วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

บทที่ 14 วางแผนการนมัสการสำหรับผู้สนใจ

"เหตุฉะนั้นถ้าคริสตจักรมีการประชุมกัน
แล้วคนทั้งปวงต่างก็พูดภาษาแปลก ๆ
และมีคนที่รู้ไม่ถึง หรือคนที่ไม่เชื่อเข้ามา
เขาจะมิเห็นว่าท่านทั้งหลายคลั่งไปแล้วหรือ"
(1 โครินธ์ 14:23)

"จงปฏิบัติต่อคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส"
(โคโลสี 4:5)

เนื่องจากผมเติบโตในครอบครัวคริสเตียน ผมมักผิดหวังเวลาพาเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนไปคริสตจักร ดูเหมือนทุกครั้งที่ผมพาเพื่อน ๆ ไปด้วย พ่อก็จะเทศนาเรื่องการถวายสิบลด หรือมิชชันนารีรับเชิญก็จะฉายสไลด์เล่าเรื่องงาน หรือไม่ก็มีพิธีมหาสนิท ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนผมจำเป็นต้องได้ยินหรือประสบเลย

แต่วันไหนที่ผมไม่ได้พาเพื่อนไป วันนั้นคำเทศนาก็จะเป็นเรื่องความรอดโดยตรง แล้วผมก็อดคิดไม่ได้ว่า "แหม ถ้าเพื่อนผมมาฟังด้วยคงดีจริง ๆ" สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าที่ผมไม่รู้ว่าการนมัสการจะ "ดี" สำหรับคนไม่เป็นคริสเตียนหรือไม่ เพราะผมไม่อาจคาดเดาเนื้อหาของคำเทศนาครั้งต่อไปได้เลย พอผมเข้าเรียนในวิทยาลัยคริสตจักรที่ผมไปร่วมก็มีลักษณะอย่างนี้ด้วย ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ไม่ชวนเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนไปคริสตจักรอีกเลย ที่จริงผมไม่ได้จงใจทำอย่างนั้นหรอก ผมแค่เหนื่อยหน่ายกับการ "หน้าแตก" ครั้งแล้วครั้งเล่า

คริสตจักรส่วนมากไม่สามารถดึงดูดคนภายนอกให้มาร่วมนมัสการได้ เพราะสมาชิกกระอักกระอ่วนใจที่จะพาเพื่อนมาโบสถ์ มันไม่สำคัญว่าศิษยาภิบาลจะกระตุ้นสมาชิกบ่อยแค่ไหน หรือมีรายการสำหรับคนไม่เป็นคริสเตียนมากแค่ไหน เพราะผลก็เหมือนกัน คือ สมาชิกส่วนมากไม่พาเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมาที่คริสตจักร

ทำไมจึงไม่เป็นเช่นนั้น มีเหตุผลที่สำคัญสามประการ

ประการแรก สมาชิกไม่อาจคาดเดากลุ่มเป้าหมายของคำเทศนาแต่ละอาทิตย์ได้ สมาชิกไม่เคยรู้ว่าอาทิตย์นี้อาจารย์จะเทศนาเชิญชวน หรือเทศนากระตุ้นผู้เชื่อ

ประการที่สอง การนมัสการไม่ได้วางแผนไว้สำหรับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน เนื้อหาและกิจกรรมส่วนมากเป็นเรื่องที่เพื่อนของสมาชิกไม่เข้าใจ

ประการที่สาม สมาชิกอาจจะละอายเพราะคุณภาพของการนมัสการ

ถ้าคุณมีโอกาสถามสมาชิกสักคน และให้เขาตอบอย่างจริงใจ เขาอาจบอกคุณทำนองนี้ "ผมรักคริสตจักรของผม รักศิษยาภิบาล และได้รับพระพรมากเวลาไปคริสตจักร แต่ผมไม่คิดจะชวนเพื่อน ๆ ไปโบสถ์ เพราะการนมัสการจะไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย คำเทศนาก็สำหรับผม ดพลงก็สำหรับผม คำอธิษฐานก็ใช้คำที่ผมเข้าใจ แม้แต่การประกาศข่าวก็สำหรับผม เพื่อนผมไม่มีทางเข้าใจการนมัสการเลย" แต่บอกตามตรง เขาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ชวนเพื่อน ๆ มา

จะทำอย่างไรให้คริสตจักรของคุณใหญ่ขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือเป็นอัจฉริยะ คุณแค่ทำให้มีคนมาใหม่เท่านั้นเอง ไม่มีใครมาเป็นสมาชิกโดยที่ไม่เคยเป็นผู้มาใหม่ ถ้าคุณมีผู้มาใหม่ไม่กี่คน คุณก็จะมีสมาชิกใหม่ไม่กี่คน แน่นอน ฝูงชนไม่ใช่คริสตจักร แต่คุณต้องการให้คริสตจักรใหญ่ คุณต้องดึงดูดฝูงชนให้ได้ก่อน

แล้วจะทำอย่างไรที่จะเพิ่มจำนวนผู้มาใหม่โดยใช้วิธีที่ธรรมชาติที่สุด กดดันให้สมาชิกรู้สึกผิดเหรอ ผิดครับ ติดป้ายใหญ่ ๆ ว่า "ยินดีต้อนรับผู้มาใหม่" หรือ ไม่ถูก หรือว่าให้รางวัลกับการพาคนมาหใม่ ผิดอีก หรือต้องโฆษณาและทำการตลาด ก็ผิดอีกเหมือนเดิม

คำตอบนั้นไม่ยากเลย คือ จงใจทำให้การนมัสการเป็นรายการที่สมาชิกจะพาเพื่อน ๆ ที่ไม่เป็นคริสเตียนมาได้ และทำให้การนมัสการน่าดึงดูด น่าประทับใจ และเหมาะสำหรับคนไม่เป็นคริสเตียน จนสมาชิกอยากพาเพื่อน ๆ ที่ไม่เป็นคริสเตียนมา

คริสตจักรแซดเดิลแบ็คจัดการนมัสการแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น เราใช้คำว่า "การนมัสการที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้สนใจ" คือการนมัสการที่คริสเตียนอยากพาเพื่อน ๆ ที่ไม่เป็นคริสเตียนมาร่วม คุณไม่จำเป็นต้องกดดันให้รู้สึกผิด ให้รางวัล หรือโฆษณา เพื่อจะเพิ่มจำนวนคนมาร่วม ในบทนี้และบทต่อไป ผมจะพูดถึงคำแนะนำในเชิงปฏิบัติบางประการ ในการวางแผนการนมัสการที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้สนใจ

วางแผนการนมัสการโดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในใจ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ทุกสัปดาห์เราย้ำเตือนตัวเองว่า เราต้องการนำใครมาเชื่อ นั่นคือ แซดเดิลแบ็ค แซม และภรรยาของเขา ซาแมนธา เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ มันก็จะช่วยคุณกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ เช่นแนวดนตรี หัวข้อเทศนา คำพยาน ศิลปะที่สร้างสรรค์ และอื่น ๆ

คริสตจักรหลายแห่งสรุปการนมัสการด้วยการเชิญชวนคนให้เชื่อ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า เราโยงการนมัสการเข้ากับการประกาศแบบเป็นหน้าที่ และหลายคนไม่เคยตระหนักว่า นี่คือวิธีที่นำไปสู่ความล้มเหลว เพราะเราให้ความสนใจกับผู้เชื่อตลอด 58 นาที แล้วจู่ ๆ ก็หันมาสนใจผู้ไม่เชื่อใน 2 นาทีสุดท้าย เราต้องวางแผนให้การประชุมทั้งหมดเหมาะสำหรับคนที่ไม่เชื่อ ไม่ใช่แค่ช่วงเชิญชวน

ทำให้การมาคริสตจักรง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้

คุณต้องมีเป้าหมายที่จะขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อคนไม่เป็นคริสเตียนจะไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่มา

จัดการนมัสการหลาย ๆ รอบ เป็นการเปิดโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้ง คริสตจักรเราจัดนมัสการสี่รอบมาหลายปีแล้วคือ ค่ำวันเสาร์หนึ่งรอบ และเช้าวันอาทิตย์สามรอบ แปดโมง เก้าโมงครึ่ง และสิบเอ็ดโมงสิบห้า บ่อยครั้งที่มีคนไม่เป็นคริสเตียนมาร่วมประชุมรอบหนึ่ง แล้วก็กลับไปชวนเพื่อน ๆ มาในรอบถัดไป

จัดที่จอดรถให้เพียงพอ ในอเมริกาถ้าคุณจะเข้าถึงผู้คน คุณต้องมีที่จอดรถเวลาคนมาโบสถ์ หลายคนขับรถมา ถ้าคุณไม่มีที่สำหรับรถของเขา ก็เหมือนคุณไม่มีที่สำหรับเขา และไม่มีประโยชน์ที่จะมีตึกใหญ่โต ถ้าคุณไม่มีที่จอดรถให้เขา

จัดชั้นเรียนสำหรับเด็กควบคู่ไปกับการนมัสการ คนไม่เป็นคริสเตียนไม่อยากวุ่นวายกับการรบกวนของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกของเขา หรือของคนอื่น คริสตจักรเรามีชั้นรวีฯ เด็กพร้อมกันกับการนมัสการ

ทุกครั้งที่โฆษณาคริสตจักรให้พิมพ์แผนที่บอกทางไว้ด้วย มันไม่สนุกเลยที่จะหาสถานที่ที่ไม่เคยไปโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน คริสตจักรเรามีถนนส่วนบุคคลกว้างขวางแต่ก็ยังมีคนหลงทางอยู่เป็นประจำ

ปรับปรุง
จังหวะและความราบรื่นของการนมัสการ

คริสตจักรเกือบทุกแห่งจำเป็นต้องทำให้จังหวะการนมัสการกระชับขึ้น สังเกตว่าโทรทัศน์ได้ทำให้คนสนใจสั้นลง และอัดช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยเนื้อหามากมาย

ตรงกันข้าม การนมัสการของคริสตจักรส่วนมากดำเนินไปอย่างงุ่มง่านเหมือนเต่า และมีช่วง "สูญเปล่า" มากมายระหว่างรายการต่าง ๆ หลังจากนำเพลงเสร็จอีกสิบห้าวินาทีให้หลังนักเทศน์จึงคิดจะลุกขึ้น เขาค่อย ๆ เดินไปที่ธรรมาสน์และทักทายผู้คน พอถึงตอนนี้คนไม่เป็นคริสเตียนก็เริ่มหาวนอนกันแล้ว คุณต้องทำให้ช่วงเปลี่ยนรายการกินเวลาน้อยที่สุด ทันทีที่รายการหนึ่งจบอีกรายการต้องเริ่มทันที

ให้คุณหาวิธีประหยัดเวลาในการนมัสการ เรามักตั้งเวลาสำหรับรายการต่าง ๆ เช่น อธิษฐาน เพลง ประกาศข่าว เทศนา ปิดประชุม และช่วงเปลี่ยนรายการ แล้วเราก็จะถามตนเองว่า "รายการไหนใช้เวลามากเกินไป และรายการไหนต้องการเวลามากขึ้น"

การนมัสการของเรามักยาวประมาณ 70 นาที คุณสามารถทำอะไรได้มากมายในเวลาขนาดนั้น ถ้าคุณวางแผนอย่างฉลาด เช่น การเดินถุงถวายสามารถใช้เวลาน้อยลงครึ่งหนึ่ง ถ้าคุณเพิ่มคนเดินถุงและถุงอีกเท่าตัว

ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ให้คุณอธิษฐานสั้น ๆ นั่นไม่ใช่เวลาที่คุณจะอธิษฐานเผื่อคุณเบอร์ธาที่เล็บขบ คนไม่เป็นคริสเตียนทนรับการอธิษฐานยืดยาวไม่ได้ ความคิดเขาจะฟุ้งซ่านหรือไม่ก็ง่วงเหงาหาวนอน ศิษยาภิบาลต้องระวัง อย่าเฝ้าเดี่ยวในหารประชุม

นอกจากนั้นให้คุณปรับปรุงความต่อเนื่อง ความแตกต่างระหว่างการนมัสการธรรมดา ๆ กับการนมัสการที่โดดเด่นคือ ความต่อเนื่อง

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราใช้อักษรย่อ IMPACT (ผลกระทบ) เพื่อย้ำเตือนให้เรานึกถึงความต่อเนื่องที่เราต้องการให้เกิดขึ้น

Inspire Movement (IM) - จังหวะเร้าใจ นี่คือสิ่งที่เราต้องการจากเพลงเปิด เราใช้เพลงที่สดใส คึกคัก ที่ทำให้คนกระดิกเท้า ปรบมือ หรืออย่างน้อยก็ยิ้ม เราต้องการผ่อนคลายความตึงเครียดของผู้มาใหม่ เมื่อร่างกายคุณผ่อนคลาย ท่าทีของคุณก็เปิดมากขึ้น

ในช่วงเริ่มต้น เราปลุกพระกายของคริสต์ โดยการปลุกร่างกายของเราเองเมื่อคนมานมัสการตอนเช้า เขามักจะยังง่วง ไม่กระฉับกระเฉงและปิดตัวเอง หลังจากเพลงเปิดที่เร้าใจ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสดใสร่าเริง และกระฉับกระเฉงขึ้น

Praise (P) - สรรเสริญ จากนั้นเราเริ่มร้องเพลงชื่นบานเกี่ยวกับพระเจ้า
Adoration (A) - ยกย่องเทิดทูน เรานำที่ประชุมร้องเพลงภาวนาและลึกซึ้งแด่พระเจ้า จังหวะในช่วงนี้ช้าลง
Commitment (C) - การมอบถวายชีวิต บทเพลงช่วงนี้จะเปิดโอกาสให้คนตัดสินใจ หรือยืนยันการถวายชีวิตแด่พระเจ้า มักใช้เพลงขับร้องเดี่ยว เช่น "ข้าฯ อยากเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น"
Tie it all together (T) - ขมวดทั้งหมดเข้าด้วยกัน สิ่งสุดท้ายที่เราทำคือการจบรายการด้วยเพลงสั้น ๆ กระฉับกระเฉง

ทำให้ผู้มาใหม่รู้สึกสบาย

ผู้มาใหม่เริ่มมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคริสตจักรของคุณตั้งแต่สิบนาทีแรกที่เข้ามาถึง ในบทที่ 12 ผมบอกว่าเขาตัดสินใจว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ ตั้งแต่ศิษยาภิบาลยังไม่เทศน์ ความประทับใจแรกเป็นเรื่องที่เปลี่ยนได้ยากมาก ดังนั้นคุณต้องคิดให้ตกว่าคุณอยากให้ผู้มาใหม่มีความประทับใจแรกอย่างไร เหมือนที่มีคำโบราณกล่าวว่า คุณไม่มีโอกาสครั้งที่สองในการสร้างความประทับใจแรก

ในการรับมือกับคนมาใหม่ คุณต้องเข้าใจเรื่องสำคัญคือ การตอบสนองทางอารมณ์อย่างแรกของพวกเขาคือ ความกลัว ถ้าเขาเป็นคนไม่เชื่ออย่างแท้จริง เขาจะมีคำถามว่า "จะเกิดอะไรกับฉันที่นี่หนอ" มันก็เหมือนที่คุณรู้สึก ถ้ามีคนชวนคุณไปมัสยิดเป็นครั้งแรก คุณอาจสงสัยว่า "ฉันจะโดนจับขังไว้ไหมเนี่ย" "เขาจะบอกให้ฉันพูดอะไรบ้างไหม" "ฉันจะขายหน้าไหม"

ดังนั้นวัตถุประสงค์แรกสำหรับผู้มาใหม่ คือ คุณต้องทำให้พวกเขาผ่อนคลายจากความวิตกและหวาดระแวง เพราะความกลัวจะเป็นกำแพงปิดกั้นการสื่อสาร ถ้าคุณสามารถลดระดับความกลัวของผู้มาใหม่ได้ เขาก็จะเปิดรับข่าวประเสริฐได้มากขึ้นและมีหลายวิธีที่จะทำสิ่งนี้ เช่น

สงวนที่จอดรถที่ดีที่สุดไว้สำหรับผู้มาใหม่ เรามีป้ายที่ปากทางบอกให้ทราบว่า "ถ้าคุณมาเป็นครั้งแรกและต้องการจอดรถใกล้ที่ประชุมมากที่สุด ก็ขอให้คุณเปิดไฟหน้า" ถ้าคุณมีที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้มาใหม่ คุณก็สามารถจัดคนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม และคอยบอกทางให้เขาทันทีที่เขาลงจากรถ ที่แซดเดิลแบ็ค ศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนจอดรถบนลานดิน ผู้มาใหม่เท่านั้นที่สามารถจอดในที่จอดรถดี ๆ ได้

จัดคนต้อนรับไว้ภายนอกอาคาร เราเชื่อว่าการต้อนรับผู้มาใหม่มีความสำคัญมาก เราจึงจัดฝ่ายต้อนรับไว้เป็นสี่กลุ่ม บริเวณลานจอดรถ ที่บริเวณอาคาร ที่โต๊ะติดต่อสอบถาม และถามในห้องประชุม ที่ลานจอดรถพวกเขาจะคอยอำนวยความสะดวกในเรื่องการจราจร และเป็นรอยยิ้มแรกที่แขกของเราจะได้เห็น ที่บริเวณอาคารพวกเขาจะทักทายแขกแบบเป็นกันเอง ที่โต๊ะติดต่อสอบถาม พวกเขาจะคอยพาแขกไปยังที่ที่เขาต้องการจะไป และที่ในห้องประชุม พวกเขาจะคอยแจกสูจิบัตร ให้ความช่วยเหลือและเดินถุงถวาย

บุคคลสำคัญที่สุดในองค์กรใด ๆ ก็ตามคือ คนที่พบปะลูกค้าโดยตรง สำหรับผม คนสำคัญที่สุดของสายการบินก็คือ พนักงานจำหน่ายตั๋วและพนักงานบนเครื่อง ประธานสายการบินไม่สำคัญสำหรับผมแม้แต่น้อย เพราะผมไม่มีวันได้ติดต่อพบปะเขา คริสตจักรคุณก็เหมือนกัน คนที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้มาใหม่คือ คนที่คอยต้อนรับเพราะเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับช่วงสิบนาทีแรกที่แสนจะสำคัญ คุณต้องเลือกคนที่มีบุคลิกอบอุ่น ยิ้มง่ายสำหรับงานนี้

คุณต้องเลือกคนให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายด้วย ถ้าคุณต้องการนำคนหนุ่มสาว ให้ใช้คนหนุ่มสาว ถ้าคุณต้องการนำวัยรุ่น ให้ใช้วัยรุ่น ถ้าคุณต้องการนำคนปลดเกษียณ ก็ให้ใช้คนปลดเกษียณ ในคริสตจักรหลายแห่ง คนต้อนรับมักจะเป็นกลุ่มสมาชิกที่อายุมากที่สุด ถ้าผู้มาใหม่ได้พบแต่คนที่แก่กว่าตัวเองสี่สิบปีในสิบนาทีแรก เขาย่อมเริ่มสงสัยแล้วว่า เขาเหมาะกับที่นี่หรือเปล่า

และสุดท้าย อย่าให้คนต้อนรับติดบัตร เพราะมันจะทำให้ผู้มาใหม่รู้สึกว่าเขาได้รับการต้อนรับจาก "เจ้าหน้าที่" ของคริสตจักร แต่บอกคนต้อนรับให้ทำตัวสบาย ๆ เป็นตัวของตัวเอง คือ เป็นสมาชิกที่เป็นมิตร

ตั้งโต๊ะติดต่อสอบถามไว้ด้านนอกอาคาร สำหรับคนที่นั่งที่นี่ คุณให้เขาติดบัตรก็ได้ เพราะคุณต้องการให้ผู้มาใหม่รู้ว่าจะสอบถามได้ที่ไหนและจากใคร

ติดป้ายบอกทางไว้ให้ทั่ว บอกให้ชัดว่าทางเข้าห้องเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหน ที่สำคัญ คือ ห้องน้ำ ผู้มาใหม่ไม่ควรต้องถามว่าห้องน้ำอยู่ไหน

เปิดเพลงตั้งแต่คนเริ่มเข้าในอาคาร อาคารสาธารณะส่วนมากเปิดเพลงไว้เบา ๆ เสมอ เวลาคุณไปห้างสรรพสินค้า คลินิก อาคารสำนักงาน หรือแม้กระทั่งเครื่องบินที่ยังไม่เคลื่อนจากลานจอด ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะดนตรีทำให้คนผ่อนคลาย

สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ความเงียบเป็นเรื่องน่ากลัว ถ้าคุณเดินไปในห้องที่มี 200 คน แล้วไม่มีใครพูดอะไรกันเลย คุณคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น "พวกเขารู้อะไรที่ฉันไม่รู้เหรอ" แต่ถ้าคุณเดินเข้าไปในห้องที่ทุกคนคุยกัน คุณจะไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นจุดสนใจแม้แต่น้อย

การนมัสการควรมีเวลาเงียบสงบ แต่ไม่ใช่ตอนเริ่มต้น ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ เราต้องการให้บรรยากาศก่อนเริ่มต้นเป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ร่าเริง และเต็มด้วยความชื่นบาน

เราสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ ยิ่งคุณเปิดเพลงดัง คนก็ยิ่งคุยกันดัง พอคุณเปิดเพลงเบา ๆ คนก็คุยกันเบา ๆ เมื่อผู้มาเยี่ยมเดินเข้าในห้องประชุมที่คนคุยกันตามปกติ และดนตรีบรรเลงเพลงสนุกสนาน มันทำให้เขาคลายความกลัว เขาจะสังเกตว่าทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน และมีความสุขที่อยู่นั่น เขาจะสังเกตได้ว่าคริสตจักรนี้มีชีวิต

ให้ผู้มาใหม่ร่วมประชุมโดยไม่เป็นจุดสนใจ เมื่อผู้มาใหม่นั่งลงแล้ว เราจะไม่รบกวนเขา หรือทำให้เขาเป็นจุดเด่น เราปล่อยให้เขานั่งดูการนมัสการของเรา โดยไม่ประกาศให้ฝูงชนรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น เราต้องการให้เขารู้ว่าเราต้อนรับเขาโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกจับตามอง

พูดตรง ๆ คือ วิธีที่คริสตจักรมากมายต้อนรับผู้มาใหม่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากกว่าการปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังเสียอีก ผู้มาใหม่เกลียดการเป็นจุดสนใจ (ข้อยกเว้นก็มี นั่นคือ คริสเตียนเป็นผู้มาเยี่ยม) เหตุผลหนึ่งที่คริสตจักรใหญ่ดึงดูดผู้มาใหม่ก็เพราะพวกเขาชอบหลบอยู่เงียบ ๆ ในฝูงชน ส่วนในคริสตจักรเล็ก ๆ ทุกคนรู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร และผู้มาใหม่ก็รู้ว่าทุกคนรู้

ในอเมริกา ความกลัวอันดับหนึ่งคือ การไปงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าส่วนความกลัวอันดับสองคือ การพูดต่อหน้าฝูงชน และความกลัวอันดับสามคือ มีคนถามเรื่องส่วนตัวต่อหน้าสาธารณชน

วิธีที่คริสตจักรหลายแห่งต้อนรับผู้มาใหม่ทำให้พวกเขาเจอสุดยอดความกลัวทั้งสามนี้ในเวลาเดียวกัน ศิษยาภิบาลคิดว่าเขากำลังแสดงความเป็นมิตร เมื่อเขาพูดว่า "โปรดยืนขึ้น และแนะนำตัวสั้น ๆ" แต่เราไม่ได้ตระหนักเลยว่าเมื่อเราทำอย่างนี้ผู้มาใหม่ก็รู้สึกเหมือนถูกสักพันครั้งไปแล้ว

ตอนที่ผมอยู่ในเมือง ฟอร์ท เวิร์ธ เคย์และผมอยู่ในคริสตจักรหนึ่งที่ตัดสินใจจะเปลี่ยนกระบวนนี้เสียใหม่ ดังนั้นแทนที่จะให้ผู้มาใหม่ยืน เขาจึงสลับให้สมาชิกยืนและร้องเพลงต้อนรับผู้มาใหม่ที่ยังนั่งอยู่ คุณนึกภาพออกไหม ในครั้งแรกที่เราไปสมาชิกผลุดยืนขึ้นล้อมรอบ มีแต่คุณน้าอ้วน ๆ ทั้งนั้น แล้วพวกเขาก็เริ่มร้องเพลงให้เราว่า "เรายินดีเหลือเกินที่คุณอยู่กับเราที่นี่ วิเศษจริงที่คุณอยู่ที่นี้…" ผมอยากตายซะเดี๋ยวนั้นเลย เคยมีคนแปลกหน้าร้องเพลงให้คุณไหม ขนาดเวลาภรรยาร้องเพลงให้ผม ผมยังอาย แล้วนี่จะยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน ดังนั้นทุกสิ่งที่คุณทำ คุณต้องคิดให้รอบคอบจากมุมมองของผู้มาเยี่ยม

แม้ว่าหลายครั้งผมจะใช้คำว่า "ผู้มาเยี่ยม" แต่ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราไม่เคยเรียกเขาอย่างนั้น เราเรียกเขาว่า "แขก" คำว่า "ผู้มาเยี่ยม" สื่อความหมายว่าเขาไม่ได้มาเพื่อจะอยู่ที่นี่ แต่คำว่า "แขก" บ่งบอกว่า นี่คือคนที่คุณจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจ

ถ้าคุณให้กรอกข้อมูลในบัตร จงให้ทุกคนกรอก เมื่อทุกคนกรอกเหมือนกัน คนที่มาไม่รู้สึกแปลกแยก เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนทำ

บัตรต้อนรับของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สำคัญยิ่ง เราใช้มันเพื่อประโยชน์มากมาย คือ บันทึกรายชื่อคนมาร่วม บันทึกการตัดสินใจฝ่ายจิตวิญญาณ รวบรวมหัวข้ออธิษฐาน ทำการสำรวจความคิดเห็น รับลงชื่อสำหรับกิจกรรมและรายการต่าง ๆ เฟ้นหาผู้นำ ประเมินผลการนมัสการ หาข้อมูลล่าสุดของสมาชิก ฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการเทศนา และเริ่มพันธกิจใหม่ ๆ มันเป็นห่วงโซ่ที่สำคัญที่ทำให้ผมสามารถจับชีพจรของคริสตจักรที่กำลังเติบโตได้ บัตรเหล่านี้ถ้าคิดตามน้ำหนักก็มีค่าเหมือนทองคำทีเดียว

ผมเคยอ่านบัตรเหล่านี้ทุกใบ ทีละใบ ทุกอาทิตย์ มันช่วยให้ผมจำชื่อทุกคนได้จนเรามีผู้มาร่วม 3,000 คน เดี๋ยวนี้ผมอ่านเฉพาะบัตรที่เขียนเจาะจงถึงผม แต่มันก็ยังเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมผมเข้ากับคริสตจักรเหมือนเดิม ทุกคนรู้ว่าเขาสามารถฝากข้อความถึงผมได้ผ่านทางบัตรต้อนรับนี้

บัตรนี้ยังให้เขาบอกด้วยว่า เขามาครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สาม และผมจะส่งจดหมายขอบคุณที่ต่างกันสำหรับคนเหล่านี้

ผมไม่แนะนำให้คุณผ่านสมุดลงชื่อไปตามที่นั่ง เพราะมันทำให้คนต้องแสดงตัวออกมา ทุกคนที่นั่งใกล้ ๆ สามารถเห็นสิ่งที่ผู้มาใหม่เขียน ยิ่งกว่านั้นการรวบรวมรายชื่อจากสมุดก็ยากกว่าการใช้บัตร เราเก็บบัตรพร้อมกับเงินถวาย ซึ่งทำให้ทุกคนมีของที่จะใส่ลงในถุงถวาย ทันทีที่เดินถุงเสร็จ ทีมรวบรวมข้อมูลก็จะแยกข้อมูล และลงข้อมูลในคอมพิวเตอร์เพื่อเจ้าหน้าที่จะใช้งานได้

กล่าวต้อนรับในลักษณะที่ทำให้คนสบายใจ คำแรกที่กล่าวบนเวทีจะกำหนดบรรยากาศของการนมัสการ ทุกอาทิตย์หนึ่งในทีมศิษยาภิบาลของเราจะพูดลักษณะนี้ คือ "ยินดีต้อนรับสู่แซดเดิลแบ็ค เรายินดีที่คุณมา และถ้าคุณมาเป็นครั้งแรก คุณสามารถนั่งสบาย ๆ ผ่อนคลาย และเพลิดเพลินไปกับรายการที่เราเตรียมไว้สำหรับคุณ"

จงบอกให้คนรู้ว่าเขาสามารถคาดหวังว่า เขาจะเพลิดเพลินกับการนมัสการได้ บอกเขาว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไร และไม่มีใครจะทำให้เขาอับอาย รวมทั้งในการเดินถุงถวาย ให้บอกด้วยว่า "ถ้าคุณเป็นแขกของเรา คุณไม่จำเป็นต้องใส่เงินในถุง นี่สำหรับสมาชิกคริสตจักรของเราเท่านั้น ในฐานะที่คุณเป็นแขกของเรา เราไม่คาดหวังอะไรจากคุณ แต่เราคาดหวังว่าคุณจะได้บางสิ่งบางอย่างจากการนมัสการของเรา"

เริ่มต้นและปิดท้ายการประชุมโดยให้ที่ประชุมโดยให้ที่ประชุมทักทายซึ่งกันและกันและแสดงความรักต่อกัน ดังนั้น เราจึงบอกให้ทุกคนหันไปรอบ ๆ และจับมือทักทายสามคน (หรือสิบ หรือยี่สิบ) ในตอนเริ่มและตอบจบการประชุม

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธรรมเนียมเรียบง่ายนี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นฉันมิตรสหายและครอบครัวระหว่างผู้คนที่ไม่รู้จักกัน บางครั้งผมได้ยินคนพูดกันตอนจบการนมัสการว่า "ดีใจที่ได้นั่งข้าง ๆ คุณวันนี้นะครับ" สำหรับบางคนการแสดงความเป็นมิตรเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้คือการยืนยันความรักครั้งเดียวที่เขาได้รับตลอดสัปดาห์

ในปีแรก ๆ ของแซดเดิลแบ็ค สมาชิกของเราทำสิ่งที่เรียกว่า "กติกาสามนาที" เราเห็นพ้องกันว่าในสมานาทีแรกหลังจบการนมัสการ สมาชิกจะคุยกับคนที่ตนไม่เคยรู้จักเท่านั้น เรื่องนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า คนกลุ่มแรกที่ออกจากที่ประชุมคือผู้มาใหม่ ดังนั้น เราจึงรอจนกระทั่งผู้มาใหม่กลับไปหมดแล้ว แล้วเราจึงค่อยสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน

ถ้าคุณใช้ป้ายชื่อ จงให้ทุกคนติดเหมือนกัน อย่าทำให้ผู้มาใหม่เป็นคนเด่นขึ้นมาโดยให้เขาติดป้ายชื่อ ในขณะที่ไม่มีใครติดเลย หรือแม้แต่ตรงกันข้าม คือ คนอื่นเขามีป้ายชื่อ แต่คุณไม่มีผู้มาใหม่

เตรียมโต๊ะเครื่องดื่มไว้สำหรับการประชุมแต่ละรอบ ผู้มาใหม่จะอยู่นานขึ้นหลังการนมัสการ ถ้าเขามีกาแฟสักถ้วยและขนมสักชิ้น และนี่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกได้พูดคุยกับเขา การกินมักจะทำให้คนผ่อนคลายเวลาเข้าสังคม ผมไม่รู้ว่าทำไมมันได้ผล และจะด้วยเหตุใดก็ตาม ชายหนัก 300 ปอนด์จะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเวลาอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถ้าเขามีถ้วยกาแฟเล็ก ๆ ไว้ปกป้องตัวเอง

ผมประหลาดใจเสมอที่พระเยซูสั่งสอนอะไรมากมายขณะที่คนกำลังเดินหรือกินอาหารกับพระองค์ ผมแน่ใจว่าพระองค์จงใจทำเช่นนั้น กิจกรรมทั้งสองทำให้คนผ่อนคลาย และสลายกำแพงด้านความสัมพันธ์ลง เมื่อคนรู้สึกผ่อนคลาย เขาสามารถฟังได้ดีขึ้น และเขาจะเปิดใจมากขึ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลง

ทำให้สิ่งแวดล้อมมีชีวิตชีวา

อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพล้วนมีส่วนสำคัญมากสำหรับการนมัสการ รูปร่างอาคารของคุณจะกำหนดบรรยากาศการนมัสการ เมื่อคุณเดินเข้าไปในอาคารบางแห่ง อารมณ์คุณก็สดชื่นขึ้นมาทันที ขณะที่คุณเดินเข้าไปในอีกอาคารคุณกลับรู้สึกหดหู่ เช่นเดียวกับรูปร่างของห้องที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ฉับพลัน ส่วนอุณหภูมิและแสงสว่างก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เช่นกัน ขอให้คุณตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้และใช้มันให้เป็นประโยชน์ จงกำหนดว่าคุณต้องการให้การนมัสการมีอารมณ์แบบไหนแล้วก็ลงมือสร้างมัน

ที่รริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราสรุปความรู้สึกที่เราต้องการด้วยคำว่า "เฉลิมฉลอง" ที่นี่ทุกอาทิตย์คือวันอีสเตอร์ ดังนั้นเราจึงวิ่งวุ่นกับการทำให้ไฟสว่าง และสร้างสิ่งแวดล้อมที่เบิกบาน ผู้มาเยี่ยมสามารถสัมผัสบรรยากาศนี้ได้ในวินาทีแรกที่เดิมเข้ามาในอาคาร

จงมองดูอาคารสถานที่ของคุณด้วยสายตาของผู้มาใหม่ และพยายามค้นหาว่าอาคารของคุณกำลังสื่อสารอะไร มันกำลังพูดอะไร ทางเข้าที่เป็นประตูไม้บานใหญ่สื่อสารข้อความต่างจากประตูกระจกไหม แน่นอนครับ มันบอกข้อความที่ต่างกัน

แม้แต่ก่อนที่การนมัสการจะเริ่มขึ้น ผู้เยี่ยมก็ประเมินคุณค่าของคริสตจักรคุณแล้ว ทันทีที่เขาลงจากรถ พวกเขาก็เริ่มค้นหาเงื่อนงำต่าง ๆ โดยการกวาดสายตาดูอาคารสถานที่ของคุณ บริเวณรอบ ๆ ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีไหม หญ้าตัดไว้เรียบร้อยไหม พุ่มไม้ได้รับการตัดแต่งไหม มีเศษขยะตกหล่นบนพื้นไหม ป้ายคริสตจักรต้องทาสีใหม่ไหม ความสะอาดดึงดูด แต่ความสกปรก กับบริเวณและอาคารที่ไม่ได้รับการดูแลจะขับไล่คนออกไป

บางครั้งข้อความที่อาคารสถานที่บอกก็ขัดแย้งกับข้อความที่คริสตจักรคุณต้องการบอก คุณอาจพูดว่า "เราเป็นมิตร" แต่อาคารของคุณอาจพูดว่า "เราเย็นชาและไม่เป็นส่วนตัว" พอคุณอ้างว่า "เราทันสมัย" อาคารของคุณอาจแผดเสียงก้องว่า "เราล้าสมัยไปห้าสิบปีแล้ว" มันยากที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่า "เรามีเอกภาพ" ถ้าอาคารคุณกำลังแตกร้าว

ปัญหาอย่างหนึ่งในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมของคริสตจักรคือ คุณมักจะมองข้ามข้อบกพร่องต่าง ๆ อาคารและบริเวณ และถ่ายภาพจากมุมมองของผู้มาใหม่และนำภาพเหล่านั้นไปให้ผู้นำดู เพื่อตัดสินใจว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ศิษยาภิบาลส่วนมากไม่เคยมองห้องประชุมของตนจากที่นั่งแถวหลัง ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่คุณต้องใส่ใจใกล้ชิดได้แก่ ระบบไฟ ระบบเสียง ที่นั่ง ที่ว่าง อุณหภูมิ ต้นไม้ ห้องเลี้ยงเด็ก และห้องสุขา

ระบบไฟ แสงสว่างมีผลลึกซึ้งกับอารมณ์ของคน ห้องที่สว่างไม่พอจะทำให้จิตวิญญาณในการประชุมหดหู่ เงาที่ทอดผ่านใบหน้าพูดก็จะทำให้คำพูดมีอิทธิพลน้อยลง

คริสตจักรส่วนมากมืดเกินไป ไม่รู้ว่าต้องการทำให้บรรยากาศเหมือนในอดีตครั้งเมื่อคริสเตียนนมัสการกันในโพรงใต้ดินหรือเปล่า แม้แต่คริสตจักรที่มีหน้าต่างมากมายก็มักเอาม่านไปบังแสงไว้ จะด้วยเหตุใดก็ตาม คริสตจักรหลายแห่งใจไปว่าแสงสลัว ๆ จะก่อให้เกิดความรู้สึก "ฝ่ายวิญญาณ" มากขึ้น ผมไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย

ผมเชื่อว่าอาคารคริสตจักรควรจะสดใสและเต็มด้วยแสงสว่าง พระลักษณะของพระเจ้าสำแดงออกด้วยแสงสว่าง 1 ยอห์น 1:5 กล่าวว่า "พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย" ความสว่างคือสิ่งแรกสุดที่พระองค์เนรมิตสร้าง (ปฐมกาล 1:3) ปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าพระเจ้าต้องการตรัสกับคริสตจักรนับพัน ๆ แห่งว่า "จงเกิดความสว่าง"

ถ้าคุณต้องการจะปลุกการนมัสการของคุณ จงทำให้สภาพแวคล้อมของคุณสดใส เอาม่านออกไปจากห้องต่าง เปิดหน้าต่างและประตูให้กว้าง เปิดไฟให้หมดทุกดวง สัปดาห์นี้ให้คุณแอบเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดในห้องนมัสการ ใช้หลอดที่สว่างเป็นสองเท่า แล้วสังเกตว่าอารมณ์การนมัสการวันอาทิตย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง การฟื้นฟูอาจอยู่ในมือคุณก็ได้

ระบบเสียง จงลงทุนกับเครื่องเสียงที่ดีที่สุดที่คุณสามารถจ่ายได้ ถ้าคุณอยากลดค่าใช้จ่ายให้ตัดรายจ่ายอื่น อย่าขี้ตืดกับเรื่องเครื่องเสียง แซดเดิลแบ็คเติบโตตลอดสิบห้าปีโดยไม่มีอาคารของตนเอง แต่เรามีเครื่องเสียงระดับสุดยอดเสมอ

มันไม่สำคัญว่าคำเทศนาจะเร้าใจแค่ไหน ถ้าคนไม่สามารถฟังมันอย่างรื่นหูเครื่องเสียงที่เสียงเหมือนกะละมังหรือมีคลื่นแทรกรบกวนสามารถลดคุณค่าของนักดนตรีชั้นเลิศ และสามารถทำลายศักยภาพของนักเทศน์ที่ล้ำลึกที่สุดได้ และไม่มีอะไรทำลายช่วงเวลาสงบใจได้เร็วกว่าเสียงลำโพงหอนแสบแก้วหู ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาลให้คุณยืนกรานให้คริสตจักรซื้อไมโครโพนห้อยคอ (หรือเหน็บกับเสื้อ) เพื่อคุณจะไม่ต้องถูกใส่กุญแจมือติดกับธรรมาสน์

ที่นั่ง ที่นั่งที่สบายและการจัดที่นั่งมีผลต่ออารมณ์ของการนมัสการอย่างไม่น่าเชื่อ จิตใจสามารถซึมซับได้เท่าที่ก้นทนไหวเท่านั้น ที่นั่งที่อึดอัดคือสิ่งที่มารชอบใช้

ถ้าคุณเปลี่ยนม้านั่งยาวในโบสถ์ได้ ผมก็ขอแนะนำให้ทำอย่างนั้น ในปัจจุบันสถานที่ที่คนถูกบังคับให้นั่งบนม้านั่งก็มีเพียงคริสตจักรและที่นั่งราคาถูกในสนามกีฬาเท่านั้น เดี๋ยวนี้คนคาดหวังจะมีที่นั่งส่วนตัว สังคมของเรา (อเมริกา) ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวมาก ที่นั่งชมกีฬาในห้องพิเศษจึงมีราคาแพง ถ้าคนถูกบังคับให้นั่งใกล้คนอื่นมากเกินไป เขาจะรู้สึกอัดอัมมาก ต้องมีที่ว่างอย่างน้อย 18 นิ้วระหว่างแต่ละคนถ้าคุณใช้เก้าอี้เดี่ยว และต้องมี 21 นิ้วถ้าคุณใช้ม้านั่ง

ถ้าคุณใช้เก้าอี้ที่ยกเก็บได้ ให้คุณจัดเก้าอี้ในลักษณะที่แต่ละคนสามารถเห็นหน้าคนอื่นได้ นี่จะทำให้การตอบสนองในการนมัสการดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ ถ้าคุณกำลังเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ ให้คุณจัดเก้าอี้ไว้น้อยกว่าความจำเป็นเล็กน้อย เพราะมันจะให้กำลังใจกับคนของคุณเมื่อเขาต้องยกเก้าอี้มาเสริม แต่มันจะทำให้ท้อใจมากถ้าคุณนมัสการท่ามกลางเก้าอี้ว่างเปล่า

ที่ว่าง กติกาสำคัญที่สุดเกี่ยวกับที่ว่างคือ อย่ามีว่างมากหรือน้อยเกินไป ทั้งสองอย่างจะจำกัดการเติบโตของคริสตจักร เมื่อการประชุมของคุณมีคนมาร่วม 80 % ของที่นั่ง ก็ถึงเวลาที่คุณต้องเริ่มการนมัสการอีกรอบ เหตุผลประการหนึ่งที่คริสตจักรหลายแห่งหยุดเติบโต คือ พวกเขาคิดว่าเขายังไม่จำเป็นต้องเพิ่มการนมัสการอีกรอบเพราะยังมีที่ว่างอีกเล็กน้อย เมื่อที่ว่างของคุณหมดลง คุณก็จะประสบกับสิ่งที่ปีเตอร์แวกเนอร์เรียกว่า "การบีบรัดทางสังคมวิทยา" อาคารเล็ก ๆ สามารถบีบรัดการเติบโตของคริสตจักรได้

และคุณอาจมีที่ว่างมากเกินไปก็ได้ คริสตจักรมากมายมีอาคารที่ใหญ่โตเกินกว่าจะมีคนมานั่งเต็ม แม้ว่าคุณจะมีคนถึง 200 แต่ถ้าที่ประชุมของคุณมีที่นั่งสำหรับ 750 มันก็ทำให้รู้สึกเหมือน "ที่นี่ไม่มีคนเลย" และมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นและใกล้ชิด เมื่อมีเก้าอี้ว่างมากกว่าคนที่เข้ามา แรงผลักดันสำคัญในการเติบโตจะสูญหายไปเมื่ออาคารของคุณใหญ่เกินไป

ยิ่งฝูงชนมีขนาดเล็กเท่าใด ผู้พูดก็ยิ่งต้องอยู่ใกล้พวกเขาเท่านั้น เมื่อฝูงชนของคุณเพิ่มมากขึ้น แท่นหรือธรรมาสน์ก็สามารถถอยห่างออกไป และยกขึ้นบนเวทีได้ ถ้าคุณมีแค่ 50 คนในการนมัสการ ให้คุณตั้งแท่นวางห่างจากที่นั่งแถวแรกไม่กี่ฟุตก็พอ แล้วก็ไม่ต้องคิดจะให้มีเวทีด้วย

อุณหภูมิ ในฐานะศิษยาภิบาลที่เป็นปี ๆ ในโรงยิมที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ และในเต็นท์ที่ไม่มีเครื่องทำความร้อน ผมขอบอกเรื่องนี้ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง คือ อุณหภูมิสามารถทำลายการประชุมที่วางแผนมาอย่างดีที่สุดได้ภายในไม่กี่นาทีเมื่อคนรู้สึกร้อนหรือหนาวเกินไปเขาจะหยุดมีส่วนร่วม ความคิดเขาจะเตลิดเปิดเปิงและเริ่มหวังว่ารายการทุกอย่างจะจบลงเร็ว ๆ

ในเรื่องอุณหภูมินี้ ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือ การปล่อยให้อุณหภูมิอุ่นเกินไป เจ้าหน้าที่ปรับอุณหภูมิไว้ที่ระดับพอเหมาะก่อนการนมัสการ โดยไม่ตระหนักว่าเมื่อที่ประชุมเต็มด้วยฝูงชน ความร้อนจากร่างกายจะทำให้อุณหภูมิห้องสูงขึ้นจนรู้สึกได้ และกว่าเครื่องปรับอากาศจะทำให้ทั้งห้องเย็นลง ก็เกือบจบการนมัสการแล้ว

ก่อนจะเริ่มนมัสการ ให้คุณปรับอุณหภูมิไว้ต่ำกว่าระดับสบาย ๆ สักสองสามองศา ทำให้ที่ประชุมเย็นลงก่อนที่ผู้คนจะเข้ามา และเมื่อการประชุมเริ่มขึ้นอุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับอุณหภูมิให้ค่อนข้างเย็นยังช่วยให้ทุกคนไม่ง่วงนอนด้วย

ต้นไม้ ผมหนุนใจให้คุณประดับอาคารสถานที่ด้วยต้นไม้และพืชพันธุ์เขียดสดตลอดหลายปี เราขนเฟิร์นและต้นไม้เล็ก ๆ เข้าออกห้องประชุมที่เราเช่าทุก ๆ สัปดาห์ต้นไม้พวกนี้พูดว่า "อย่างน้อยที่นี่ก็ มีบางอย่าง มีชีวิต"

ผมเชื่อว่าคุณเคยได้ยินคนพูดว่า "ฉันรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้าเมื่อผมอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ" เรื่องนี้ไม่ได้เกินความเข้าใจเลย เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา พระองค์ไม่ได้ให้เขาอยู่ในตึกระฟ้า ท่ามกลางคอนกรีตและยางมะตอย พระองค์ให้พวกเขาอยู่ในสวน ความงามตามธรรมชาติแห่งการทรงสร้างจะทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจ ได้ผ่อนคลาย และรับการฟื้นฟูจิตใจ ผู้คนจะสามารถจินตนาการภาพอันสดชื่นของริมน้ำแดนสงบและหญ้าเขียวสดได้อย่างง่ายดาย

ข้อควรจำอีกประการคือ จงระวังอย่าใช้สัญลักษณ์ทางศาสนา หรือสัญลักษณ์ที่ดูลึกลับน่าเกรงขามมากเกินไป ทุกคนรู้ว่าไม้กางเขนคืออะไร แต่คนไม่เชื่อจะรู้สึกสับสนกับถ้วยน้ำองุ่น มงกุฏ และนกพิราบที่มีไฟออกมาจากหาง

ห้องเลี้ยงเด็กที่สะอาดและปลอดภัย ถ้าคุณต้องการเข้าถึงครอบครัวคนหนุ่มสาว คุณจำเป็นต้องมีห้องเลี้ยงเด็กอ่อนที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ไม่ควรมีถังใส่ไม้ถูพื้นวางอยู่มุมห้อง และเขาเด็กเล่นก็ควรทำความสะอาดทุกสัปดาห์

สุขาสะอาด ผู้มาเยี่ยมอาจลืมคำเทศนา แต่กลิ่นฉุนในห้องน้ำจะอยู่ในความทรงจำไปนานแสนนาน คุณสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับจิตสำนึกของคริสตจักร โดยการตรวจดูสภาพห้องสุขา

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ คริสตจักรมากมายจำเป็นต้องมีอาคารใหม่ทั้งหลังพวกเขาจะไม่มีวันนำชุมชนของเขามาหาพระเจ้าได้ในอาคารที่เขาใช้อยู่ ศิษยาภิบาลคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังด้วยความผิดหวังว่า เขาได้อธิษฐานว่า "พระเจ้า โปรดให้ไฟตกลงมาเถิด"

เมื่อครั้งเพื่อนของผม แลร์รี เดอวิทท์ ได้รับเชิญเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรหนึ่งทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย เขาได้ไปเห็นอาคารคริสตจักรเล็ก ๆ ตีฝาด้วยไม้กระดาน ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง แลร์รี่รู้ว่าอายุและลักษณะของตัวอาคารเป็นอุปสรรคในการนำชุมชนนั้นมาหาพระเจ้า เขาบอกผู้นำคริสตจักรว่าเขาจะยอมทำหน้าที่ศิษยาภิบาลก็ต่อเมื่อพวกเขาย้ายออกจากอาคารหลังนั้น และเริ่มนมัสการกันในร้านอาหาร และสมาชิกก็เห็นด้วย

ปัจจุบัน หลังจากย้ายสถานที่มาหลายแห่ง คริสตจักรแห่งนี้มีผู้มาร่วมประชุมหลายพันคน คริสตจักรนี้จะไม่มีการเติบโตขนาดนี้ ถ้าพวกเขาอยู่ในอาคารหลังเดิมต่อไป อย่างที่ผมกล่าวในบทที่ 1 รองเท้าต้องไม่กำหนดเท้าจะโตได้แค่ไหน นับเป็นเวลา 13 ปี ที่แซดเดิลแบ็คใช้โรงเรียนมัธยมหลาย ๆ แห่งสำหรับการประชุมเพื่อผู้สนใจและเพื่อจะใช้สถานที่เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราจัดให้มีเจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพสองชุด ชุดแรกจะมาตอน 6 โมงเช้า และจัดห้องเรียน 42 ห้องและอีกชุดหนึ่งสำหรับโรงยิม เจ้าหน้าที่จัดเตรียมจะวาดผังห้องเรียนแต่ละห้องบนกระดานก่อนที่จะเคลื่อนย้ายอะไร เพื่อทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิมได้เมื่อเจ้าหน้าที่จัดเก็บมาทำงานตอนบ่ายโมง ภายหลังการนมัสการทุกรอบจบลง ทุกอาทิตย์เราดูดฝุ่นห้องเรียนทุกห้องสองครั้ง ครั้งหนึ่งตอนเช้าตรู่ และอีกครั้งหลังจากเราใช้เสร็จ มันเป็นงานหนัก แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของการเติบโต

เป้าหมายของทุกสิ่งที่เราทำก็เพื่อให้สิ่งแวดล้อมสดใสขึ้น เหมือนดังที่เปาโลพูดใน ทิตัส 2:10 "…เพื่อว่าในการทั้งปวงนั้น เขาจะได้เทิดทูนเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา" (ภาษาอังกฤษบางฉบับว่า "เพื่อทำให้พระดำรัสสอนเกี่ยวกับพระเจ้าน่าดึงดูด")

สร้างบรรยากาศที่ดึงดูด

บรรยากาศคือความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด แต่คุณก็รับรู้มันได้อย่างชัดเจนเมื่อคุณเดินเข้าไปในการนมัสการ บ่อยครั้งเราเรียกมันว่า "จิตวิญญาณ" หรือ "อารมณ์" หรือ "ความรู้สึก" ของการนมัสการ ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าอะไร บรรยากาศย่อมมีอิทธิพลต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนมัสการของคุณ และมันอาจเกื้อหนุนวัตถุประสงค์ของคุณ หรืออาจขัดขวางสิ่งที่คุณต้องการบรรลุผลก็ได้

ถ้าคุณไม่จงใจกำหนดลักษณะบรรยากาศตามที่ต้องการ ก็เท่ากับคุณปล่อยให้มันขึ้นอยู่กับความบังเอิญ ที่แซดเดิลแบ็คเราอธิบายบรรยากาศที่เราพยายามสร้างด้วยคำ 6 คำ

ความคาดหวัง บ่อยครั้งที่ผู้มาเยี่ยมแสดงความคาดหวังเกี่ยวกับการนมัสการของเราว่า พวกเขาสัมผัสถึงความคาดหวังท่ามกลางผู้คน ในช่วงแรกของการนมัสการแต่ละรอบมีความกระตือรือร้นแผ่นซานไปทั่ว และมันบอกเขาว่า "กำลังจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น" ผู้คนสัมผัสถึงความตื่นเต้น พลัง และจิตวิญญาณแห่งความคาดหวังในการมาอยู่ร่วมกัน สมาชิกเองก็สัมผัสว่าพระเจ้าอยู่กับเรา และชีวิตคนมากมายกำลังจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

อะไรทำให้เกิดจิตวิญญาณแห่งความคาดหวังนี้ มันเกิดจากปัจจัยหลายอย่างคือ สมาชิกอธิษฐานเพื่อการนมัสการมาตลอดสัปดาห์ สมาชิกที่กระตือรือร้นพาเพื่อนมาคริสตจักร ดนตรีแบบเฉลิมฉลอง และความเชื่อของผู้นำรายการการนมัสการ

คำอธิษฐานเปิดของคุณควรแสดงให้ผู้คนเห็นว่า พระเจ้าจะสถิตอยู่ในการนมัสการ และความต้องการของพวกเขาจะได้รับการตอบสนอง ความคาดหวังเป็นอีกคำที่ใช้เรียกความเชื่อ พระเยซูตรัสว่า "ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด" (มัทธิว 9:29)

การเฉลิมฉลอง สดุดี 100:2 กล่าวว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยินดี จงเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยการร้องเพลง" เพราะพระเจ้าต้องการให้การนมัสการเป็นการเฉลิมฉลอง เราจึงสร้างบรรยากาศที่เบิกบานและเต็มด้วยชื่นชมยินดี แต่การนมัสการของคริสตจักรหลายแห่งคล้ายงานไว้อาลัยมากกว่าเทศกาลรื่นเริง สาเหตุสำคัญมักจะเป็นเพราะการแสดงออกของผู้นำนมัสการ เวลาผมร่วมนมัสการในบางคริสตจักร ผมรู้สึกอยากถามผู้นำนมัสการว่า "คุณเคยยิ้มบ้างหรือเปล่า"

การนมัสการเป็นความชื่นบาน ไม่ใช่หน้าที่ เราชื่นชมยินดีเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า (สดุดี 21:6) ในสดุดี 42:4 ดาวิดหวนระลึกได้ว่า "...คือข้าพระองค์ไปกับประชาชน และนำเขาไปเป็นกระบวนแห่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง" การนมัสการของคุณล่ะเป็นอย่างนั้นหรือไม่

การหนุนใจ ฮีบรู 10:25 กล่าวว่า "อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว" โลกนี้มีข่าวร้ายมากพอแล้ว ผู้คนต้องการสถานที่ที่เขาจะได้ฟังข่าวดี

เราต้องการให้การนมัสการเป็นการให้กำลังใจ ไม่ใช่ทำให้คนหมดกำลังใจแม้แต่ในเวลาที่คำเทศนาเป็นการเผชิญหน้า เราก็ยังเริ่มต้นในแง่บวกและจบลงในแง่บวก เมื่อคุณใช้วิธีให้กำลังใจ คุณสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้เร็วกว่าการใช้คำวิพากษ์วิจารณ์หลายเท่า ลองศึกษาพระราชกิจของพระเยซูและคุณจะเห็นว่าพระองค์ใช้วิธีให้กำลังใจอย่างช้ำชองเพียงไร เพื่อจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกจากผู้คน

การมีส่วนร่วม เนื่องจากขนาดของเรา เราจึงต้องทำงานหนักเพื่อจะสร้างบรรยากาศแบบครอบครัวในการนมัสการ ลักษณะที่เราทักทายกันตอนเริ่มและตอนจบ ลักษณะที่ผู้อยู่บนเวทีพูดกัน และลักษณะที่ศิษยาภิบาลพูดกับฝูงชน สิ่งเหล่านี้บอกผู้คนว่า "เราเป็นครอบครัว เราอยู่ร่วมกันที่นี่ ที่นี่เป็นของคุณ"

ผมชอบ 1 เปโตร 3:8 ในฉบับลิฟวิ่งไบเบิลที่กล่าวว่า "ท่านทั้งหลายควรเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ที่แสนสุข เต็มด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อกันและกัน รักซึ่งกันและกันด้วยจิตใจอ่อนโยน และความคิดที่อ่อนน้อม" ในโลกที่นับวันควรมสัมพันธ์ส่วนตัวจะยิ่งลดน้อยลง ผู้คนกำลังมองหาสถานที่ที่เขาสามารถรู้สึกว่าเขาเป็นของที่นั่น

การฟื้นฟูชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องหนัก ทุกสัปดาห์ ผมมองดูใบหน้าของคนนับพันที่ถูกโลกทุบตีมาตลอดสัปดาห์ พวกเขามาอย่างคนหมดไฟทั้งด้านจิตวิญญาณและอารมณ์ งานของผม คือ การเชื่อมต่อสายไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ฝ่ายวิญญาณเพื่อให้พวกเขารับพลังฟื้นฟูชีวิตจากพระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อมและจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก" (มัทธิว 11:28-29)

จุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งของการนมัสการประจำสัปดาห์คือ ให้คนได้รับการฟื้นฟูฝ่ายจิตวิญญาณ และได้รับการเติมพลังด้านอารมณ์ เพื่อเผชิญสัปดาห์ใหม่ที่จะมาถึง พระเยซูยืนยันว่า "วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้เพื่อวันสะบาโต" (มาระโก 2:27) เวลาผมเตรียมคำเทศนา ผมอธิษฐานเสมอว่า "พระบิดาเจ้า ในเช้าวันอาทิตย์โปรดช่วยให้ข้าพระองค์พูดสิ่งที่จะทำให้ผู้ฟังพร้อมที่จะเผชิญเช้าวันจันทร์"

ผมวาดภาพคริสตจักรเป็นเหมือนกับแหล่งน้ำร่มรื่นกลางทะเลทรายแห้งผากพระเจ้าทรงเรียกเราให้หยิบยื่นน้ำธำรงชีวิตเพื่อดับความกระหายของผู้คนรอบข้างเราที่กำลังจะอดน้ำตาย

ผู้คนต้องการผ่อนคลายจากโลกที่วุ่นวายกับการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ด้วยเหตุนี้เราจึงใช้อารมณ์ขันในการนมัสการ "ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี" การทำให้คนอื่นรู้สึกดีไม่ใช่ความบาป การสอนให้คนหัวเราะให้แก่ตัวเองและปัญหาของตนไม่เพียงจะผ่อนคลายภาระของเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงด้วย

ผมเชื่อว่าปัญหาสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งท่ามกลางคริสเตียนก็คือ เราทำตรงกันข้าม เราจริงจังกับตนเองมากเกินไป แต่ไม่จริงจังกับพระเจ้ามากพอ พระองค์สมบูรณ์แต่เราไม่ มันไม่ใช่ความบังเอิญที่ในภาษาอังกฤษ คำว่า อารมณ์ขัน (humor) กับความถ่อมใจ (humility) มีรากศัพท์จากคำเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเรียนรู้จักหัวเราะให้แก่ตัวเอง คุณก็จะมีอะไรมากมายที่ทำให้คุณมีความสุข

การปลดปล่อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น" (2 โครินธ์ 3:17) ในการนมัสการของเรา เราหลีกเลี่ยงความอึดอัด รูปแบบทางการ และการเสแสร้งทุกรูปแบบ ตรงกันข้าม เราสร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ ผ่อนคลาย และเป็นมิตร เราพบว่าการนมัสการที่ไม่เป็นทางการ ไม่มีการเสแสร้ง จะปลดความกลัวและการปกป้องตัวเองจากคนไม่เชื่อ

คนจะรู้สึกประหม่าในการประชุมที่เป็นทางการมากกว่าในการประชุมที่ไม่เป็นทางการ นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่คุณต้องจำไว้ ถ้าคุณสนใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน การนมัสการแบบเป็นทางการและพิธีการจะทำให้ผู้มาเยี่ยมกังวลว่า "เขาอาจทำอะไรผิด" มันทำให้เขาระวังตัว ผมเชื่อว่าคุณก็รู้สึกแบบนั้นเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไรในการประชุมสาธารณะที่แปลกใหม่สำหรับคุณ

เมื่อผู้คนระวังตัว เขาจะสร้างเกราะกำบังทางอารมณ์ เนื่องจากเราต้องการสื่อสารกับคนไม่เชื่อ หน้าที่แรกของเราจึงเป็นการลดความกังวลของพวกเขา เพื่อเขาจะลดเกราะป้องกันตัวลง และเมื่อพวกเขาผ่อนคลาย เขาก็จะเลิกคิดถึงตนเอง และจะสามารถปรับความคิดให้เข้ากับคำเทศนาได้

สำหรับผู้ไม่เชื่อหลายคนในอเมริกา คำว่า ไม่เป็นทางการ มีความหมายเหมือนกับคำว่า เป็นของแท้ ขณะที่คำว่า เป็นทางการ บ่งบอกว่า ไม่จริงใจ และจอมปลอมโดยเหตุนี้เราจึงไม่เรียกศิษยาภิบาลด้วยตำแหน่งสูงส่ง ที่คริสตจักรไม่มีใครเรียกผมว่า "ดร. วอร์เรน" เขาเรียกว่า "ริค"

และเราไม่มีเครื่องแบบด้วย ศิษยาภิบาลแต่งตัวตามสบายเหมือนทุกคนที่มาร่วมนมัสการ การสำรวจของนิตยสาร จีคิว เมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันชายอเมริกันร้อยละ 25 มีสูท ผมไม่ได้สวมสูทเทศนาที่แซดเดิลแบ็คมาหลายปีแล้ว

สิ่งที่คนสวมใส่เวลามาคริสตจักรเป็นเรื่องวัฒนธรรม ไม่ใช่เรื่องศาสนศาสตร์ดังนั้น เราจึงไม่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่เราแน่ใจได้คือ พระเยซูไม่เคยสวมสูทและผูกเน็คไท ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการเหมือนพระคริสต์

พิมพ์ลำดับรายการนมัสการอย่างเรียบง่าย

ผู้มาเยี่ยมไม่รู้จะคาดหวังอะไรเมื่อเขามาคริสตจักรของคุณ และนั่นทำให้เขากระวนวาย ลำดับรายการที่พิมพ์แจกพวกเขาคือ การบอกเขาว่า "ที่นี้ไม่มีเรื่องให้ตื่นตกใจ" การบอกคนไม่เชื่อว่าคุณกำลังจะทำอะไร จะช่วยให้เขาผ่อนคลายและลดการป้องกันตัวเองลง

อธิบายรายการด้วยคำธรรมดา ๆ ถ้าผู้มาใหม่ไม่สามารถเข้าใจลำดับรายการก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพิมพ์รายการ ถ้าคุณใช้ศัพท์เฉพาะของคริสเตียน มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพิมพ์ภาษาบาลีลงในสูจิบัตร

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราใช้คำธรรมดา ๆ เช่น "อธิษฐานปิดการประชุม" แทนคำว่า "อธิษฐานขอพระพร" เราใช้คำว่า "มอบคืนแด่พระเจ้า" แทนคำว่า "ถวายทรัพย์" หรือ "ถวายสิบลด" เราใส่ใจกับการทำให้ผู้ไม่เชื่อเข้าใจชัดเจน มากกว่าการทำให้คนมีความรู้ประทับใจ

พิมพ์คำอธิบายไว้ด้วย เมื่อคุณไปชมอุปราการหรือละครซึ่งเข้าใจยาก ๆ ผู้จัดมักจะพิมพ์คำอธิบายไว้ในรายการ ให้คุณบอกผู้มาใหม่ว่าทำไมคุณทำสิ่งนี้ในการนมัสการสูจิบัตรของเรามีคำอธิบายบัตรต้อนรับ การถวายทรัพย์ ช่วงเวลามอบถวายชีวิต และส่วนอื่น ๆ ของการนมัสการ

ลดการประกาศข่าวลงให้น้อยที่สุด

ยิ่งคริสตจักรคุณใหญ่ขึ้นเท่าไร คุณก็ยิ่งมีข่าวให้ประกาศมากเท่านั้น ถ้าคุณไม่มีนโยบายชัดเจนว่าอะไรควรและไม่ควรประกาศต่อที่ประชุม คุณก็จะลงเอยด้วยการใช้เวลายาวนานไปกับการประกาศข่าว คุณจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร

ฝึกสมาชิกให้อ่านสูจิบัตร ให้คุณพูดทำนองนี้ว่า "สัปดาห์นี้เรามีรายการพิเศษสำหรับบุรุษ หนุ่มสาวที่ยังโสด และนักเขียนมัธยมต้น อย่าลืมอ่านในสูจิบัตรนะครับว่ามีรายการอะไรสำหรับคุณบ้าง" พูดแค่นี้ก็พอ

ประกาศเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ทุกครั้งที่คุณประกาศรายการที่เกี่ยวกับคนกลุ่มหนึ่ง คนที่เหลือก็จะเลิกสนใจ และในไม่ช้าก็จะไม่มีใครฟังสักคนอย่าทำให้ทุกคนเสียเวลากับการนั่งฟังสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนน้อยในคริสตจักร

หลีกเลี่ยงการขอความช่วยเหลือจากหน้าธรรมาสน์ ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจคุณต้องขอความช่วยเหลือจากหน้าธรรมาสน์ให้น้อยที่สุด การขอความช่วยเหลือเป็นส่วนตัวจะได้ผลดีกว่า

อย่าตกลงธุรกิจภายในระหว่างการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ให้คุณทำอย่างนั้นในการนมัสการสำหรับผู้เชื่อ ผมรู้จักคริสตจักรหนึ่งที่ขอให้ผู้มาเยี่ยมทุกคนออกไปในช่วงท้ายการนมัสการ เพื่อสมาชิกจะตกลงธุรกิจกันได้ การทำเช่นนั้นไม่เป็นมิตรกับผู้มาใหม่เลย

ประเมินผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ทุกเช้าวันจันทร์หลังจากการแข่งขัน นักอเมริกันฟุตบอลอาชีพจะมานั่งดูเทปบันทึกการแข่งขันของวันอาทิตย์ เพื่อจะรู้ว่าอาทิตย์หน้าเขาจะเล่นอย่างไรให้ดีขึ้น เราควรใส่ใจการนมัสการของเรามากยิ่งกว่านักกีฬาเหล่านี้ พวกเขาแค่เล่นเกม แต่เราไม่ใช่

คริสตจักรที่กำลังเติบโตควรถามอยู่เสมอว่า "เราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร" พวกเขาไม่มีความเมตตาในการประเมินผลการนมัสการและพันธกิจของตน การประเมินผลคือ กุญแจสู่ความเป็นเลิศ คุณต้องตรวจสอบแต่ละรายการเสมอ และประเมินว่ามันมีประสิทธิผลเพียงไร

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค มีเครื่องมือสามอย่างที่ช่วยเราระเมินผลคือ บัตรความประทับใจครั้งแรก บัตรต้อนรับ และใบประเมินผลการนมัสการ ทั้งสามช่วยให้เราได้รับการตอบสนองที่แสนมีค่า ซึ่งเป็นเคล็ดลับของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

บัตรความประทับใจครั้งแรกบอกการตอบสนองของผู้ที่มาเป็นครั้งแรก ช่วยให้เรามองการนมัสการจากมุมมองของเขา บัตรต้อนรับบอกการตอบสนองของผู้ที่มาสม่ำเสมอและสมาชิก เราได้รับคำแนะนำและเคล็ดลับต่าง ๆ จากผู้ชมเสมอมาและในใบประเมินผลการนมัสการ เราได้รับการตอบสนองจากทีมงาน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ที่จอดรถจนถึงสูจิบัตร และตั้งแต่โต๊ะเครื่องดื่มจนถึงเพลงและคำเทศนา

ใน 1 โครินธ์ 14:40 เปาโลสรุปคำสั่งสอนสำหรับการนมัสการสำหรับผู้สนใจว่า "แต่จงปฏิบัติทุกสิ่งตามระเบียบวินัยเถิด" (หรือ ให้เหมาะสมและเป็นระเบียบ) พระคัมภีร์ข้อนี้หมายความว่า การวางแผน การประเมินผล รวมทั้งการปรับปรุงการนมัสการนั้น เป็นการกระทำท่่ถูกต้อง เราต้องทำสุดความสามารถทั้งในการนมัสการพระเจ้าและประกาศกับผู้คน

จำไว้ว่าคุณกำลังปรนนิบัติใคร

คุณอาจรู้สึกว่าคำแนะนำที่ผมให้นี้มันช่างมากมายเหลือเกิน แต่จำได้ไหมครับว่า นี่เป็นความคิดที่สำคัญ แต่ไม่ใช่ข้อบังคับ และอย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่าองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดคือ การปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อด้วยความรักและเคารพ การเชื่อมโยงการนมัสการเข้ากับความต้องการของพวกเขา และการเทศนาในลักษณะที่เน้นการปฏิบัติและที่พวกเขาเข้าใจได้

การนมัสการที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้สนใจเป็นงานหนัก คุณต้องใช้กำลัง ความคิดสร้างสรรค์ ความทุ่มเท เวลา เงิน และการตระเตรียมมากมายมหาศาล เพื่อจะทำรายการออกมาสัปดาห์เล่า ทำไมต้องเดือดร้อนกับเรื่องเหล่านี้ด้วย ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะเชื่อมช่องว่างทางวัฒนธรรม ระหว่างคริสตจักรกับคนไม่เชื่อ เหมือนดังที่เปาโลกล่าวว่า เราทำทั้งหมดนี้ "เพราะเห็นแก่พระเยซู" (2 โครินธ์ 4:5)

คุณต้องรู้ว่าทำไมคุณทำสิ่งที่คุณทำอยู่ มิเช่นนั้นคุณก็จะพ่ายแพ้เพราะท้อแท้ใจ ผมยังจำได้ถึงวันอาทิตย์หนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว เรากำลังเตรียมโรงเรียนมัธยมสำหรับการนมัสการสุดสัปดาห์ และจะเพราะเหตุใดก็ตาม ครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตระเตรียมยังมาไม่ถึง ขณะที่ผมขนอุปกรณ์สำหรับห้องเลี้ยงเด็กจากรถบรรทุกไปยังห้องเรียนที่อยู่อีกฟาก ผมก็เกิดท้อแท้ใจอย่างรุนแรง

ซาตานเริ่มยิงลูกศรแห่งการสงสารตัวเองใส่ผม คือ ความคิดที่ว่า ทำไมคุณต้องมาทำงานตระเตรียมและเก็บกวาดพวกนี้ ขณะที่ศิษยาภิบาลคนอื่น ๆ ทำเพียงแค่มาปรากฏตัว พวกเขาแค่เดินเข้าไปในอาคารของตน ศิษยาภิบาลส่วนมากไม่ต้องมายุ่งกับงานพวกนี้เลย แต่คุณต้องทำงานพวกนี้เป็นปี ๆ

ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการสงสารตัวเองนั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สะกิดไหล่ผม แล้วถามว่า "เฮ้ ริค แล้วทั้งหมดนี้เจ้าทำเพื่อใครล่ะ" ผมหยุด ยืนนิ่งอยู่กลางลานจอดรถ เริ่มร้องไห้ และย้ำเตือนตนเองว่า ผมกำลังทำสิ่งที่ผมกำลังทำเพราะเห็นแก่พระเยซู และสิ่งที่ผมทำเทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อผม"

"ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ ท่านปรนนิบัติพระคริสต์อยู่" (โคโลสี 3:23-24)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น