข้าใจและการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณแม้แต่ในคนที่ไม่เชื่อ

พันธกิจของพระเยซูครอบคลุมถึงการรับใช้ชุมชน เลี้ยง ฝูงชน รวบรวม สมาชิก ท้าทาย ผู้อุทิศตัว และสร้างสาวก กลุ่มแกน งานทั้ง 5 เห็นได้ชัดเจนในพระกิตติคุณและเราต้องทำตามตัวอย่างของพระองค์ พระเยซูเริ่มต้นที่ระดับการอุทิศตัวของแต่ละคน บ่อยครั้งพระองค์เพียงแค่จับความสนใจของพวกเขา และสร้างความต้องการให้อยากรู้จักมากขึ้น แล้วเมื่อประชาชนติดตามพระองค์ต่อไป พระเยซูจะทรงอธิบายอย่างช้า ๆ และอ่อนสุภาพให้เขาเข้าใจแผ่นดินของพระเจ้าอย่างชัดเจน และจะทรงเรียกร้องการอุทิศชีวิตที่ลึกซึ้งกว่าเดิมต่อแผ่นดินของพระเจ้า แต่พระองค์ทำเช่นนี้ก็ต่อเมื่อผู้ติดตามพระองค์ได้มาถึงระดับก่อนหน้านั้นแล้ว

ครั้งแรกที่พระเยซูพบกับยอห์นและอันดรูว์ พระองค์ตรัสเพียงว่า "มาดูเถิด…" (ยอห์น 1:39) พระองค์มิได้เรียกร้องอะไรมากกับผู้ติดตามแรกเริ่มเหล่านี้ พระองค์เชิญให้พวกเขามาดูเท่านั้น พระองค์อนุญาตให้พวกเขาดูพันธกิจของพระองค์โดยไม่ทรงเรียกร้องการอุทิศตัวมากมายอะไร นี่ไม่ใช่การตัดทอนข่าวประเสริฐ แต่พระองค์แค่สร้างความสนใจ

เมื่อกลุ่มผู้ติดตามรุ่นแรกเพิ่มขึ้นเป็นฝูงชน พระเยซูเริ่มปรับให้ยากขึ้น และในที่สุดหลังจาก 3 ปีของการรับใช้ท่ามกลางพวกเขา หกวันก่อนการจำแลงพระกายพระเยซูทรงเปิดเผยให้ฝูงชนรู้ถึงการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "พระองค์จึงทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสแก่เขาว่า "ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" (มาระโก 8:34)

พระเยซูสามารถเรียกร้องให้ฝูงชนอุทิศชีวิตขนาดนั้นได้ก็ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงสำแดงความรักต่อพวกเขา และได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาแล้ว สำหรับคนแปลกหน้า หรือคนที่มาเยี่ยมคริสตจักรครั้งแรก ผมเชื่อว่าพระเยซูจะทรงตรัสในทำนองนี้ว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก" (มัทธิว 11:28-29)

พระเยซูทรงตระหนักว่า ประชาชนมีเบื้องหลังทางวัฒนธรรม ความเข้าใจ และระดับการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างกัน พระองค์ทราบว่าการใช้ชีวิตเดียวกันกับทุกคนนั้นไม่ได้ผล แนวคิดเดียวกันนี้อยู่เบื้องหลังวงกลมของการอุทิศชีวิต ซึ่งมันเป็นกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่บอกให้รู้ว่า เราทำพันธกิจกับผู้คนตามระดับการอุทิศชีวิตที่แตกต่างกัน คนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคน พวกเขาแตกต่างกันในควาใต้องการ ความสนใจและปัญหาฝ่ายวิญญาณ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาอยู่ ณ จุดไหนบนเส้นทางฝ่ายวิญญาณของพวกเขา เราอย่าปะปนสิ่งที่เราทำกับชุมชนและฝูงชนกับสิ่งที่เราทำกับกลุ่มแกน แต่ละกลุ่มต้องใช้วิธีการที่ต่างกัน ฝูงชนไม่ใช่คริสตจักร แต่ฝูงชนสามารถเปลี่ยนเป็นคริสตจักรได้

โดยการจัดโครงสร้างคริสตจักรคุณตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 และจัดประเภทคนในคริสตจักรของคุณตามระดับการอุทิศตัวของพวกเขา ให้เข้ากับวัตถุประสงค์แต่ละอย่าง คุณก็จะเดินไปบนเส้นทางสู่พันธกิจที่สมดุลและสร้างคริสตจักรที่มีสุขภาพแข็งแรง เวลานี้คุณก็พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนสุดท้ายในการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ นั่นคือการนำเอาวัตถุประสงค์ของคุณมาประยุกต์ใช้ในทุกส่วนของคริสตจักร นั่นคือประเด็นสำคัญของบทต่อไป

บทที่ 6 สื่อสารวัตถุประสงค์ของคุณ

ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาท
แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
สุภาษิต 13:17

ในเรื่องราวการสร้างกำแพงเยรูซาเล็มของเนหะมีย์ เราพบว่า เมื่อทำไปได้ครึ่งทาง ประชาชนก็ท้อใจและอยากจะเลิก เช่นเดียวกับหลายคริสตจักร พวกเขาหลงลืมวัตถุประสงค์ และผลก็คือ เขารู้สึกเหนื่อยล้า ผิดหวัง และกลัวจนไปไม่ไหว เนหะมีย์ระดมประชาชนกลับมาทำงานโดยจัดระบบโครงสร้างใหม่ และเน้นให้เห็นนิมิตอีกครั้ง ท่านเตือนพวกเขาถึงความสำคัญของงานที่เขาทำ และให้ความมั่นใจเขาอีกครั้ง ท่านเตือนพวกเขาถึงความสำคัญของงานที่เขาทำ และให้ความมั่นใจเขาอีกครั้งว่า พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาเพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ (เนหะมีย์ 4:6-15) และกำแพงก็สำเร็จใน 52 วัน

แม้ว่ากำแพงนี้ใช้เวลาสร้างเพียง 52 วัน แต่ประชาชนก็ท้อใจเมื่อไปถึงครึ่งทางคือ เพียง 26 วันในโครงการนี้ และเนหะมีย์ต้องทบทวนนิมิตให้พวกเขาอีกครั้ง จากเรื้องนี้เราได้สิ่งที่เรียกว่า "หลักการของเนหะมีย์" คือ นิมิตและเป้าหมายต้องย้ำใหม่ทุก 26 วันเพื่อให้คริสตจักรเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ให้คุณสื่อสารวัตถุประสงค์ของคุณอย่างน้อยเดือนละครั้ง มันช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ ที่มนุษย์และคริสตจักรหลงลืมวัตถุประสงค์ได้เร็วจริง ๆ

เมื่อคุณกำหนดวัตถุประสงค์ของคริสตจักรคุณแล้ว คุณต้องอธิบายและสื่อสารวัตถุประสงค์เหล่านี้ให้แก่ทุกคนในคริสตจักรเสมอ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณทำครั้งเดียวแล้วก็ลืมไปได้ นี่เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำ ถ้าหากคุณไม่ได้สื่อสารประโยควัตถุประสงค์ของคุณให้แก่สมาชิกของคุณ มันก็เหมือนกับคุณไม่มีประโยควัตถุประสงค์อะไรเลย

วิธีสื่อสารนิมิตและวัตถุประสงค์

มีหลายวิธีในการสื่อสารนิมิต และวัตถุประสงค์ของคริสตจักรคุณ

พระคัมภีร์

สอนความจริงเกี่ยวกับคริสตจักรจากพระคัมภีร์ ผมได้กล่าวแล้วว่า ตำราที่ดีที่สุดเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร ให้คุณสอนคำสอนหลักข้อเชื่อเรื่องคริสตจักรบ่อย ๆ ด้วยความร้อนรน ให้คุณแสดงให้สมาชิกได้เห็นว่าทุกส่วนของนิมิตคริสตจักรคุณตั้งอยู่บนพระคัมภีร์ โดยการให้ข้อพระคัมภีร์ซึ่งอธิบายและเป็นตัวอย่างการให้เหตุผลของคุณ

สัญลักษณ์

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจพลังอันมหาศาลของสัญลักษณ์ และนำมาใช้ คนเรามักต้องการภาพเพื่อช่วยให้เข้าใจแนวคิดต่าง ๆ สัญลักษณ์สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังเพราะมันดึง้อาความรู้สึกแรงกล้าและอารมณ์ต่าง ๆ ออกมา เช่น คุณอาจโกรธจัดเมื่อเห็นเครื่องหมายสวัสติกะของฮิตเลอร์เขียนอยู่บนกำแพงคริสตจักรคุณขณะที่ธงชาติทำให้เรามีเกียรติและภาคภูมิใจ

เครื่องหมายไม้กางเขนของคริสเตียน ฆ้อนเคียวของคอมมิวนิสต์ และซีกวงเดือนของอิสลามได้พิชิตทวีปต่าง ๆ มาแล้ว ที่แซดเดิลแบ็คเราใช้สัญลักษณ์ 2 อย่าง คือ วงกลม 5 วง และรูปสี่เหลี่ยมของสนามเบสบอล เพื่อให้เห็นภาพของวัตถุประสงค์ของเรา ผมจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ใน 2 บทต่อไป

คำขวัญ

คำขวัญ คติพจน์ คำพังเพย และวลีที่มีความหมายจะอยู่ในความทรงจำไปนานหลังจากที่คำเทศนาถูกลืมไปแล้ว เหตุการณ์สำคัญหลายครั้งในประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับคำขวัญ "นึกถึงอลาโมไว้" (อลาโมเป็นสถานที่ที่ชาวเม็กซิกันเคยยึดและสังหารโหดหมู่ชาวเท็กซัส) "จมเรือบิสมาร์ค" (เรือรบบิสมาร์คของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง) "ขอเสรีภาพหรือไม่ก็ความตาย" ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า คำขวัญง่าย ๆ ที่ตอกย้ำด้วยความมุ่งมั่น สามารถกระตุ้นให้คนทำสิ่งที่ตามปกติพวกเขาจะไม่ทำ แม้แต่การยอมตายในสนามรบ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราได้คิดและใช้คำขวัญนับสิบเพื่อย้ำนิมิตของเราคริสตจักร เช่น "สมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้" "ผู้นำทุกคนคือผู้เรียนรู้" "เรารอดเพื่อรับใช้" "ประเมินผลเพื่อความเป็นเลิศ" "ยอมสละได้ทุกอย่างเพื่อนำคนที่หลงหาย" และยังมีคำขวัญอื่น ๆ อีกมากมาย ผมแบ่งเวลาโดยเฉพาะเพื่อคิดวิธีใหม่ ๆ ในการสื่อสารความคิดดั้งเดิม ในรูปแบบใหม่และกระทัดรัด

เรื่องราว

พระเยซูทรงใช้เรื่องราวง่าย ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและมีส่วนในนิมิตของพระองค์ มัทธิว 13:34 กล่าวว่า "ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา (เรื่องราว) และนอกจากคำอุปมาพระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย"

จงใช้เรื่องราวต่าง ๆ เพื่อทำให้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรคุณมีชีวิตขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมพูดเรื่องความสำคัญของการประกาศ ผมจะเล่าเรื่องของสมาชิกคริสตจักรแซดเดิลแบ็คซึ่งได้ประกาศกับเพื่อน และนำพวกเขามาเชื่อพระคริสต์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อผมพูดเรื่องความสำคัญของการสามัคคีธรรม ผมอ่านจดหมายจริงที่ได้รับจากคนซึ่งได้รับการบรรเทาจากความเหงา โดยการเข้าร่วมในคริสตจักรของเรา และเมื่อผมพูดเรื่องความสำคัญของการสร้างสาวก ผมอาจใช้คำพยานที่บอกว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณของสามีภรรยาคู่หนึ่งได้ช่วยชีวิตสมรสของพวกเขาไว้ หรือคนหนึ่งที่แก้ปัญหาส่วนตัวโดยใช้หลักการจากพระคัมภีร์

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามี "ตำนาน" บางเรื่องที่ผมเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องเหล่านี้ทำให้เห็นภาพวัตถุประสงค์ของคริสตจักรเราอย่างชัดเจน หนึ่งในเรื่องโปรดของผม คือ เรื่องศิษยาภิบาลฆราวาส 5 คนที่ไปเยี่ยมคนป่วยก่อนผม เขาต่างคนต่างไป และเมื่อผมไปถึงที่นั่น พยาบาลไม่ยอมให้ผมพบคนไข้เพราะว่า "มีศิษยาภิบาลมาเยี่ยมเขามากเกินไปแล้ว" ผมอวดเรื่องศิษยาภิบาล 5 คนนี้ตั้งแต่นั้นมา คนมักจะทำสิ่งที่ได้รับรางวัล ดังนั้นให้สมาชิกคริสตจักรคุณเป็นวีรบุรุษเมื่อพวกเขาทำงานของคริสตจักร จงเล่าเรื่องของพวกเขา

สิ่งที่เจาะจงและชัดเจน

ให้คุณบอกขั้นตอนที่ทำได้จริง ชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งอธิบายว่าคริสตจักรของคุณจะทำให้วัตถุประสงค์ต่าง ๆ สำเร็จได้อย่างไร ให้คุณบอกแผนการที่ลงรายละเอียดเพื่อจะทำตามวัตถุประสงค์ของคุณ ให้คุณวางแผนรายการ ลงตารางเวลา ใช้อาคารและจ้างเจ้าหน้าที่ เพื่อวัตถุประสงค์แต่ละอย่าง สิ่งเหล่านี้คือเรื่องเจาะจงที่สมาชิกสนใจ

พึงระลึกว่า ไม่มีนิมิตใดเป็นจริงได้จนกว่านิมิตนั้นถูกเจาะจงอย่างชัดเจน เมื่อนิมิตคุลมเคลือ มันขาดแรงดึงดูด แต่ยิ่งนิมิตของคริสตจักรคุณเจาะจงมากเท่าใด มันก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจและการอุทิศชีวิตเท่านั้น วิธีการที่เฉพาะเจาะจงที่สุดในการสื่อสารวัตถุประสงค์ คือ การประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์เหล่านั้นในชีวิตส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน

ทำให้เป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัว

ในการสื่อสารวัตถุประสงค์ของคริสตจักรนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือ คุณต้องทำให้มันเป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัวของคุณ วิธีที่ทำให้เป็นวัตถุประสงค์เป็นส่วนตัว คือ ทำให้เห็นว่า วัตถุประสงค์แต่ละอย่างนั้น มีทั้งสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบควบคู่กันไป ในโคโลสี 3:15 ตามคำแปลฉบับลิฟวิ่ง ไบเบิลกล่าวว่า "นี่คือความรับผิดชอบและสิทธิพิเศษของท่านในฐานะอวัยวะในพระกายของพระองค์" การเป็นสมาชิกมีทั้งความรับผิดชอบและสิทธิพิเศษ ผมพยายามทำให้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรเราเป็นเรื่องส่วนตัวโดยการทำให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของเราแต่ละคนที่จะทำให้สำเร็จและยังเป็นสิทธิพิเศษที่เราจะชื่นชม

วัตถุประสงค์ของคริสตจักรสามารถทำให้เป็นส่วนตัว โดยถือว่าพระประสงค์ทั้ง 5 ประการนี้มีไว้สำหรับผู้เชื่อทุกคน พระประสงค์เหล่านี้แสดงออกถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราแต่ละคนทำเมื่อเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้

ความรับผิดชอบของผมในฐานะผู้เชื่อ

พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ นี่คือวัตถุประสงค์ของการสามัคคีธรรมที่พูดในแบบส่วนตัว พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนมากว่า การติดตามพระคริสต์ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเชื่อเท่านั้น มันรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่การแสดงเดี่ยว เราต้องใช้ชีวิตสัมพันธ์ต่อกันและกัน 1 เปโตร 1:3 ฉบับลิฟวิ่ง ไบเบิล กล่าวว่า "พระองค์ทรงประทานสิทธิพิเศษของการบังเกิดใหม่แก่เรา เพื่อว่าบัดนี้เราจึงเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า" พระเจ้าประทานคริสตจักรเป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเรา เพื่อประโยชน์ของเราเอง เอเฟซัส 2:19 ในฉบับลิฟวิ่ง ไบเบิล กล่าวว่า "…ท่านเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า… และท่านอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าร่วมกับคริสเตียนอื่น ๆ ทุกคน"

พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นแบบจำลองพระลักษณะของพระองค์ นี่คือวัตถุประสงค์ของการสร้างสาวกที่พูดในแบบส่วนตัว พระองค์ต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนเติบโตขึ้นและมีลักษณะเหมือนพระคริสต์ การเป็นเหมือนพระคริสต์ คือ นิยามตามพระคัมภีร์ของ "การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" พระเยซูทรงกำหนดรูปแบบเพื่อให้พวกเราเดินตาม "เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์" (1 เปโตร 2:21)

ใน 1 ทิโมธี 4:12 เปาโลพูดเจาะจงมีหลายด้านที่เราต้องเป็นแบบจำลองพระลักษณะของพระคริสต์ "จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์" สังเกตว่าการเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้วัดกันที่ความรู้ แต่วัดที่การดำเนิดชีวิต เป็นไปได้ที่คนอาจรู้พระคัมภีร์อย่างดี แต่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่

พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นผู้รับใช้ในพันธกิจแห่งพระคุณของพระองค์ ความรับผิดชอบที่ 3 ของคริสเตียนทุกคน นั่นคือ การทำให้วัตถุประสงค์แห่งการรับใช้เป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัว พระเจ้าคาดหวังให้เราใช้ของประทาน ความสามารถพิเศษ และโอกาสที่พระองค์ประทานแก่เรา เพื่อทำประโยชน์แก่คนอื่น 1 เปโตร 4:10 กล่าวว่า "ตามที่ซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่แจก และสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า"

พระเจ้าประสงค์ให้คริสเตียนทุกคนมีงานรับใช้อย่างหนึ่ง ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เวลาเราเป็นพยานกับคนไม่เชื่อ เรากล่าวถึงความคาดหวังนี้ชัดมาก เราไม่ได้ "วางเบ็ดล่อ" ผมบอกคนไม่เชื่อว่า "เมื่อคุณมอบชีวิตของคุณต่อพระคริสต์ คุณกำลังลงนามเพื่อทำงานรับใช้ในพระนามของพระองค์ตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ ซึ่งนั่นคือจุดประสงค์ที่พระเจ้าสร้างคุณมา" เอเฟซัส 2:10 กล่าวว่า "เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ"

พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นผู้นำข่าวแห่งความรักของพระองค์ นี่คือการทำให้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรในการประกาศเป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัว หน้าที่ส่วนหนึ่งของคริสเตียน คือ เมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรากลายเป็นผู้นำข่าวดีของพระเจ้าไปสู่คนอื่น เปาโลกล่าวว่า "แต่ข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น" (กิจการ 20:24) นี่คือความรับผิดชอบสำคัญอย่างหนึ่งของคริสเตียนทุกคน 2 โครินธ์ 5:19-20 กล่าวว่า "คือพระเจ้าได้ทรงทำให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระเยซูคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า" เราต้องขอร้องให้คนไม่เชื่อรับความรักที่พระองค์หยิบยื่นให้ คือ การคืนดีกับพระเจ้า

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพระเจ้าทรงปล่อยเราไว้ในโลกที่มีความเจ็บปวดความโศกเศร้า และความบาปหลังจากที่เราได้ต้อนรับพระคริสต์แล้ว ทำไมพระองค์ไม่รับเราไปสวรรค์ทันทีและให้เราพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น เราสามารถนมัสการ สามัคคีธรรม อธิษฐาน ร้องเพลง ฟังพระวจนะของพระเจ้า และสนุกสนานในสวรรค์ได้ ที่จริง มีเพียง 2 สิ่งที่คุณทำไม่ได้ในสวรรค์ คือความบาป และการเป็นพยานกับคนไม่เชื่อ ผมถามสมาชิกคริสตจักรเราว่า เขาคิดว่าพระองค์ให้เราอยู่ในโลกเพื่อทำอย่างไหนในสองสิ่งนี้ ในโลกนี้เราต่างก็มีภาระกิจ ปละส่วนหนึ่งของภารกิจคือการบอกคนอื่นถึงพระคริสต์

พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นผู้ที่ยกย่องพระนามของพระองค์ สดุดี 34:3 "เชิญยอพระเกียรติพระเจ้าพร้อมกับข้าพเจ้า ให้เราสรรเสริฐพระนามพระองค์ด้วยกัน" เราต่างมีความรับผิดชอบส่วนตัวในการนมัสการพระเจ้า พระบัญญัติข้อแรก คือ "อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา" (อพยพ 20:3) เราแต่ละคนเกิดมาพร้อมกับความต้องการที่จะนมัสการ ถ้าเราไม่นมัสการพระเจ้า เราก็จะหาสิ่งอื่นเพื่อนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ครอบครัว เงิน กีฬาหรือแม้แต่ตัวเอง

สิทธิพิเศษของผมในฐานะผู้เชื่อ

ขณะที่คริสตจักรต้องรับผิดชอบในการทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคน คริสตจักรก็ยังให้ผลประโยชน์ทั้งฝ่ายวิญญาณอารมณ์ และความสัมพันธ์แก่สมาชิกด้วย ที่จริงแล้วคริสตจักรให้สิ่งที่เขาไม่สามารถหาได้จากที่อื่นในโลก การนมัสการช่วยให้คนจดจ่อกับพระเจ้า การสามัคคีธรรมช่วยพวกเขาในการเผชิญปัญหาชีวิต การสร้างสาวกช่วยให้พวกเขามีความเชื่อมั่นคง การรับใช้ช่วยให้พวกเขาพบความสามารถพิเศษของตน และการประกาศช่วยให้พวกเขาทำให้ภารกิจของตนสำเร็จ

กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีก

อย่าคิดว่า คำเทศนาเรื่องวัตถุประสงค์ของคริสตจักรเพียงหนึ่งครั้งจะกำหนดทิศทางของคริสตจักรคุณได้ถาวร อย่าคิดว่า พอพิมพ์วัตถุประสงค์ลงในสูจิบัตรแล้ว ทุกคนก็จะจำได้หรืออ่าน กฏการโฆษณาที่รู้จักกันคือ ต้องสื่อสารข้อความ 7 ครั้งคนจึงจะเข้าใจจริง ๆ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราทำทุกอย่างและทุกช่องทางที่เราสามารถคิดได้เพื่อให้วัตถุประสงค์ของเราปรากฏอยู่ต่อหน้าสมาชิกเสมอ ผมได้กล่าวแล้วว่า เราสื่อสารวัตถุประสงค์และนิมิตของเราทุกเดือนในชั้นเรียนสมาชิกใหม่ ตามปกติ ทุกปีในเดือนมกราคม ผมจะเทศนาประจำปีเรื่อง "สภาพของคริสตจักร" ซึ่งมักเป็นการทบทวนวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ประการของเรา ด้วยเนื้อหาที่เหมือนกันทุกปี แต่ว่าเปลี่ยนตัวอย่างใหม่ให้ทันสมัย

ศิษยาภิบาลมากมายยังไม่เข้าใจพลังของธรรมาสน์ ที่เปรียบเสมือนหางเสือเรือใช้ในการกำหนดทิศทางของคริสตจักร ไม่ว่าคุณจะจงใจหรือไม่ก็ตาม หากคุณเป็นศิษยาภิบาล จงใช้ธรรมาสน์ด้วยความจงใจในแต่ละสัปดาห์ เวลาที่คุณเทศนาเป็นเวลาที่ทุกคนจะหันมาสนใจคุณ จงมองหาโอกาสที่จะกล่าวซ้ำ ๆ ในทำนองนี้ว่า "และนี่คือเหตุผลที่คริสตจักรดำรงอยู่" อย่ากลัวที่จะกล่าวซ้ำ ๆ เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจในครั้งแรก ผมเรียกการกล่าวซ้ำ ๆ ในรูปแบบใหม่ว่า "ความซ้ำซากที่สร้างสรรค์"

ในหน้าถัดไป คุณจะพบตารางซึ่งทำให้เห็นหลายแง่มุมของสิ่งที่ผมได้เสนอว่าเป็นวัตถุประสงค์ของคริสตจักร ขอให้ใช้โครงสร้างนี้โดยไม่ต้องลำบากใจ เพราะผมพูดเรื่องเดียวกันแต่ในวิธีที่ต่างกัน

นอกเหนือจากการสื่อสารวัตถุประสงค์ของเราผ่านคำเทศนา และการสอนแล้วเรายังใช้แผ่นพับ ป้าย บทความ จดหมายข่าว สูจิบัตร วีดิโอ และเทป และเราแต่งเพลงด้วย ตรงทางเข้าห้องนมัสการเราติดวัตถุประสงค์ และข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทุกคนที่เดินเข้าไปได้อ่าน เราเชื่อว่า เมื่อเรากล่าวย้ำสิ่งเดียวกันในวิธีที่แตกต่าง หนึ่งในวิธีเหล่านี้จะจับความสนใจของทุกคน หลังจากทุกครั้งที่เราสื่อสารวัตถุประสงค์เหล่านี้ด้วยวิธีใหม่ ก็จะมีบางคนพูดว่า เขาเพิ่งจะเข้าใจเป็นครั้งแรก เป้าหมายของเราคือ ให้สมาชิกทุกคนสามารถอธิบายวัตถุประสงค์ของเราแก่คนอื่น

เมื่อเวลาผ่านไป นิมิตของทุกคริสตจักรจะเลือนหายถ้าไม่มีการย้ำเตือน นี่เป็นเพราะสิ่งอื่น ๆ ดึงให้คนหันเหไป จงย้ำวัตถุประสงค์ของคุณบ่อย ๆ สอนพวกเขาซ้ำ ๆ ใช้สื่อทุกอย่างที่คุณใช้ได้เพื่อให้มันปรากฏต่อหน้าสมาชิก เมื่อคุณกระพือไฟแห่งวัตถุประสงค์ให้ลุกโชนอยู่เสมอ คุณก็จะสามารถเอาชนะความโน้มเอียงที่ทำให้คริสตจักรเฉยเมย หรือท้อถอย จงระลึกถึงหลักการของเนหะมีย์