วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

บทที่ 15 เลือกแนวดนตรีของคุณ

พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า…
คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัวและวางใจในพระเจ้า
สดุดี 40:3

คนมักถามผมบ่อย ๆ ว่า ถ้าผมมีโอกาสเริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็คใหม่ ผมจะทำอะไรที่ต่างจากเดิม คำตอบของผมคือ ตั้งแต่วันแรกของคริสตจักร ผมจะทุ่มเทกำลังและเงินเพื่อสร้างพันธกิจดนตรีชั้นหนึ่งที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ในปีแรก ๆ ผมทำผิดพลาดโดยประเมินพลังอำนาจของดนตรีต่ำเกินไป ผมจึงลดปริมาณการใช้ดนตรีในการนมัสการลง ตอนนี้ผมเสียดายที่ทำอย่างนั้น

ดนตรีเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเรา เรากินไปฟังไป เราขับรถไปฟังไป เวลาเราเดินซื้อของมักจะได้ยินเสียงเพลง เราพักผ่อนโดยการฟังเพลง และคริสเตียนบางคณะถึงกับเต้นโลดไปกับเสียงเพลง

บทเพลงสามารถสัมผัสผู้คนในลักษณะที่คำเทศนาทำไม่ได้ ดนตรีเป็นทางลัดผ่านกำแพงทางความคิด และนำถ้อยคำตรงเข้าสู่จิตใจ มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการประกาศ ในสดุดี 40:3 ดาวิดกล่าวว่า "พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า… คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัวและวางใจในพระเจ้า" เห็นไหมครับว่าดนตรีมีความสัมพันธ์กับการประกาศ "คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัวและวางใจในพระเจ้า"

อริสโตเติลกล่าวว่า "ดนตรีมีพลังในการสร้างลักษณะนิสัย" ปัจจุบันซาตานกำลังใช้ดนตรีทำเช่นนั้นอย่างชัดเจน เนื้อเพลงร็อคในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้สร้างค่านิยมให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่ปัจจุบันอายุ 30, 40 หรือ 50 ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารที่เราใช้ถ่ายทอดค่านิยมให้คนรุ่นหลัง และถ้าเราไม่ใช่ดนตรีร่วมสมัยเพื่อเผยแพร่ค่านิยมของพระเจ้า ซาตานก็จะเข้าถึงคนทั้งโลกได้อย่างไม่มีคู่แข่ง ดนตรีเป็นพลังอำนาจที่ไม่อาจละเลยได้

ตอนที่ผมเริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมไม่เพียงแค่ประเมินพลังของดนตรีต่ำเกินไปเท่านั้น ผมยังทำผิดพลาดโดยพยายามตอบสนองรสนิยมของทุกคน เรามักจะใช้ "ตั้งแต่บ๊าคถึงร็อค" (บ๊าค - โจฮาน เซบาสเตียน บ๊าค นักประพันธ์เพลงยุคคลาสสิค) ในการนมัสการรอบเดียว เราสลับไปมาระหว่างเพลงนมัสการสมัยเก่า เพลงประสานเสียง และเพลงคริสเตียนร่วมสมัย เราใช้ทั้งดนตรีคลาสสิค คันทรี่ แจ๊ส ร็อค เรกเก้ ป๊อบ และแม้แต่แร็ป ฝูงชนไม่มีวันรู้ว่าเราจะใช้ดนตรีอะไรต่อไป ผลเหรอครับเราไม่ได้ทำให้ใครพอใจเลย เราทำให้ทุกคนผิดหวัง เราทำเหมือนสถานีวิทยุที่ผมพูดถึงในบทที่ 9 ซึ่งพยายามทำให้ทุกคนประทับใจโดยการเปิดเพลงทุกประเภท

เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบสนองความชอบและรสนิยมทางดนตรีของทุกคน ดนตรีเป็นความแตกต่างที่แบ่งแยกคนแต่ละวัย แต่ละภูมิภาค แต่ละบุคลิก และบางครั้งก็แบ่งแยกสมาชิกในครอบครัวด้วย ดังนั้น เราไม่ต้องแปลกใจถ้าสมาชิกมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องดนตรีที่ใช้ในคริสตจักร คุณต้องกำหนดว่าคุณต้องการประกาศกับใครและดูว่าเขาชอบดนตรีประเภทไหน แล้วก็ยึดดนตรีประเภทนั้นไว้ คุณจะเสียเวลาเปล่า ถ้าคุณพยายามหาแนวดนตรีที่ทุกคนในคริสตจักรชอบ

เลือกแนวดนตรีของคุณ

การเลือกแนวดนตรีถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งตลอดชีวิตของคริสตจักร (และอาจมีความขัดแย้งมากที่สุดด้วย) มันอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินว่าคริสตจักรคุณจะนำใครมาถึงพระคริสต์ และคริสตจักรคุณจะเติบโตหรือไม่ คุณต้องเลือกแนวดนตรีที่เหมาะกับกลุ่มคนที่พระเจ้าต้องการให้คริสตจักรคุณนำมาหาพระเจ้า

แนวดนตรีที่คุณใช้จะ "กำหนดตำแหน่ง" ของคริสตจักรคุณ มันจะบอกว่าคุณเป็นใคร และเมื่อคุณเลือกแนวดนตรีที่ใช้ในการนมัสการ คุณก็กำหนดทิศทางของคริสตจักรโดยที่คุณไม่รู้ตัว แนวดนตรีจะกำหนดว่าคุณจะได้คนประเภทไหน จะมีคนประเภทไหน และจะเสียคนประเภทไหน

ถ้าคุณบอกว่าคุณใช้ดนตรีแนวไหน ผมก็สามารถบอกได้ว่าคริสตจักรคุณกำลังนำคนกลุ่มไหนมาเชื่อ โดยที่ผมไม่ต้องไปเยี่ยมคริสตจักรคุณเลย และผมยังบอกได้ด้วยว่า คนกลุ่มไหนที่คริสตจักรคุณจะไม่มีวันนำมาได้

ผมไม่คิดว่าเราสามารถตัดสินว่าดนตรีแนวไหน "ดี" หรือ "เลว" ใครเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ แนวดนตรีที่คุณชอบเป็นผลงานมาจากพื้นเพและวัฒนธรรม คนเอเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้ ต่างก็ชอบจังหวะและแนวทำนองที่ต่างกัน

การยืนกรานว่าดนตรี "ที่ดี" ทั้งหมดเขียนขึ้นในยุโรปเมื่อสองร้อยปีที่แล้วเป็นความคิดของกลุ่มนิยมชนชั้นสูง แน่นอน แนวคิดนี้ไม่มีข้อสนุบสนุนในพระคัมภีร์แม้แต่น้อย คริสตจักรจำเป็นต้องยอมรับว่าไม่มีแนวดนตรีใดที่ "บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์" สิ่งที่ทำให้บทเพลงบริสุทธิ์คือ เนื้อเพลง และเนื้อเพลงทำให้เพลงนั้นเป็นเพลงคริสเตียน

ร้องเพลงบทใหม่

ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร นักศาสนศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ได้บรรจุความจริงของพระเจ้าลงในดนตรีร่วมสมัยในยุคของเขา ทำนองเพลง "องค์พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการ" ของมาร์ติน ลูเธอร์ ยืมทำนองมาจากเพลงยอดนิยมในสมัยนั้น ชาร์ลส์ เวสเลย์ใช้ทำนองยอดนิยมจากโรงเหล้าและโรงอุปรากรในอังกฤษ จอห์น คาลวิน จ้างนักแต่งทำนองชาวโลกสองคน เพื่อบรรจุศาสตร์ของตนลงในบทเพลง

เพลงที่ปัจจุบันเราถือว่าเป็นเพลงนมัสการดั้งเดิม ในอดีตก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เหมือนเพลงคริสเตียนร่วมสมัยในปัจจุบัน เมื่อครั้งบทเพลง "ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสงัด" (Silent Night) ตีพิมพ์ครั้งแรก จอร์จ เวเบอร์ ผู้อำนวยเพลงของวิหารไมน์ซเรียกเพลงนี้ว่า "เพลงชั้นต่ำอันเลวร้ายและไม่ให้ความรู้สึกแบบคริสเตียน" และชาร์ลส์ สเปอร์เจียน ศิษยาภิบาลยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษก็เคยปฏิเสธเพลงนมัสการร่วมสมัยของเขา ซึ่งก็เป็นเพลงเดียวกับที่เราเคารพยกย่องในปัจจุบัน

เรื่องที่เหลือเชื่อที่สุดก็คือ บทเพลง เมสไซยาห์ ของแฮนเดล ถูกนักบวชสมัยนั้นประณามว่า "มหรสพชั้นต่ำ" เขาว่า เมสไซยาห์ มีการร้องซ้ำ ๆ มากเกินไป และมีเนื้อหาน้อยเกินไป - มีการร้องซ้ำ "ฮาเลลูยา" เกือบร้อยครั้ง ซึ่งก็เหมือนที่คนวิพากษ์วิจารณ์ท่อนร้องรับของเพลงนมัสการสมัยใหม่

แม้ตามธรรมเนียมการร้องเพลง คริสตจักรแบ๊บติสต์ก็เคยมองว่า "เป็นลักษณะฝ่ายโลก" เบนจามิน คีช ศิษยาภิบาลในศตวรรษที่ 17 เริ่มนำเพลงเข้ามาในคริสตจักรแบ๊บติสต์ในอังกฤษ เขาเริ่มโดยการสอนเด็ก ๆ เพราะเด็ก ๆ ชอบร้องเพลง อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นพ่อแม่ยังไม่ชอบร้อง

ความขัดแย้งครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อคีชพยายามให้ที่ประชุมทั้งหมดร้องเพลงในที่สุด ในปี 1673 เขาสามารถทำให้คริสตจักรยอมร้องหนึ่งเพลงหลังจากพิธีมหาสนิทโดยคีชอ้างพระคัมภีร์ มาระโก 14:26 อย่างไรก็ตาม คีชยอมให้คนที่คัดค้านการร้องเพลงออกจากที่ประชุมก่อนเริ่มร้องเพลง หกปีให้หลัง ในปี 1679 คริสตจักรเห็นพ้องกันว่าจะร้องเพลงในวันขอบคุณพระเจ้า

และต้องใช้เวลาอีก 14 ปี คริสตจักรจึงจะเห็นด้วยว่าการร้องเพลงเป็นการกระทำที่ถูกต้องในการนมัสการ ความขัดแย้งครั้งนี้ราคาแพงมาก เพราะคีชต้องยอมให้สมาชิก 22 คนจากไปอยู่กับคริสตจักรที่ไม่ร้องเพลง อย่างไรก็ตาม กระแสการร้องเพลงก็แพร่ไปสู่คริสตจักรอื่น ๆ คุณอาจก้าวหน้าไปช้า ๆ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่อาจหยุดยั้งได้เลย

สิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับผมคือ ความอดทนอย่างเหลือเชื่อของอาจารย์คีช เขาต้องใช้ยี่สิบปีเพื่อจะเปลี่ยนรูปแบบการนมัสการของสมาชิก สำหรับคริสตจักรส่วนมากการเปลี่ยนแปลงหลักศาสนศาสตร์อาจง่ายกว่าการเปลี่ยนระเบียบพิธีนมัสการ

จุดอ่อนอย่างหนึ่งของเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนที่เน้นความรอดโดยความเชื่อ (อีแวนเจลิคอล) คือเราไม่รู้ประวัติศาสตร์คริสตจักร โดยเหตุนี้พวกเราจึงสับสนระหว่างประเพณีของเรากับรูปแบบที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ วิธีการและอุปกรณ์ที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น เพลงนมัสการ เปียโน ออร์แกน และรวีศึกษา ครั้งหนึ่งก็เคยถูกมองว่าเป็นวิถีชาวโลก หรือการกระทำนอกศาสนา ปัจจุบันอุปกรณ์เหล่านี้ต่างได้รับการยอมรับในฐานะของขวัญจากพระเจ้าที่ช่วยสนับสนุนการนมัสการ แต่เรากลับมีบัญชีดำชุดใหม่ เช่น การใช้เครื่องสังเคราะห์เสียง กลอง ละคร และวีดิโอ ในการนมัสการ

การถกเถียงว่าจะใช้ดนตรีแนวไหนกำลังจะกลายเป็นความขัดแย้งสำคัญในคริสตจักรท้องถิ่นหลายแห่งในไม่กี่ปีข้างหน้า ในที่สุดแล้วคริสตจักรจะต้องพูดกันถึงเรื่องนี้

ทำไมคนเราจึงถือเอาความขัดแย้งเรื่องรูปแบบการนมัสการมาเป็นเรื่องส่วนตัวมากนัก ก็เพราะรูปแบบการนมัสการนั้นเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับลักษณะที่พระเจ้าสร้างคุณมา การนมัสการ คือ คุณแสดงความรักต่อพระเจ้าเป็นส่วนตัว เมื่อมีคนวิจารณ์รูปแบบการนนมัสการของคุณ คุณจึงปกป้องตัวเองตามธรรมชาติ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คหลังจากที่เราล้มเหลวกับการพยายามทำให้ทุกคนพอใจ เราได้แจกบัตร 3 คูณ 5 นิ้วให้ทุกคนในที่ประชุม และขอให้เขาเขียนว่าเขาฟังวิทยุคลื่นใด

เราพบว่าร้อยละ 96 ของที่ประชุมตอบว่า เขาฟังเพลงร่วมสมัยสำหรับผู้ใหญ่ คนส่วนมากที่อายุน้อยกว่า 40 ไม่ฟังเพลงที่ร้องก่อนปี 1965 เลย สำหรับพวกเขาเพลงคลาสสิคคือเพลงของเอลวิส พวกเขาชอบเพลงสดใส ร่าเริง สนุกสนาน หูของเขาคุ้นเคยกับเพลงที่มีแนวเบสและจังหวะหนักแน่น เราจึงเลือกใช้ดนตรีแนว ป๊อบร็อค ซึ่งเป็นแนวที่คนส่วนมากคุ้นหู

หลังจากสำรวจกลุ่มคนที่เราต้องการนำมาเชื่อแล้ว เราก็ตัดสินใจเลิกใช้เพลงนมัสการในการประชุมเพื่อผู้สนใจ ภายในหนึ่งปีหลังจากตัดสินใจเลือก "ดนตรีของเรา" คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เติบโตอย่างพรวดพราด ผมยอมรับว่าเราสูญเสียคนเป็นร้อยที่มีแน้วโน้มจะเป็นสมาชิกเนื่องจากแนวดนตรีที่เราใช้ แต่อีกด้านหนึ่ง เราดึงดูดคนอีกนับพันเพราะดนตรีของเรา

กฏในการเลือกแนวดนตรี

ผมตระหนักว่า เรื่องนี้เหมือนการเดินไปบนพื้นที่ที่เต็มด้วยกับระเบิด ผมจึงขอให้คำแนะนำบางประการเกี่ยวกับดนตรี ไม่ว่าคุณจะเลือกดนตรีแนวไหน ผมเชื่อว่ามีกฏสองสามข้อที่คุณจำเป็นต้องทำตาม

ลองฟังดนตรีทั้งหมดที่คุณจะใช้เสียก่อน

อย่าสร้างความประหลาดใจในการนมัสการของคุณ ผมเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยความเจ็บปวด ผมสามารถเล่าเรื่องมากมายที่คุณฟังแล้วจะน้ำตาไหล เช่น เมื่อนักร้องรับเชิญตัดสินใจร้องเพลงยาวยี่สิบนาทีเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ถ้าหากคุณไม่ควบคุมดนตรีของคุณ ดนตรีจะควบคุมการนมัสการของคุณ จงกำหนดขอบเขตไว้บ้างเพื่อให้ดนตรีสนับสนุนวัตถุประสงค์ของการนมัสการ ไม่ใช่ขัดขวางวัตถุประสงค์ของการนมัสการ

ขณะที่คุณลองฟังดนตรีที่คุณตั้งใจจะใช้ ให้คุณพิจารณาทั้งเนื้อเพลงและทำนอง ถามตัวเองว่าเนื้อเพลงนั้นถูกต้องตามหลักข้อเชื่อหรือไม่ คนไม่เชื่อเข้าใจได้ ให้คุณวิเคราะห์จุดหมายของเพลงที่ใช้อยู่เสมอ เป็นเพลงเพื่อการสอน เพื่อการนมัสการ เพื่อการสามัคคีธรรม หรือเพื่อการประกาศ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คจำแนกเพลงออกเป็นหมวดหมู่ตามกลุ่มเป้าหมาย เรามีรายชื่อเพลงสำหรับฝูงชน คือ เพลงที่เหมาะเวลาผู้ไม่เชื่อมาร่วมประชุม (ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ) รายชื่อเพลงสำหรับสมาชิก คือ เพลงที่มีความหมายสำหรับผู้เชื่อ แต่ผู้ไม่เชื่อจะไม่เข้าใจ (เราร้องเพลงเหล่านี้ในการนมัสการกลางสัปดาห์) และรายชื่อเพลงสำหรับกลุ่มคนที่เป็นแกนนำ ซึ่งใช้ในการนมัสการและการรับใช้ (เราร้องเพลงเหล่านี้ในการประชุมกลุ่มผู้รับใช้ฆราวาส)

ถามตนเองว่า "ทำนองเพลงนี้ทำให้ฉันรู้สึกอย่างไร" เพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของมนุษย์อย่างมาก แนวดนตรีที่ไม่เหมาะสมอาจทำลายจิตวิญญาณและอารมณ์ของการนมัสการ ศิษยาภิบาลทุกคนรู้ดีถึงความยากลำบากที่ต้องพยายามชุบชีวิตของที่ประชุม หลังจากที่บทเพลงได้ทำให้ทุกคนหดหู่และหมดอาลัยตายอยาก จงกำหนดอารมณ์ที่คุณต้องการ และใช้แนวดนตรีที่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนั้น ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราเชื่อว่าการนมัสการควรเป็นการเฉลิมฉลอง ดังนั้น เราจึงใช้จังหวะคึกคัก สดใส และสนุกสนาน เราแทบจะไม่ร้องเพลงในบันไดเสียงไมเนอร์เลย

แม้แต่เวลาที่เราเชิญนักร้องชื่อดังมาร้องที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราก็ยืนกรานที่จะลองฟังทุกเพลงที่เขาตั้งใจจะร้องเสียก่อน บรรยากาศการนมัสการสำหรับผู้สนใจของเราสำคัญยิ่งกว่าความมั่นใจในตัวเองของนักร้องทุกคน

เร่งจังหวะให้คึกคัก

ดังที่ผมชี้ให้ในบทที่ 14 พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยินดี จงเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยการร้องเพลง" (สดุดี 100:2) แต่การนมัสการหลายแห่งกลับเหมือนงานศพมากกว่าการเฉลิมฉลอง จอห์น ไบซาโญ ศิษยาภิบาลคริสตจักรแบ็บติสต์ที่หนึ่ง ในฮูสตัน รัฐเทกซัส ซึ่งมีสมาชิก 15,000 คน กล่าวว่า "เพลงหม่นหมองเหมือนงานศพ และผู้นำเพลงที่เคร่งเครียด อาจฆ่าคริสตจักรได้เร็วกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก"

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เพลงของเรามีชีวิตชีวา ผมเพิ่งได้รับบัตรความประทับใจครั้งแรกจากชายอายุ 81 และภรรยา เขาเขียนว่า "ขอบคุณที่กระตุ้นให้เลือดชราของเราสูบฉีดอีกครั้ง" เป็นไปไม่ได้ที่จะสัปหงกเวลาคริสตจักรแซดเดิลแบ็คร้องเพลง เราต้องการให้เพลงของเรามีผลกระทบต่อผู้คนทั้งในด้านจิตวิญญาณและอารมณ์ ตัวอักษร I M P และ T ในคำย่อ IMPACT ซึ่งผมพูดถึงในบทที่แล้ว ล้วนเป็นเพลงจังหวะคึกคัก ส่วน A และ C เป็นเพลงที่ช้าลง เพื่อให้คนได้ไคร่ครวญมากขึ้นผู้ไม่เชื่อมักจะชอบเพลงเฉลิมฉลองมากกว่าเพลงช้าไคร่ครวญ เพราะเขายังไม่มีความสัมพันธ์กับพระคริสต์

ทำให้เนื้อเพลงทันสมัย

มีเพลงดี ๆ มากมายที่สามารถนำมาใช้ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจได้ เพียงแค่คุณเปลี่ยนคำหรือสองคำเพื่อให้คนไม่เชื่อสามารถเข้าใจได้ และถ้าหากคุณใช้เพลงนัมสการเก่า ๆ คุณอาจต้องแก้ไขทั้งเพลง เพื่อให้คนในปัจจุบันเข้าใจได้ วลีเช่น "ล้างโดยโลหิตพระเมษโปรด" "เครูบและเสราฟิม" "เทพไท้และสิทธิชนบนสวรรค์" ล้วนฟังแล้วสับสนสำหรับคนไม่เชื่อ เขาไม่สนใจสักนิดว่าคุณกำลังร้องเพลงเกี่ยวกับอะไร

สมาชิกบางคนจะยืนกรานว่าเพลงเก่า ๆ มีหลักศาสนศาสตร์ที่ดี ผมเห็นด้วยแล้วทำไมไม่แก้คำโบราณ ๆ และใส่เนื้อเพลงลงในทำนองร่วมสมัยล่ะครับ จำไว้ว่าทำนองเพลงไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ จับเพลงเก่า ๆ เหล่านั้นแต่งตัวใหม่เถอะครับ และถ้าคุณพิมพ์เพลงลงในสูจิบัตร คุณได้รับอนุญาตให้แก้ไขเพลงได้ ถ้าเพลงนั้นเป็นสมบัติของสาธารณะแล้ว (เพลงสาธารณะ คือ เพลงเก่า ๆ ที่ส่วนมากอายุมากกว่า 50 ปีหลังจากผู้แต่งเสียชีวิต เป็นไปตามหลักสากลของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ - ผู้แปล)

อย่างไรก็ตาม เพลงสั้นร่วมสมัยบางเพลงก็ฟังดูสับสนไม่แพ้เพลงเก่า ๆ เมื่อดูจากคำที่ใช้ คนไม่เชื่อไม่เข้าใจหรอกครับว่า "เยโฮวาห์ยิเรห์" มีความหมายว่าอะไรสำหรับเขาก็ไม่ต่างอะไรถ้าคุณร้อง "มัมโบ มากัมโบ" เลียนแบบเพลงอาฟริกัน

หนุนใจให้สมาชิกแต่งเพลงใหม่ ๆ

คริสตจักรทุกแห่งควรได้รับการหนุนใจให้แต่งเพลงนมัสการใหม่ ๆ ถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์คริสตจักร คุณจะพบว่าการฟื้นฟูที่แท้จริงทุกครั้งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับดนตรีใหม่ ๆ เสมอ เพลงใหม่ ๆ คือ การบอกว่า "พระเจ้ากำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่ร้อยปีที่แล้วเท่านั้น" คนทุกรุ่นทุกวัยต้องการเพลงใหม่เพื่อจะสำแดงออกถึงความเชื่อ

สดุดี 96:1 กล่าวว่า "จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า" น่าเศร้าที่คริสตจักรส่วนมากยังร้องแต่เพลงเก่า ๆ บริษัทแผ่นเสียงโคลัมเบียเคยศึกษาและพบว่าหลังจากร้องเพลงไป 50 เที่ยวแล้ว คนจะไม่คิดถึงความหมายของเนื้อเพลงอีกต่อไป - พวกเขาจะร้องไปเหมือนท่องอาขยาน

เราชอบเพลงเก่าเพราะมันทำให้เราหวนระลึกถึงความรู้สึกในอดีต มีเพลงบางเพลง เช่น "มีชัยชนะในพระเยซู" "ข้าขอมอบถวาย" ที่ทำให้ผมน้ำตาคลอได้โดยอัตโนมัติ เพราะมันทำให้ผมระลึกถึงจุดหักเหฝ่ายวิญญาณในชีวิตผม แต่เพลงเหล่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างเดียวกันสำหรับคนที่ไม่เชื่อ หรือแม้แต่ผู้เชื่อคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาไม่ได้มีความทรงจำเดียวกับผม

คริสตจักรหลายแห่งใช้เพลงบางเพลงมากเกินไป เพราะความชื่นชอบส่วนตัวของศิษยาภิบาลหรือผู้นำเพลงหรือศิษยาภิบาลชอบ ไม่ควรจะมากำหนดแนวดนตรีที่คุณใช้ ตรงกันข้ามคุณต้องให้กลุ่มเป้าหมายกำหนดแนวดนตรีของคุณ

ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณใช้เพลงจำเจคนเบื่อหรือยัง ผมท้าทายให้คุณทดสอบในวันอาทิตย์ที่จะมาถึง ให้คุณถ่ายวีดิโอใบหน้าของที่ประชุมเมื่อเขาร้องเพลง เมื่อคนร้องเพลงเดิม ๆ ความเบื่อเซ็งก็จะปรากฏบนใบหน้า สิ่งที่ทำลายการนมัสการได้ดีที่สุดคือ ความรู้สึกว่า "อ๋อ เพลงนี้อีกแล้ว"

เพลงจะสูญเสียพลังไปเมื่อคนไม่คิดถึงคำที่เขาร้อง แต่บางเพลงสามารถเป็นคำพยานที่ทรงพลังสำหรับคนไม่เชื่อได้ เมื่อผู้คนร้องเพลงที่เขาซาบซึ้งกับเนื้อเพลง

เพลงคริสเตียนมากมายในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 โน้มเอียงไปทางการยกย่องประสบการณ์ของคริสเตียน มากกว่ายกย่องพระคริสต์ ตรงกันข้ามกับ เพลงนมัสการที่เกิดผมมากในปัจจุบัน คือ เพลงรักที่ร้องถวายแด่พระเจ้า นี่เป็นการนมัสการตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอกเราอย่างน้อย 17 ครั้งให้เรา ร้องเพลงถวายแด่พระเจ้าแต่ตรงกันข้าม เพลงส่วนมากร้องเกี่ยวกับพระเจ้า พลังของเพลงนมัสการร่วมสมัยหลายเพลง คือ ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง

ใช้คีย์บอร์ด MIDI

ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันคริสตจักรสามารถมีดนตรีที่มีคุณภาพและเสียงเหมือนกับแผ่นเสียงที่ผลิตโดยมืออาชีพ สิ่งที่คุณต้องการก็มีเพียงคีย์บอร์ด MIDI และแผ่น MIDI ดิสก์ ความงดงามของการใช้ MIDI คือ คุณสามารถ "เติมช่องว่าง" ของนักดนตรีที่ขาดอยู่ได้ เช่น ถ้าคุณมีคีย์บอร์ด มือทรัมเป็ต และมือกีตาร์ แต่ไม่มีมือเบส และมือกลอง คุณก็สามารถเติมแนวเบสและกลองลงใน MIDI ได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากคริสตจักรคุณไม่มีๆใครคุ้นเคยกับเทคโนโลยี MIDI คุณสามารถขอคำแนะนำจากร้านขายเครื่องดนตรีได้

เนื่องจากขนาดของเราคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีวงป๊อบร็อคออร์เคสตร้าครบวง แต่คริสตจักรส่วนมากไม่ใหญ่ขนาดนั้น ถ้าผมเริ่มคริสตจักรใหม่วันนี้ ผมจะหาคนที่รู้วิธีใช้ MIDI และยกคีย์บอร์ดสักตัวให้เขา สมัยที่ผมเริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็คนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี MIDI และบางครั้งผมก็คิดสงสัยว่า เราจะนำคนได้มากสักแค่ไหน ถ้าเวลานั้นเรามี MIDI ในการนมัสการ

เมื่อผทสำรวจคนนิยมฟังเพลง ไม่มีสักคนที่ตอบว่า "ผมฟังเพลงบรรเลงออร์แกนทางวิทยุ" คริสตจักรเกือบจะเป็นสถานที่เดี่ยวที่คุณยังสามารถได้ยินเสียงของออร์แกน เรื่องนี้บอกอะไรคุณบาง ลองคิดให้ถี่ถ้วนสิครับ เราเชิญคนไม่เชื่อมา ให้เขานั่งเก้าอี้สมัยศตวรรษที่ 17 (ม้านั่งยาวในโบสถ์) ร้องเพลงสมัยศตวรรษที่ 18 และ ฟังเครื่องดนตรีสมัยศตวรรษที่ 19 แล้วเราก็มานั่งสงสัยว่า ทำไมชาวโลกถึงคิดว่าเราล้าสมัย ผมเกรงว่าเราจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เสียก่อนที่บางคริสตจักรจะเริ่มใช้เครื่องดนตรีของศตวรรษที่ 20

คุณต้องตัดสินใจว่า คริสตจักรของคุณจะเป็นที่อนุรักษ์ดนตรีเก่าเพื่อคนที่มีรสนิยมสูง หรือจะเป็นสถานที่ ๆ คนทั่วไปสามารถพาเพื่อนที่ยังไม่ได้รับความรอดมาและฟังดนตรีที่เขาเข้าใจและเพลิดเพลินได้ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราใช้ดนตรีเพื่อจิตใจ ไม่ใช่เพื่อศิลปะ

อย่าบังคับให้คนไม่เชื่อร้องเพลง

ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ให้ใช้ดนตรีเพื่อการแสดงมากกว่าการให้ที่ประชุมร้อง ผู้มาเยื่ยมจะรู้สึกอึดอัดที่จะร้องทำนองที่ไม่รู้จัก และเนื้อเพลงที่ไม่เข้าใจแถมยังเป็นความคิดที่ไม่มองความเป็นจริงด้วย เมื่อเราคาดหวังให้คนไม่เชื่อร้องเพลงสรรเสริญและอุทิศถวายแด่พระเยซูก่อนที่เขามาเชื่อ มันก็เหมือนผูกเกวียนไว้ข้างหน้าวัว

คนไม่เชื่อมักจะรู้สึกกระอักกระอ่วนในช่วงที่ให้ที่ประชุมร้องเพลง เนื่องจากเขาไม่รู้จักเพลงนั้น และเพลงนั้นยังพูดถึงการสรรเสริญและอุทิศชีวิตแด่พระเยซู พวกเขาถูกบังคับให้ยืนนิ่งตรงนั้นขณะที่คนอื่น ๆ ร้องเพลงกัน เรื่องนี้จะยิ่งน่าขายหน้าเมื่อเขาอยู่ในคริสตจักรเล็ก ๆ เพราะทุกคนสังเกตได้ว่าเขาไม่ร้องเพลง ในทางกลับกัน ผู้มาเยี่ยมจะรู้สึกสบายใจมากที่ได้นั่งฟังดนตรีที่เล่นให้เขาฟัง นี่คือรูปแบบที่เขารับได้ ดังนั้น ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ให้คุณเน้นดนตรีสำหรับการแสดง และเก็บการร้องเพลงต่อเนื่องร่วมกันไว้ใช้ในการนมัสการสำหรับผู้เชื่อ (ในการนมัสการสำหรับผู้เชื่อ เรามักจะนมัสการและสรรเสริญต่อเนื่อง 30 ถึง 40 นาที โดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ)

ขอให้เข้าใจว่า ยิ่งคริสตจักรคุณใหญ่ขึ้นเท่าใด คุณก็สามารถให้ที่ประชุมร้องเพลงได้มากขึ้นเท่านั้นในการนมัสการสำหรับผู้เชื่อ นี่เป็นเพราะผู้มาเยี่ยมจะถูกห้อมล้อมด้วยคนนับพัน ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะร้องเพลงหรือไม่ เขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนและฟัง โดยไม่รู้สึกว่ามีใครมาจ้องมอง และสามารถซึมซับความรู้สึกของช่วงเวลานั้นได้อย่างเต็มที่

แม้ว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่มีช่วงเวลาร้องเพลงต่อเนื่องร่วมกันในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ แต่ผมเชื่อว่ามันจะเป็นความผิดพลาด ถ้ายกเลิกการร้องเพลงร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช่หลงเหลือในการนมัสการสำหรับผู้สนใจเลย เพราะมันเป็นส่วนประกอบที่ทรงพลังและเร้าอารมณ์ เมื่อผู้เชื่อเปล่งเสียงร้องประสานเสียงกัน ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งแม้จะอยู่ในที่ประชุมขนาดใหญ่ ความผูกพันลึกซึ้งนี้ทำให้ผู้ไม่เชื่อประทับใจ คือผู้ไม่เชื่อที่สามารถสัมผัสได้ว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น แม้เขาจะไม่อาจอธิบายได้ว่ามันคืออะไร

เมื่อผู้เชื่อร้องเพลงประสานร่วมกัน มันแสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสามัคคีธรรมของกลุ่มคน ซึ่งสามารถรับรู้ได้โดยโสตประสาท ทุกคนร้องส่วนของตน ขณะเดียวกันก็คอยฟังคนอื่น เพื่อจะผสมผสานให้กลมกลืน นี่เป็นสิ่งที่น่าประทับใจจริง ๆ เมื่อบรรดาผู้เชื่อร้องเพลงสรรเสริญร่วมกันด้วยความจริงใจและออกมาจากส่วนลึก มันเป็นคำพยานว่า คนที่ดูธรรมดา ๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ และมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันอย่างแท้จริง

ใช้ดนตรีของคุณให้คุ้มค่า

แม้ว่าดนตรีมักจะเป็นเรื่องที่คนมีความเห็นขัดแย้งมากที่สุด แต่มันก็เป็นส่วนประกอบสำคัญมากจนละเลยไม่ได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจพลังอันน่าอัศจรรย์ของดนตรีและควบคุมพลังนั้นโดยการสละความชอบส่วนตัว และใช้ดนตรีที่จะนำคนไม่เชื่อมาหาพระคริสต์ได้ดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น