และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรี
และกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดน
ฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป
มัทธิว 4:25
ฝ่ายประชาชนฟังพระองค์ด้วยความยินดี
มาระโก 12:37
ลักษณะที่น่าประทับใจพระราชกิจของพระเยซูคือ มันดึงดูดฝูงชน คนหมู่ใหญ่ และประชาชนเป็นอันมาก ฝูงชนที่พากันมาหาพระเยซูนั้นมากจนพวกเขาเบียดเสียดพระองค์ (ลูกา 8:42) คนเหล่านั้นชอบฟังพระองค์ และชอบไปในที่ที่พระองค์อยู่ แม้จะต้องเดินทางไกลก็ตาม เมื่อพระเยซูเลี้ยงคน 5,000 จำนวนนี้ก็นับเฉพาะผู้ชาย (มัทธิว 14:21) แน่นอนที่นั่นย่อมมีผู้หญิงและเด็กด้วย ถ้านับทั้งหมดก็อาจมีคนมากถึง 15,000 คน เห็นได้ชัดว่าพันธกิจของพระองค์มีพลังดึงดูดอย่างมหาศาล
พันธกิจที่เหมือนอย่างพระคริสต์ก็ยังคงดึงดูดฝูงชนในปัจจุบันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือทอนความเชื่อเพื่อจะดึงดูดคนจำนวนมาก คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ข่าวประเสริฐอ่อนลง และผมยังพบด้วยว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีอาคารคริสตจักรด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่จำเป็นคือ คุณต้องทำพันธกิจกับคนเหมือนพระเยซูกระทำ
แล้วสิ่งใดในพันธกิจของพระเยซูที่ดึงดูดฝูงชนมากมาย พระเยซูทำสามสิ่งคือ พระองค์รักพวกเขา (มัทธิว 9:36) พระองค์ตอบสนองความต้องการของเขา (มัทธิว 15:30; ลูกา 6:17-18; ยอห์น 6:2) และพระองค์สอนสิ่งที่น่าสนใจและนำไปปฏิบัติได้ (มัทธิว 13:34; มาระโก 10:1; 12:37)
พระเยซูดึงดูดฝูงชนโดยการรักคนที่ไม่เชื่อ
พระเยซูรักคนที่หลงหาย และชอบอยู่กับพวกเขา ในพระกิตติคุณเราเห็นได้ชัดว่า พระองค์ชอบอยู่กับคนที่แสวงหาพระองค์มากกว่าอยู่กับผู้นำทางศาสนา พระองค์เข้าไปหาพวกเขา และเรียกว่า "มิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีด" (ลูกา 7:34)
ผู้คนสัมผัสได้ว่าพระเยซูรักพวกเขา แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็อยากอยู่ใกล้พระองค์ซึ่งทำให้เรารู้ว่าพระองค์มีบุคลิกอย่างไร เด็ก ๆ มีสัญชาตญาณที่จะอยู่ใกล้คนที่มีความรักและยอมรับพวกเขา
รักคนที่ไม่เป็นคริสเตียนอย่างที่พระเยซูทรงรัก
การรักคนที่ไม่เป็นคริสเตียนอย่างที่พระเยซูทรงรักเป็นกุญแจสำคัญที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่มันเป็นกุญแจสู่การเติบโตของคริสตจักร ถ้าปราศจากความรักต่อคนที่หลงหาย เราก็จะไม่ยอมสละสิ่งที่จำเป็นเพื่อนำเขามาหาพระเจ้า
พระคัมภีร์ใหม่มีพระบัญชาว่า "จงรัก" อย่างน้อย 55 ครั้ง ถ้าเราไม่รักคนอื่น ทุกสิ่งที่เราทำก็ไร้ความหมาย "ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1 ยอห์น 4:8) หลายครั้งที่ผมถามผู้เชื่อใหม่เวลาให้บัพติศมาว่า "อะไรดึงดูดให้คุณเข้าร่วมในครอบครัวของเรา" ไม่เคยมีใครตอบว่า "หลักศาสนศาสตร์ของคุณไง" หรือ "เพราะคุณมีอาคารที่สวยมาก" แต่คำตอบที่ได้รับบ่อยที่สุดคือ "เพราะผมได้สัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งความรักที่มีต่อผม"
สังเกตคำตอบนี้ให้ดี ๆ ความรักของสมาชิกเรามุ่งไปที่ผู้มาใหม่ ไม่ใช่แค่รักสมาชิกด้วยกัน ผมรู้จักคริสตจักรหลายแห่งที่สมาชิกรักกันและกันมาก แต่คริสตจักรนั้นกำลังจะตายเพราะพวกเขารักแต่คนภายใน และการสามัคคีธรรมในคริสตจักรก็เหนียวแน่นจนคนภายนอกไม่อาจแทรกเข้าไปได้ พวกเขาไม่สามารถดึงดูดคนไม่เชื่อเพราะเขาไม่รักคนไม่เชื่อ
แน่นอนคริสตจักรทุกแห่งคิดว่าพวกเขามีความรัก นั่นเป็นเพราะคนที่คิดว่าพวกเขาไม่มีความรักได้ออกไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกเขาพูดว่า "คริสตจักรของเราเป็นมิตรและมีความรัก" แท้จริงแล้ว เขาหมายความว่า "เราเป็นมิตรและรักคนที่อยู่ที่นี่" พวกเขารักคนที่เขารู้สึกสะดวกที่จะรัก แต่การสามัคคีธรรมที่อบอุ่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรักคนไม่เชื่อและผู้มาใหม่เสมอไป
คริสตจักรบางแห่งบอกว่า การที่เขามีคนน้อยคือเครื่องพิสูจน์ว่า เขาเชื่อตรงตามพระคัมภีร์และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ เขาบอกว่าคริสตจักรขนาดเล็กบ่งบอกถึงคริสตจักรที่บริสุทธิ์ และไม่ประนีประนอมความเชื่อ แต่แท้จริงมันอาจหมายความพวกเขาไม่รักคนที่หลงหายมากพอที่จะออกไปหาพวกเขา เขาไม่ต้องการให้ผู้มาใหม่รบกวนเวลา และกิจวัตรของเขา ที่พวกเขาไม่มีฝูงชนก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการนั่นเอง ความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ทำให้คริสตจักรมากมายไม่โต
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเติบโตคือ เรารักผู้มาใหม่ เรารักคนที่หลงหาย เป็นเวลาสิบห้าปีที่ผมได้เห็นสมาชิกแสดงความรักออกมาเป็นการกระทำ เช่น ช่วยจัดและเก็บเก้าอี้และอุปกรณ์สอนรวีฯ และยินดีย้ายที่ประชุมถึง 79 ครั้งเพื่อคริสตจักรจะยังคงเติบโตและรองรับผู้คน พวกเขายอมจอดรถไว้นอกบริเวณ เพื่อให้ผู้มาใหม่มีที่จอดรถ เขายอมสละที่นั่งให้ผู้มาใหม่ หรือแม้แต่ให้ยืมเสื้อกันหนาวเวลาเราประชุมกันในเต็นท์
เป็นเรื่องหลอกลวงที่บอกว่า คริสตจักรใหญ่เย็นชาและไม่เป็นส่วนตัว เพราะขนาดๆม่เกี่ยวอะไรกับความรักและความเป็นมิตร เหตุผลที่บางคริสตจักรมีขนาดเล็กก็เพราะพวกเขาไม่มีความรัก ความรักคือแม่เหล็กดึงดูดฝูงชน ส่วนการขาดความรักจะไล่ผู้คนออกไป
สร้างบรรยากาศแห่งการยอมรับ
พืชต้องการสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตฉันใด คริสตจักรก็จะเติบโตในบรรยากาศที่เหมาะสมฉันนั้น นั่นคือบรรยากาศแห่งความรักและการยอมรับ แต่บ่อยครั้งคนมองข้ามจุดนี้ไป
ในการสำรวจที่ผมทำก่อนเริ่มคริสตจักร คำต่อว่าที่พบบ่อยเป็นอันดับสองก็คือ "สมาชิกในคริสตจักรไม่เป็นมิตรกับผู้มาเยี่ยม เรารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับที่นั่น" คนที่มาใหม่จะตัดสินใจก่อนถึงเวลาเทศนาเสียอีกว่าเขาจะกลับมาอีกหรือไม่ พวกเขาจะถามตัวเองว่า "ที่นี่ต้อนรับฉันไหม"
คริสตจักรของเราพยายามสุดความสามารถที่จะเอาชนะคำต่อว่าดังกล่าว เราคิดหายุทธวิธีเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความรักและการยอมรับ เราประเมินผลทุก ๆ สัปดาห์ โดยถามคำถามแบบตรงไปตรงมากับผู้มาใหม่ โดยที่เขาไม่ต้องเปิดเผยตัวในการตอบ เราถามว่าเขามีความประทับใจครั้งแรกกับคริสตจักรเราอย่างไรบ้าง
ทุกครั้งที่เราส่งจดหมายถึงผู้มาใหม่ เราจะแนบบัตรสอบถามที่เขาจะส่งกลับมา มันมีหัวข้อว่า" ความประทับใจครั้งแรกของข้าพเจ้า" บัตรนั้นพิมพ์ว่า "เราต้องการปฏิบัติต่อคุณให้ดียิ่งกว่านี้ โปรดแสดงความคิดเห็นของคุณ" "คุณชอบอะไรมากที่สุด" และ "คุณชอบอะไรน้อยที่สุด" เกือบ 90% ของคนนับพัน ๆ ที่ตอบกลับมา ให้คำตอบลักษณะนี้คือ "ผม/ดิฉันสังเกตเห็นความอบอุ่นและเป็นมิตรของคนที่นั่น" นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เราได้วางแผนเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ บรรยากาศแห่งความรักที่ผู้มาใหม่สามารถสัมผัสได้
ถ้าเราต้องการสร้างอิทธิพลในชีวิตผู้มาใหม่ เราต้องแสดงความรักในลักษณะที่เขาเข้าใจได้ ความรักไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึก แต่ความรักเป็นพฤติกรรม ความรักหมายถึงการเอาใจใส่ความต้องการของผู้อื่น และให้ความสำคัญกับมันมากกว่าความต้องการของเรา บทต่อไปเราจะพูดถึงวิธีปฏิบัติมากมายที่เราใช้
ศิษยาภิบาลต้องมีความรัก
ศิษยาภิบาลคือ ผู้กำหนดอุณหภูมิและบรรยากาศของคริสตจักร ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาลและอยากรู้ว่าคริสตจักรคุณอบอุ่นแค่ไหน ก็ให้เอาปรอทอมไว้ใต้ลิ้นคุณเองดู ผมเคยไปเยี่ยมหลายคริสตจักรที่ไม่เติบโตเนื่องจากศิษยาภิบาลขาดความรัก เขาเย็นชา ไม่อบอุ่น และทำให้คนไม่อยากกลับมาอีก ในคริสตจักรใหญ่ ๆ บางแห่งผมก็รู้สึกว่า ศิษยาภิบาลชอบผู้ชม แต่ไม่ชอบผู้คน
ผมได้ยินศิษยาภิบาลยอมรับอยงกระตือรือร้นบ่อยครั้งว่า "ผมชอบเทศนา" แต่ผมไม่ประทับใจเลยสักนิด เพราะมันอาจหมายความว่า เขาชอบเป็นจุดสนใจ และสนุกเวลาที่ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนอดรีนาลีน เพราะยืนอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก สิ่งที่ผมอยากถามศิษยาภิบาลเหล่านั้นก็คือ "คุณรักคนเหล่านั้นที่คุณเทศนาให้เขาฟังหรือไม่" นี่สำคัญกว่าหลายเท่า "แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลก ๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เหมือนฆ้อง หรือฉาบที่กำลังส่งเสียง" ในสายพระเนตรพระเจ้า คำเทศนาเลิศเลอที่ปราศจากความรักก็เป็นแค่เสียงหนวกหูเท่านั้นเอง
ทุกครั้งที่ผมพูดต่อหน้าฝุงชนที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมย้ำตัวเองเสมอและไม่เคยเทศนา หรือสอนโดยไม่ได้คิดเสียก่อนว่า
"พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์และพระองค์รักข้าพระองค์ ข้าพระองค์รักคนเหล่านี้ และพระองค์รักคนเหล่านี้ โปรดสำแดงความรักต่อคนเหล่านี้ผ่านข้าพระองค์เถิด นี่ไม่ใช่ผู้ชมที่ข้าพระองค์จะต้องกลัว แต่เป็นครอบครัวที่ข้าพระองค์ต้องรักในความรักไม่มีความกลัว ความรักที่สมบูรณ์ก็ขจัดความกลัวจนหมดสิ้น"
ถ้าคนชอบคน เขาก็จะฟังคุณ แต่ถ้าเขาไม่ชอบ เขาก็เพิกเฉย และดูถูกคำสอนของคุณ แล้วคุณจะทำอย่างไรให้เป็นที่ชื่นชอบ ก็ง่ายมาก รักคนเหล่านั้น เมื่อเขารู้ว่าคุณรักเขา เขาก็จะฟังคุณ
ผมมีคำแนะนำบางประการสำหรับศิษยาภิบาล เพื่อที่จะสำแดงความรักต่อฝูงชนได้ดีขึ้น
จำชื่อ การจำชื่อแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจคน สำหรับผู้ที่มาครั้งที่สอง ไม่มีเสียงใดจะน่าฟังเท่ากับเวลาคุณเรียกชื่อเขาได้ ผมเองไม่ใช่คนความจำดี แต่ผมพยายามอย่างหนักในการจำชื่อคน ในปีแรก ๆ ของคริสตจักร ผมเอารูปคนมาทำเป็นบัตรฝึกจำชื่อ จนผมจำชื่อทุกคนได้ จนกระทั่งเรามีคนมาร่วมนมัสการ 3,000 คน หลังจากนั้นผมต้องขอให้สมาชิกใหม่หาโอกาสบอกชื่อกับผมสามครั้งในโอกาสต่าง ๆ เมื่อคุณลงทุนกับการจำชื่อคน มันจะตอบแทนคุณอย่างมหาศาล
ทักทายผู้คนเป็นส่วนตัวก่อนและหลังการนมัสการ คุณต้องเปิดตัว อย่าหลบซ่อนอยู่ในห้องทำงาน เราเคยใช้สถานที่ที่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว ผมจึงสามารถทักทายทุกคนได้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าออกโดยไม่เดินผ่านผมเสียก่อน
การพบปะผู้คนก่อนที่คุณจะพูดให้เขาฟังถือเป็นการอุ่นเครื่องที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าคุณสนใจพวกเขา ศิษยาภิบาลมากมายชอบให้ผู้นำมาประชุมอธิษฐานกันก่อนเริ่มนมัสการ ในเวลาที่คนกำลังเข้ามา ผมเชื่อว่าคุณควรอธิษฐานเผื่อการนมัสการในเวลาอื่น อย่าทิ้งโอกาสที่จะพบปะผู้คนในขณะที่คุณยังมีโอกาส
ทุกสัปดาห์ผมมีกลุ่มสมาชิกที่อธิษฐานระหว่างการนมัสการทั้งสี่รอบ ทุกสัปดาห์ผมใช้เวลายาวนานอธิษฐานเผื่อการนมัสการ ทีมงานของเราก็อธิษฐานร่วมกันแต่เราไม่เร่งรีบอธิษฐานก่อนเริ่มนมัสการ เพราะในหนึ่งสัปดาห์เรามีเพียงโอกาสเดียวที่จะพบปะผู้คนจำนวนมาก ผมต้องการให้ทีมงานและผู้นำทุกคนมีโอกาสพูดคุยกับคนเหล่านั้น
สัมผัสผู้คน ถ้าศึกษาพระราชกิจของพระเยซู คุณจะเห็นว่าการมอง การคุยและการสัมผัสนั้นมีพลังในชีวิตผู้คนมากเพียงใด คริสตจักรของเราให้ความสำคัญกับการสัมผัส เรากอด จับมือ และตบหลัง โลกของเราเต็มไปด้วยคนว้าเหว่ที่ปรารถนาการสัมผัสที่จะยืนยันว่ายังมีคนรักเขา หลายคนอยู่คนเดียว และบอกผมว่าที่เดียวที่มีคนสัมผัสเขาด้วยความรักคือที่คริสตจักร ทุกครั้งที่มีผมกอดใครบางคนในวันอาทิตย์ผมคิดเสมอว่าเขาจะจดจำไปอีกนานแค่ไหน
เร็ว ๆ นี้มีคนเขียนถึงผมว่า "อาจารย์ ริค ฉันไม่รู้จะบอกอย่างไรว่า เมื่อคุณโอบฉันนี้มันมีความหมายมากแค่ไหนสำหรับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนพระเยซูกำลังกอดฉันไว้ ฉันรู้ว่าพระองค์ส่งคุณมาช่วยฉันในเวลาที่น่ากลัวเช่นนี้" ผมไม่รู้มาก่อนว่าเธอกำลังจะรับการผ่าตัดมะเร็งทรวงอกในวันรุ่งขึ้น มีอีกคนเขียนว่า "ผมทูลขอให้พระเจ้าประทานหมายสำคัญว่าพระองค์ยังอยู่กับผม และก่อนการนมัสการ อาจารย์เกลนซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนเดินมาที่ผม และวางมือบนไหล่ผม ผมรู้ทันทีว่าพระเจ้าไม่ได้ลืมผม" ชายคนนี้เพิ่งถูกภรรยาทิ้งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อาทิตย์ไหนที่ผมไม่ต้องเทศนา ผมจะใช้เวลาทั้งหมดสบตา ทักทาย คุย และสัมผัสคนนับร้อย ๆ คำพูดอ่อนโยนและการสัมผัสด้วยความห่วงใยจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในชีวิตคนมากมาย เบื้องหลังรอยยิ้มมักมีความเจ็บปวดที่เยียวยาได้โดยการแสดงความรักอย่างง่าย ๆ
เขียนจดหมายถึงผู้มาใหม่ในลักษณะที่อบอุ่น เป็นกันเอง เรามีจดหมายเป็นชุด ๆ สำหรับผู้มาครั้งแรก ครั้งที่สอง และสาม เวลาลงชื่อ ผมไม่เขียนว่า "ดร. วอร์เรน" หรือ "ศาสนจารย์ วอร์เรน" ผมเขียนแค่ "ริค" ผมอยากให้ผู้มาใหม่รู้สึกว่าเขาสามารถติดต่อผมได้โดยเรียกชื่อเฉย ๆ
เวลาส่งจดหมายถึงผู้มาใหม่ อย่าเขียนด้วยภาษาเลิศหรู สูงส่ง ทางการ มีครั้งหนึ่งผมได้รับจดหมายที่เขียนว่า "คริสตจักรของเราประสงค์จะเรียนให้ท่านทราบว่า เรามีความปิติยินดีอย่างสูงที่ท่านมาเยี่ยมเราในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเราใคร่ขอเรียนเชิญท่านสำหรับวันสะบาโตที่จะมาถึง" มีใครเขาพูดกันด้วยสำนวนอย่างนี้บ้าง คุณควรจะเขียนง่าย ๆ ว่า "เรายินดีมากที่คุณมาเยี่ยม หวังว่าจะได้พบคุณอีก"
การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับศิษยาภิบาลคือ คุณจะทำให้คนประทับใจ หรือคุณจะ มีอิทธิพล ต่อพวกเขา ถ้าคุณต้องการแค่ความประทับใจ คุณยืนอยู่ไกล ๆ ก็ได้ แต่ถ้าคุณจะรักและมีอิทธิพลต่อเขา คุณต้องเดินเข้าไปใกล้ชิดพวกเขา
ถ้าคริสตจักรปรารถนาจะดึงดูดผู้คน ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกต้องแสดงความรักต่อผู้มาใหม่ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าถ้าเขามาที่นี่ คนที่นี่จะรักเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ทำอะไร หรือมาจากไหน
ยอมรับแต่ไม่เห็นด้วย
ถ้าเราจะรักคนไม่เป็นคริสเตียนอย่างไม่มีเงื่อนไข เราต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างการยอมรับกับการเห็นด้วย ในฐานะคริสเตียน พระเยซูคริสต์เรียกเราให้รักและยอมรับคนไม่เป็นคริสเตียนโดยไม่เห็นด้วยกับวิถีชีวิตที่ผิดบาปของเธอ พระองค์กินอาหารกับศักเคียสโดยไม่ยอมรับการคดโกงของเขา และพระองค์ทรงปกป้องผู้หญิงที่ถูกจับขณะล่วงประเวณี โดยไม่ได้ลดทอนความบาปของเธอแม้แต่น้อย
นักตกปลาเก่ง ๆ รู้วิธีจัดการกับปลาตัวใหญ่ เขาจะค่อย ๆ กว้านสายเบ็ดเข้ามาทีละน้อย ๆ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันดึงเข้ามาเพราะปลาอาจสะบัดจนสายขาดหรือเบ็ดหักได้ บางครั้งเขาก็ปล่อยให้มันลากออกไปบ้าง การจับคนก็เหมือนกัน บางครั้งคุณต้องปล่อยให้คนไม่เป็นคริสเตียนทำสิ่งที่เขาต้องการไปก่อน เพื่อจะมีโอกาสดึงเขาเข้ามาอย่าจูจี้กับบาปทุกอย่างที่เขาทำ เวลาเขากลับใจมาเชื่อแล้วค่อยจัดการกับสิ่งเหล่านั้น
เราไม่อาจคาดหวังให้ผู้ไม่เป็นคริสเตียนประพฤติอย่างผู้ที่เป็นคริสเตียน จนกว่าเขาจะกลับใจมาเชื่อ หนังสือโรมบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิต
ฝูงชนที่ติดตามพระเยซูประกอบด้วยทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ บางคนอุทิศชีวิตติดตาม บางคนแสวงหาอย่างจริงใจ บางคนก็มองพระองค์ด้วยความสงสัย แต่นั่นไม่รบกวนใจพระองค์ พระองค์รักพวกเขาทุกคน
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรารู้ว่าผู้มาร่วมประชุมหลายคนมีชีวิตที่เหลวแหลกทำบาปเป็นนิสัย และมีชื่อเสียงไม่ดี แต่เราก็ไม่เดือดร้อนใจ เพราะเราแยกความแตกต่างระหว่าง "ฝูงชน" (ผู้ร่วมประชุมที่ไม่เอาจริงเอาจัง) กับ "สมาชิก" คริสตจักรคือสมาชิก ไม่ใช่ฝูงชน การนมัสการกับฝูงชนก็คือ การนมัสการที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถชวนเพื่อน ๆ ที่เขาเคยเป็นพยานแล้วมานั่งฟัง
เรายังมีมาตราฐานที่ต่างกันสำหรับการดำเนินชีวิตของสมาชิกและฝูงชน เราคาดหวังให้สมาชิกดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ระบุในพันธสัญญาสมาชิก และคนที่ทำผิดศีลธรรมก็ต้องถูกคริสตจักรลงวินัย ผู้ไม่เป็นคริสเตียนไม่ต้องถูกลงวินัยใด ๆ เพราะเขายังไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง เปาโลชี้ให้เห็นความแตกต่างนี้อย่างชัดเจนใน 1 โครินธ์ 5:9-12
"ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า อย่าคบคนล่วงประเวณี แต่ซึ่งท่านจะคบคนชาวโลกนี้ที่เป็นคนล่วงประเวณี คนโลภ คนฉ้อโกง หรือคนถือรูปเคารพ ข้าพเจ้ามิได้ห้ามเสียทีเดียว เพราะว่าถ้าห้ามอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ต้องออกไปเสียจากโลกนี้ แต่ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่า ถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้วแต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนฉ้อโกง อย่าคบคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะตัดสินลงโทษคนภายในคณะมิใช่หรือ"
เราไม่คาดหวังให้คนไม่เป็นคริสเตียนจะต้องละทิ้งความบาปทั้งหมดเพื่อจะสามารถร่วมนมัสการกับเรา เราหนุนใจเขาให้ "มาอย่างที่คุณเป็น" คริสตจักรก็คือโรงพยาบาลสำหรับคนบาป เราอยากให้คนเสเพลสวมเสื้อพิมพ์ยี่ห้อเบียร์บัดไวเซอร์มาร่วมประชุม มากกว่าจะให้เขาอยู่บ้านเฉย ๆ หรือไปชายหาด เราเชื่อว่าเมื่อเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีและเห็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง เราก็เหลือแค่รอเวลาที่เขาจะเปิดใจให้พระเยซูคริสต์
พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "จงชำระการกระทำ แล้วเราจึงจะช่วยให้รอด" พระองค์รักคุณมานานก่อนที่คุณจะเปลี่ยนแปลง และพระองค์คาดหวังให้คุณทำเช่นนั้นกับผู้อื่นด้วย มีคนมากมายที่มาร่วมคริสตจักรเราในขณะที่ชีวิตเขาอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้แต่งงาน และเมื่อเขาได้รับความรอด เราก็บอกให้เขาแต่งงานกัน มีคู่หนึ่งอยู่กินกันนาน 17 ปี ทันที่ที่มาเชื่อพวกเขาพูดว่า "เราคิดว่า เราต้องแต่งงานกันใช่ไหม" ผมตอบว่า "แน่นอนครับ" การชำระมาภายหลังความรอด
ไม่มีสิ่งใดจะมาทดแทนความรักที่มีต่อคนที่ไม่เป็นคริสเตียนได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ รายการ หรือเทคโนโลยี ความรักเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คยังเติบโตขึ้น และเป็นแรงจูงใจให้ผมเทศนาอาทิตย์ละสี่รอบมานานหลายปี แม้มันจะเหนื่อยล้า แต่คุณก็จะทำเพราะคนต้องการพระเจ้า ความรักเป็นแรงจูงใจ ความรักทำให้คุณไม่มีทางเลือก
เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกว่าความรักของผมเย็นลง ผมจะนึกถึงไม้กางเขน มันบอกผมว่าพระเจ้ารักคนที่หลงหายมากแค่ไหน และสิ่งที่ยึดพระองค์ไว้กับไม้กางเขนก็ไม่ใช่ตะปู แต่เป็นความรัก เมื่อคริสเตียนรักเพื่อนมนุษย์มากขนาดนั้น คริสตจักรของเขาก็จะดึงดูดคน
พระเยซูดึงดูดฝูงชน
โดยการตอบสนองความต้องการของเขา
ผู้คนแห่แหนกันมาหาพระเยซูเพราะพระองค์ตอบสนองความต้องการของเขา ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตวิญญาณ ความสัมพันธ์ และการเงิน พระองค์ไม่ได้ตัดสินว่าความต้องการใด "ถูกต้องกว่า" และพระองค์ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกละอายกับความต้องการของเขา พระองค์ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างให้เกียรติ
พระเยซูมักตอบสนองความต้องการของผู้คนเพื่อปูทางไปสู่การประกาศ ผมกล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่า พระองค์มักตรัสว่า "เจ้าปรารถนาให้เราทำอะไร" พระเจ้าทรงใช้ความต้องการสารพัดรูปแบบของมนุษย์เพื่อดึงดูดความสนใจของเขา แล้วเราเป็นใครที่จะพิพากษาว่าคนที่สนใจในพระคริสต์นั้นมาด้วยเหตุผลที่ถูกหรือผิด มันไม่สำคัญว่าคนมาหาพระเยซูครั้งแรกด้วยเหตุอะไร ที่สำคัญคือพวกเขา เมื่อเขามาจำเพาะพระพักตร์พระองค์แล้ว
ผมสงสัยว่ามีใครในพวกเราบ้างที่ขอให้พระเยซูช่วยเราให้รอด โดยมีแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากความเห็นแก่ตัว และความต้องการแอบแฝงอย่างสิ้นเชิง มันยากที่จะรู้ถึงแรงจูงใจของคน แต่จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดที่จะเข้าถึงจิตใจคนก็คือ ความต้องการเฉพาะหน้าของเขา และนี่คือวิธีที่พระเยซูใช้เข้าถึงผู้คน
จับความสนใจของผู้คน
ก่อนคุณจะแบ่งปันข่าวประเสริฐให้คนอื่น คุณต้องจับความสนใจของเขาให้ได้เสียก่อน เวลาผมขับรถไปบนทางหลวงทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ผมมักจะอธิษฐานว่า "พระเจ้า ข้าพระองค์จะทำให้คนเหล่านี้ชะลอความเร็วลงจนสามารถได้ยินข่าวประเสริฐได้อย่างไร ข้าพระองค์ จะจับความสนใจเขาได้อย่างไร" ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคริสตจักร อาคารคริสตจักรมักจะเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง และศิษยาภิบาลก็มักจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงที่สุดและได้รับความเคารพมากที่สุด และรายการของคริสตจักรก็เป็นปฏิทินของชุมชน
ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป คริสตจักรอาจตั้งอยู่ข้างทางหลวงที่รถผ่านไปมาวันละแสนคัน แต่ไม่ได้รับความสนใจ รายการโทรทัศน์มักเสนอภาพศิษยาภิบาลว่าเป็นพวกเซ่อซ่า หรือบ้า ๆ บอ ๆ และกิจกรรมของคริสตจักรก็ต้องแข่งขันกับความบันเทิงที่ครอบงำวัฒนธรรมเรา วิธีเดียวที่คริสตจักรจะจับความสนใจของผู้คนได้ก็คือคริสตจักรต้องหยิบยื่มสิ่งที่เขาไม่สามารถหาได้จากที่อื่น
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการตอบสนองความต้องการในพระนามของพระคริสต์ นั่นคือความหมายทั้งหมดของ "พันธกิจ" ที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนในพระนามพระคริสต์ บรรทัดแรกของคำแถลงการณ์นิมิตของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค กล่าวว่า "ที่นี่เป็นสถานที่ในฝันสำหรับผู้ที่เจ็บปวด สิ้นหวัง ท้อแท้ หดหู่ สับสน ว้าวุ่น และพวกเขาจะได้พบความรัก การยอมรับ คำแนะนำ และกำลังใจ"
เป้าหมายของเราคือ ทำพันธกิจกับทุกส่วนในชีวิตคน เราไม่จำกัดพันธกิจของเราไว้กับสิ่งที่มักเรียกกันว่า "ความต้องการฝ่ายวิญญาณ" คริสตจักรแซดเดิลแบ็คอยู่เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งฝ่ายวิญญาณ ร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคม เราเชื่อว่าพระเจ้าสนใจทุกส่วนในชีวิตคน เราไม่สามารถแยกคนเป็นส่วน ๆ เพราะทุกส่วนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
ยากอบประณามคริสตจักรที่คิดว่าคำเทศนาคือ สิ่งที่ตอบสนองความต้องการทุกอย่าง ท่านกล่าวว่า "ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดสนเครื่องนุ่มห่มและอาหารประจำวัน และมีคนใดในพวกท่านกล่าวแก่เขาว่า "เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให่อบอุ่นและอิ่มเถิด" และไม่ได้ให้สิ่งที่เขาขัดสนนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร" (ยากอบ 2:15-16) "ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะ" คือผู้ที่ตอบสนองความต้องการทุกด้านของมนุษย์
ถ้าคุณมองดูทุกคริสตจักรที่กำลังเติบโต คุณจะเห็นลักษณะที่เหมือนกันคือพวกเขารู้จักวิธีตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้คน คริสตจักรจะไม่มีวันเติบโตไปเกินกว่าศักยภาพในการตอบสนองความต้องการ และถ้าคุณรู้จักตอบสนองความต้องการ ปัญหาเรื่องจำนวนคนจะไม่น่าหนักใจสำหรับคุณ
ความต้องการของคนในชุมชนคุณคืออะไร ผมตอบแทนคุณไม่ได้ เพราะแต่ละชุมชนมีความต้องการต่างกัน ผมรู้จักคริสตจักรหนึ่งที่สำรวจว่าอะไรที่เป็นความต้องการเฉพาะหน้าอันดับหนึ่งของชุมชน และพบว่าชุมชนต้องการการฝึกอบรมวิธีเลี้ยงเด็ดเล็ก เพราะพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยคู่สมรสหนุ่มสาวซึ่งไม่รู้วิธีเลี้ยงลูก แทนที่จะคิดว่านี่ไม่ใช่ความต้องการฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรนั้นฉวยโอกาสในการประกาศ โดยจัดการประชุม "วิธีการเลี้ยงเด็กเล็ก" และผลก็คือสามีภรรยาหลายคู่ได้มาเชื่อในพระคริสต์
เมื่อเราใช้ความต้องการของผู้คนเป็นประตูแห่งข่าวประเสริฐ เราจะพบว่าเรามีช่องทางมากมาย ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีพันธกิจเพื่อความต้องการต่าง ๆ กว่า 70 พันธกิจสำหรับสามีภรรยาที่ไม่มีบุตร ผู้ที่ถูกศาลสั่งบังคับสามีภรรยาที่แยกทางกัน วัยรุ่นที่ประสบปัญหา หรือคนที่กำลังต่อสู้กับยาเสพติด
มีความต้องการใดบ้างไหมที่พบในทุกสังคม ผมเชื่อว่ามี ทุกหนทุกแห่งที่ผมไป ผมพบว่าผู้คนล้วนมีความต้องการด้านอารมณ์และความสัมพันธ์ เรื่องนี้หมายรวมถึงความต้องการความรัก การยอมรับ ความหมาย การแสดงออก และจุดหมายในชีวิต ผู้คนยังแสวงหาอิสรภาพจากความกลัว ความรู้สึกผิด ความกังวล ความเจ็บแค้น ความท้อถอย และความว้าเหว่ ถ้าคริสตจักรคุณกำลังตอบสนองความต้องการเหล่านี้ คุณจะไม่ต้องวิ่งหาวิธีโฆษณาคริสตจักรของคุณเลย เพราะชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงคือ คำโฆษณาที่ดีที่สุดของคริสตจักร
ที่ใดก็ตามที่มีการตอบสนองความต้องการ และชีวิตคนได้รับการเปลี่ยนแปลงข่าวจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เอง ผมได้ยินคนพูดว่า "ช่างตัดผมบอกลูกค้าว่า ให้มาที่นี่เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ" ทุกครั้งที่คริสตจักรตอบสนองความต้องการ ข่าวจะแพร่ออกไปโดยการบอกปากต่อปาก และเมื่อข่าวแพร่ไปมากพอคริสตจักรคุณก็ดึงดูดผู้คนอย่างที่รายการพิเศษใด ๆ ก็ทำไม่ได้
พระเยซูดึงดูดฝูงชน
โดยการสอนสิ่งที่น่าสนใจและปฏิบัติได้
พระคัมภีร์บอกเราว่าเป็นธรรมเนียนของพระเยซูที่พระองค์ต้องสอนฝูงชน (มาระโก 10:1) และยังบอกด้วยว่าฝูงชนมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำสอนของพระองค์
๐ ประชาชนทั้งปวงก็ อัศจรรย์ใจ ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ (มัทธิว 7:28)
๐ ประชาชนทั้งปวงเมื่อได้ยินก็ ประหลาดใจ ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ (มัทธิว 22:33)
๐ ประชาชน ประหลาดใจ ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ (มาระโก 11:18)
๐ ฝ่ายประชาชนฟังพระองค์ ด้วยความยินดี (มัทธิว 12:37)
ฝูงชนไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนอย่างพระเยซู พวกเขา "ตรึงใจในคำสอนของพระองค์" และแน่นอนไม่มีสื่อสารยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว
ถ้าเราจะจับความสนใจของฝูงชนอย่างที่พระองค์ทำ เราก็ต้องสื่อสารความจริงฝ่ายวิญญาณ อย่างที่พระองค์ทำ เราต้องยึดเอาพระเยซูเป็นแบบอย่างของการเทศนา ไม่ได้ยึดเอานักเทศน์ดัง ๆ น่าเสียดายที่ตำราเทศนาบางเล่มให้ความสนใจกับอริสโตเติล และวาทศิลป์แบบกรีกมากกว่าพระเยซู
ในยอห์น 12:49 พระเยซูยอมรับว่า "แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา พระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา" สังเกตว่าทั้งเนื้อหาและวิธีการสอนของพระเยซูนั้นได้รับคำสั่งจากพระบิดา
มีบทเรียนมากมายที่เราสามารถเรียนรู้จากวิธีสื่อสารของพระเยซู แต่ในบทนี้ผมจะพูดเพียงสั้น ๆ เพื่อชี้ให้เห็นลักษณะสามประการในการสอนของพระองค์
พระเยซูเริ่มด้วยความต้องการ ความเจ็บปวด
และความสนใจของผู้คน
พระเยซูมักกล่าวคำสอนเพื่อตอบสนองต่อคำถามหรือปัญหาของบางคนในฝูงชน พูดอีกอย่างคือพระองค์เกาถูกที่คัน คำเทศนาของพระองค์ตอบสนองฉับพลันมักจะเข้ากับสถานการณ์ และมุ่งที่เหตุการณ์ในขณะนั้น
ครั้งแรกที่พระเยซูเทศนาที่นาซาเร็ธ พระองค์ทรงอ่านพระธรรมอิสยาห์ เพื่อประกาศว่าคำเทศนาในพันธกิจของพระองค์จะเป็นอย่างไร พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า" (ลูกา 4:18-19)
สังเกตข้อความนี้ที่เน้นการตอบสนองความต้องการ และรักษาความเจ็บปวดพระเยซูมีข่าวดี ดังนั้นคนจึงอยากฟังพระองค์ สารของพระองค์เสนอผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้คนที่ฟังพระองค์ และสัจจะของพระองค์จะ "ทำให้คนเป็นไท" และนำพระพรนานัปการมาสู่ชีวิตเขา
เราไม่จำเป็นต้องทำให้พระคัมภีร์สอดคล้องกับสถานการณ์ พระคัมภีร์สอดคล้องอยู่แล้ว แต่เหมือนที่พระเยซูทรงกระทำ เราต้องแสดงให้เห็นความสอดคล้องนั้นโดยการประยุกต์เข้ากับชีวิตส่วนตัวของผู้ฟัง
เราต้องเรียนรู้แบ่งปันพระกิตติคุณในลักษณะที่มันเป็น "ข่าว" และ "ดี" ถ้าไม่ใช่ข่าวดี ก็ไม่ใช่พระกิตติคุณ พระกิตติคุณกล่าวถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราและบอกเราว่าในพระคริสต์พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเราได้อย่างไร มันเป็นข่าวเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นคำตอบสำหรับปัญหาลึก ๆ ของเราข่าวประเสริฐหยิบยื่นสิ่งที่คนหลงหายกำลังโหยหา นั่นคือการยกโทษบาป อิสรภาพ ความปลอดภัย จุดมุ่งหมาย ความรัก การยอมรับ และกำลัง มันจัดการกับอดีตของเราให้ความมั่นใจกับอนาคต และให้ความหมายสำหรับปัจจุบัน มันเป็นข่าวดีที่สุดในโลก
ฝูงชนมักแห่แหนกับมาฟังข่าวดี โลกนี้มีข่าวร้ายมากจนเขาไม่อยากฟังข่าวร้ายอีกแล้ว เวลามาคริสตจักร พวกเขากำลังแสวงหาผู้ที่สามารถให้ความหวังและกำลังใจ พระเยซูเข้าใจเรื่องนี้ และทรงสงสารประชาชน พระองค์รู้ว่าพวกเขา "ถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง" (มัทธิว 9:36)
เมื่อคุณเริ่มเทศนา หรือสอนด้วยความต้องการของผู้คน คุณก็จะจับความสนใจของพวกเขาได้ทันที นักสื่อสารที่ดีทุกคนเข้าใจหลักการนี้ และครูที่ดีก็ดีรู้ว่าเขาต้องเริ่มจากสิ่งที่นักเรียนสนใจ แล้วจึงดึงเข้าสู่บทเรียน พนักงานขายที่ดีรู้ว่าต้องเริ่มจากความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่ตัวสินค้า ผู้จัดการที่ดีรู้ว่าต้องเริ่มจากเรื่องร้องเรียนของลูกจ้าง ไม่ใช่วาระการประชุมของตนเอง คุณต้องเริ่มจากจุดที่ผู้คนยืนอยู่ แล้วจึงนำเขามาสู่คุณต้องการ
พระเจ้าสร้างตัวกลั่นกรองไว้ที่ใต้ก้านสมองของคนเรา เพื่อไม่ให้เราต้องตอบสนองกับทุกภาพ ทุกกลิ่น ทุกเสียง ถ้าปราศจากอวัยวะนี้เราคงวิกลจริต แต่ด้วยอวัยวะนี้เราจึงสามารถตอบสนองเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ
แล้วอะไรบ้างที่ดึงดูดความสนใจของคุณ มีอยู่สามสิ่งด้วยกัน คือ สิ่งที่คุณเห็นว่า มีค่า สิ่งที่ โดดเด่น และการขู่ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่นักเทศน์และผู้สอนพึงปฏิบัติ ถ้าคุณต้องการจับความสนใจคนที่ไม่สนใจ คุณต้องโยงคำสอนเข้ากับหนึ่งในสามสิ่งนี้
คุณสามารถดึงดูดความสนใจได้ โดยการทำให้ข่าวประเสริฐโดดเด่น หรือข่มขู่แต่ผมเชื่อว่าวิธีที่สอดคล้องกับแนวทางของพระเยซูมากที่สุดคือ การแสดงให้เขาเห็นคุณค่า พระเยซูทรงสอนในลักษณะที่คนสามารถเข้าใจคุณค่าและผลประโยชน์ในสิ่งที่พระองค์ตรัส พระองค์ไม่พยายามขู่ให้คนเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า แท้จริงพระองค์ใช้คำขู่กับผู้นำทางศาสนา แต่พระองค์ทรงปลอบโยนคนที่บาดเจ็บ และทำให้คนที่รู้สึกสบายเกิดความไม่สบายใจ
ลัทธิที่เชื่อว่าความดีขึ้นอยู่กับสถานการณ์คือ ปัญหาของสังคมเรา ผู้คนกังวลและพร่ำบ่นเรื่องอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ครอบครัวที่แตกแยก และความเสื่อมทรามทางวัฒนธรรม แต่เขาไม่เคยตระหนักเลยว่าสาเหตุก็คือ พวกเขาไม่เห็นคุณค่าของความจริง พวกเขาคิดว่าการเปิดกว้างสำคัญกว่าความจริง และคงเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเราจะคิดว่า คนไม่เชื่อจะแห่กันมาคริสตจักรถ้าเราประกาศว่า "เรามีความจริง" เพราะพวกเขาจะตอบว่า "เหรอ ใคร ๆ ก็มีทั้งแหละ" ในสังคมที่คนไม่เห็นคุณค่าของความจริง ผู้ประกาศความจริงมักจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก นักเทศน์บางคนพยายามเอาชนะด้วยการ "ตะโกนให้ดัง ๆ" แต่การเทศนาเสียงดังก็ไม่ใช่ทางออก
คนที่ไม่เป็นคริสเตียนส่วนมากไม่แสวงหาความจริง แต่พวกเขาแสวงหาการบรรเทา นี่คือโอกาสที่เราจะทำให้เขาสนใจความจริง ผมพบว่าเมื่อผมสอนความจริงที่บรรเทาความเจ็บปวดหรือช่วยแก้ปัญหาของพวกเขา คนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็จะบอกว่า "ขอบคุณค่ะ" "ขอบคุณครับ แล้วหนังสือนี้มีอะไรที่เป็นจริงอีกไหม" การแบ่งปันหลักการในพระคัมภีร์ที่ตอบสนองความต้องการ จะทำให้เขาหิวกระหายความจริงมากขึ้น
น้อยคนที่มาหาพระเยซูเพราะกำลังแสวงหาความจริง พวกเขาแสวงหาการบรรเทา ดังนั้น พระเยซูจึงตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าของเขา ทั้งโรคเรื้อน ตาที่บอด หรือหลังที่โกง และหลังจากพระองค์ตอบสนองความต้องการของเขา พวกเขาก็มักจะหิวกระหายใคร่รู้ความจริงเกี่ยวกับชายคนนี้ ผู้ได้ช่วยแก้ปัญหาที่เขาแก้ไม่ได้
เอเฟซัส 4:29 กล่าวว่า "จงกล่าว [เฉพาะ] คำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง" (คำว่า "เฉพาะ" ตามฉบับภาษาอังกฤษ) สังเกตไหมครับว่า สิ่งที่เราพูดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของคนฟัง เราต้องพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา และถ้านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการสนทนาของเรา นี่ต้องเป็นเพราะประสงค์สำหรับคำเทศนาด้วยแน่นอนน่าเสียดายที่ศิษยาภิบาลจำนวนมากเทศนาตามที่เขาต้องการพูด ไม่ใช่เทศนาตามที่คนต้องการฟัง
สาเหตุหนึ่งที่ศิษยาภิบาลมากมายรู้สึกว่าการเตรียมคำเทศนาเป็นงานยากก็เพราะเขาถามคำถามผิด คือ "อาทิตย์นี้ ผมควรเทศนาเรื่องอะไร" แทนที่จะถามอย่างนั้น เขาควรถามว่า "อาทิตย์นี้ ผมจะเทศนาให้ใครฟัง" เพียงแค่คิดถึงความต้องการของผู้ฟัง ก็จะช่วยให้คุณรู้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคำเทศนานั้นได้
พระเจ้าทราบดีว่าใครจะมาฟังคำเทศนาในวันอาทิตย์ แล้วมีเหตุผลอะไรที่พระองค์จะให้คำเทศนาที่ไม่ตรงกับความต้องการของพวกเขาเลยสักนิด มีเหตุผลอะไรที่พระองค์จะให้คุณเทศนาในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ฟังที่พระองค์จัดเตรียมไว้
ฝูงชนไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะพูดความจริงหรือไม่ ความจริงไม่ใช่ทางเลือก แต่ฝูงชนจะกำหนดว่าคุณจะพูดความจริงใด เพราะความจริงบางเรื่องเหมาะกับคนไม่เชื่อมากกว่าความจริงอีกหลาย ๆ เรื่อง
เป็นไปไม่ไหมที่ความจริงจะไม่เข้ากับสถานการณ์ แน่นอน เป็นไปไม่ได้ ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณประสบอุบัติเหตุและกำลังเลือดไหลไม่หยุด คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าหมอมาอธิบายศัพท์ภาษากรีกของคำว่า โรงพยาบาล หรือประวัติศาสตร์หูฟังของแพทย์ ข้อมูลของเขาเป็นความจริง แต่มันไม่ทำให้คุณหายเจ็บปวด คุณย่อมต้องการให้หมอเริ่มต้นที่ความเจ็บปวดของคุณเสียก่อน
ผู้ฟังคือตัวกำหนดว่าคุณจะ เริ่ม คำเทศนาอย่างไร ถ้าคุณเริ่มด้วยการอธิบายเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ กว่าคุณจะนำเขาถึงการประยุกต์ใช้ในชีวิต เขาก็เลิกฟังคุณไปแล้ว เมื่อคุณพูดกับคนที่ไม่เชื่อ คุณต้องเริ่มด้วยสิ่งที่คุณมักจะใช้เป็นตอนจบ
พระเยซูโยงความจริงเข้ากับชีวิต
ผมชอบความเรียบง่ายและเป็นรูปธรรมในคำสอนของพระเยซู มันชัดเจนสอดคล้อง และนำไปปฏิบัติได้ เพราะเป้าหมายของพระองค์คือ การเปลี่ยนแปลง คนไม่ใช่แค่ให้ความรู้ ลองพิจารณาคำเทศนาบนภูเขาสิครับ นั่นคือคำเทศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีมา
พระองค์เริ่มเทศนาบนภูเขาโดยการแบ่งปันเคล็ดลับแปดประการของความสุขแท้ พระองค์พูดถึงการดำเนินชีวิตที่น่าเอาอย่าง การควบคุมความโกรธ การรื้อฟื้นความสัมพันธ์และการหลีกเลี่ยง การล่วงประเวณีและการหย่าร้าง จากนั้นพระองค์พูดเรื่องการรักษาสัญญา และทำดีตอบแทนความชั่ว หลังจากนั้น พระองค์พูดเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ เช่น การให้ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง วิธีอธิษฐาน การสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ และวิธีเอาชนะความกังวล พระองค์ปิดท้ายด้วยการบอกให้เราไม่ตัดสินผู้อื่นให้อธิษฐานด้วยความเพียร และให้ระวังผู้สอนเท็จ แล้วพระองค์ก็สรุปด้วยเรื่องราวง่าย ๆ ที่ย้ำความสำคัญของการทำตามสิ่งที่พระองค์เพิ่งสอนไป
นี่คือคำเทศนาที่คริสตจักรในปัจจุบันต้องการ มันไม่ใช่แค่คำเทศนาที่ดึงดูดฝูงชน แต่มันต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย มันไม่เพียงพอที่เราจะพูดว่า "พระเยซูเป็นคำตอบ" เราต้องแสดงให้เขาเห็นด้วยว่าพระเยซูเป็นคำตอบ อย่างไร คำเทศนาที่บอกให้คนเปลี่ยนแปลงโดยไม่บอกวิธีปฏิบัติให้เขา ก็จะนำเขาไปสู่ความสับสนและรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
หลายครั้งคำเทศนาเป็นแบบที่ผมเรียกว่า "แย่จริง" คือ มีแค่การพร่ำบ่นเรื่องสังคมของเรา และพิพากษาผู้อื่น เปรียบเหมือนหมอที่เน้นการวินิจฉัยโรค แต่ไม่เน้นการรักษา คำเทศนาประเภทนี้ทำให้คริสเตียนรู้สึกว่าตนเหนือกว่า "ชาวโลก" แต่มันแทบไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย แทนที่จะจุดตะเกียงให้ความสว่าง กลับนั่งสาปแช่ความมืด
เมื่อผมไปหาหมอ ผมไม่ได้ต้องการแค่ฟังหมอพูดว่าผมป่วยเป็นโรคอะไร ผมต้องการให้เขาบอกขั้นตอนที่จะทำให้ผมดีขึ้น สิ่งที่คนในปัจจุบันต้องการคือคำเทศนาที่บอกวิธีปฏิบัติมากขึ้น
ความลึกซึ้งของคำเทศนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักข้อเชื่อ คำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดคือ คำสอนที่ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนเปลี่ยนแปลง ดังที่ ดี. แอล. มูดี้ กล่าวว่า "พระเจ้าไม่ได้ประทานพระคัมภีร์เพื่อเพิ่มความรู้ของเรา แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต" เป้าหมายของเราคือ การมีชีวิตที่เหมือนพระคริสต์
พระเยซูตรัสว่า "เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต" (ยอห์น 10:10) พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ ศาสนา" การเป็นคริสเตียนเป็นชีวิต ไม่ใช่ศาสนา พระเยซูมักสอนสิ่งที่คนปฏิบัติได้ และเมื่อสอนเสร็จพระองค์ต้องการให้พวกเขา "ไปทำตามที่ได้ฟัง"
การเทศนาตามอย่างพระเยซูคือ การสอนที่โยงเข้าสู่ชีวิต และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต พระวจนะต้องนำมาประยุกต์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตจริง และคำเทศนาที่สอนการดำเนินชีวิตก็จะมีผู้สนใจฟังอยู่เสมอ
โปรดเข้าใจว่า คนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่ได้ขอร้องให้เราเปลี่ยนแปลงข่าวประเสริฐของเรา หรือทำให้เจือจางลง สิ่งที่เขาต้องการคือ ให้เราแสดงว่าคำสอนของเรานั้นเกี่ยวข้องกับชีวิต ผมพบว่าคนไม่เป็นคริสเตียนในอเมริกาจะสนใจมากเมื่อเขาเห็นว่าหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์นั้นสามารถใช้ในชีวิตพวกเขาได้จริง ๆ
สำหรับผม มันเป็นงานท้าทายและสนุกมากที่ได้สอนศาสนศาสตร์แก่คนที่ไม่เป็นคริสเตียน โดยไม่บอกว่าผมกำลังสอนศาสนศาสตร์ และไม่ใช้ศัพท์ศาสนศาสตร์ ผมเทศนาต่อเนื่องเรื่องการับสภาพมนุษย์ การทำให้เป็นผู้ชอบธรรม และการชำระให้บริสุทธิ์ โดยไม่ใช้คำเหล่านี้เลย ผมยังเคยเทศนาเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระลักษณะของพระเจ้า และแม้กระทั่งเรื่องบาปร้ายแรงเจ็ดประการ
เป็นเรื่องโกหกที่บอกว่า คุณต้องประนีประนอมคำเทศนาของคุณเพื่อจะดึงดูดฝูงชน พระเยซูไม่เคยทำอย่างนั้น คุณไม่จำเป็นต้อง เปลี่ยนแปลง สารในพระคัมภีร์แต่คุณจำเป็นต้อง แปล มันให้คนไม่เป็นคริสเตียนเข้าใจ
พระเยซูตรัสกับฝูงชนในรูปแบบที่น่าสนใจ
ฝูงชนชอบฟังพระเยซู มาระโก 12:37 กล่าวว่า "ฝ่ายประชาชนฟังพระองค์ด้วยความยินดี" ในภาษาอังกฤษฉบับ NIV ใช้คำว่า "ด้วยความชื่นชอบ" แล้วฝูงชน "ชื่นชอบ" คำเทศนาของคุณหรือเปล่า
ศิษยาภิบาลบางคนคิดว่าเขาล้มเหลวถ้าผู้คนชอบคำเทศนาของเขา ผมได้ยินบางคนพูดอย่างภูมิใจว่า "เราไม่ได้มาเพื่อให้ความบันเทิง" และเขาก็ทำเช่นนั้นได้ดีจริงเพราะแกลลัป โพล ทำสำรวจความคิดเห็นของประชาชนและได้ผลว่า คริสตจักรเป็นสถานที่ ๆ น่าเบื่อที่สุด
พจนนุกรมภาษาอังกฤษให้ความหมายคำว่า "ให้ความบันเทิง" ว่า จับความสนใจๆว้ในช่วงเวลายาวนาน" มีนักเทศน์คนไหนไม่ต้องการสิ่งนี้บ้าง เราไม่ควรกลัวว่าคำเทศนาของเราจะเป็นที่สนใจ คำเทศนาไม่จำเป็นต้องจืดชืด
สำหรับคนไม่เป็นคริสเตียน คำเทศนาที่น่าเบื่อเป็นเรื่องให้อภัยไม่ได้ ความจริงที่นำเสนอไม่ดีก็จะถูกละเลย ตรงข้าม คนไม่เป็นคริสเตียนจะฟังเรื่องโง่เขลาถ้ามันน่าสนใจ ถ้าคุณต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ ก็แค่เปิดโทรทัศน์ดูรายการหลังข่าว คุณจะเห็นว่าเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ บ้า ๆ บอ ๆ ครอบงำเวลาแพร่ภาพเกือบทั้งหมด
ผมพูดในบทที่แล้วว่า ผมประหลาดใจมากที่ครูสอนพระคัมภีร์บางคนสามารถทำให้หนังสือที่น่าตื้นเต้นที่สุดในโลก กลายเป็นหนังสือที่น่าเบื่อจนคนหาวนอนน้ำตาไหลได้ ผมเชื่อว่าการทำให้คนเบื่อหน่ายพระคัมภีร์เป็น บาป เมื่อเราสอนพระวจนะด้วยรูปแบบที่ไม่น่าสนใจ พวกเขาจะไม่คิดแค่ว่านักเทศน์คนนี้น่าเบื่อ แต่เขาจะคิดไปด้วยว่า พระเจ้า น่าเบื่อ เรากำลังดูหมิ่นพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าเราเทศนาด้วยรูปแบบและน้ำเสียงที่ไม่น่าสนใจ และถ้อยคำในพระคัมภีร์ก็สำคัญเกินกว่าที่เราจะบอกผู้คนว่า "อยากฟังกฟัง ไม่อยากฟังก็อย่าฟัง"
วิธีที่พระเยซูใช้จับความสนใจฝูงชนก็เป็นวิธีที่ท่านและข้าพเจ้าสามารถใช้ได้ประการแรก พระองค์ใช้วิธีเล่าเรื่องเพื่อสอนประเด็นสำคัญ ๆ พระเยซูเป็นนักเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ พระองค์จะตรัสว่า "แล้วคุณเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม …" แล้วพระองค์ก็จะเล่าคำอุปมาเพื่อสอนความจริง พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าการเล่าเรื่องเป็นวิธีที่พระเยซูชอบใช้มากที่สุด "ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย" (มัทธิว 13:34) บางครั้งนักเทศน์ก็ลืมไปว่าพระคัมภีร์เต็มไปด้วยเรื่องราว นี่คือวิธีที่พระเจ้าเลือกใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์
การเล่าเรื่องมีประโยชน์หลายประการในการสื่อสารความจริงฝ่ายจิตวิญญาณ
๐ เรื่องราวจับความสนใจของเรา นี่เป็นเหตุผลที่โทรทัศน์เป็นสื่อยอดนิยมเพราะมันใช้การเล่าเรื่องราวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นละคร รายการตลก ข่าว แม้แต่โฆษณาก็ใช้เรื่องราว
๐ เรื่องราวทำให้เกิดอารมณ์ร่วม การอธิบายแนวคิดไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ถ้าหากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต เนื้อหาของคุณก็ต้องทำให้เกิดผลกระทบ ไม่ใช่แค่ให้ความรู้
๐ เรื่องราวทำให้เราจดจำ หลังจากฟังเทศนา คนเราก็จะลืมลำดับหัวข้อต่าง ๆ ในเวลารวดเร็ว แต่เขาจะจดจำเรื่องราวไปอีกนานแสนนาน มันน่าอัศจรรย์ และบางครั้งดูตลก เวลาผมเห็นฝูงชนรีบหันมาฟังเวลานักเทศน์เริ่มเล่าเรื่อง แล้วพอเล่าจบ พวกเขาก็เลิกสนใจทันที
ประการที่สองพระเยซูใช้ภาษาง่าย ๆ ไม่ใช่ศัพท์วิชาการหรือคำเลิศหรู โดยพระองค์ใช้คำที่คนทั่วไปเข้าใจได้ เราต้องจำไว้ว่า พระเยซูไม่ได้ใช้ภาษากรีกที่ปราชญ์สมัยนั้นใช้กัน พระองค์ตรัสด้วยภาษาอารเมค ภาษาที่พูดกันตามท้องถนนในสมัยนั้นพระองค์เล่าเรื่องนก ดอกไม้ เหรียญ และสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่คนสามารถนึกถึงได้
ขณะที่พระเยซูสอนความจริงอันลึกซึ้ง ด้วยคำพูดง่าย ๆ ศิษยาภิบาลหลายคนกลับทำตรงกันข้าม พวกเขาสอนความจริงง่าย ๆ ด้วยภาษาซับซ้อน เขายกข้อพระคัมภีร์ที่พูดตรงไปตรงมา แล้วก็ทำให้มันสลับซับซ้อน พวกเขาคิดว่าเขากำลัง "ลึกซึ้ง" ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขากำลัง "เลอะเทอะ" สิ่งสำคัญในการสอนคือความชัดเจน
ศิษยาภิบาลบางคนชอบแสดงออกว่าตนเองรู้ภาษากรีกและศัพท์วิชาการ ทุกอาทิตย์พวกเขาพูดภาษาแปลก ๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพระวิญญาณ ศิษยาภิบาลควรตระหนักได้แล้วว่า ไม่มีใครใส่ใจกับภาษากรีกมากเหมือนพวกเขาหรอก ครั้งหนึ่ง ชัคสวินดอล และผมร่วมกันสอนวิชาหนึ่งในหลักสูตรปริญญาณเอกศาสนศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยวิธีเทศนา ในชั่วโมงสุดท้ายพวกนักศึกษาบอกว่าสิ่งที่เราสอนเหมือนกันโดยที่ไม่ได้ตกลงกันมาก่อน คือ จงสอนอย่างเรียบง่าย
การทำให้พระกิตติคุณเป็นเรื่องซับซ้อนนั้นเป็นเรื่องง่าย และซาตานก็อยากให้เราทำอย่างนั้น แต่การสื่อสารความจริงที่ลึกซึ้งแห่งพระวจนะในรูปแบบที่เรียบง่ายเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดและการเตรียมตัวอย่างมาก ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "คุณยังไม่เข้าใจสิ่งนั้นอย่างแท้จริง ถ้าคุณไม่สามารถสื่อสารมันออกมาอย่างเรียบง่าย" คุณอาจปราดเปรื่อง แต่ถ้าคุณไม่สามารถแบ่งปันความคิดอย่างเรียบง่าย ความปราดเปรื่องของคุณก็มีประโยชน์น้อยมาก
โครงร่างคำเทศนาที่เรียบง่ายคือโครงสร้างที่ทรงพลังที่สุด ผมถือว่าเป็นคำชมเมื่อคนเรียกผมว่านักเทศน์ "ที่เรียบง่าย" ผมสนใจว่าชีวิตคนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่และไม่มานั่งสนใจว่าเขาจะประทับใจคำศัพท์ที่ผมใช้หรือไม่
คนส่วนมากใช้คำศัพท์ในการสนทนาแค่ 2,000 คำ และใช้แค่ 900 คำในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับคนส่วนมาก คุณต้องทำให้มันเรียบง่าย อย่าปล่อยให้คนคิดว่าตนเองฉลาดมาชักจูงการใช้ภาษาของคุณ ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ชอบใช้คำเลิศหรูมักจะปิดซ่อนความไม่มั่นใจไว้ด้วย
การทำงานกับฝูงชน
เป็นเรื่องที่มีข้อถกเถียง
ผมตระหนักว่าเคริสเตียนบางคนจะไม่เห็นด้วยกับความคิดในบทนี้ และข้อโต้แย้งเรื่องการดึงดูดฝูงชนก็แบ่งได้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือ "การประกาศข่าวประเสริฐโดยการดึงดูด" ถูกต้องหรือไม่ และอีกประเด็นคือ คริสตจักรควรสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของสังคมที่พวกเขาต้องการประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร
"ออกไปบอก" หรือ "มาดูเถิด"
ผู้นำคริสตจักรบางคนปฏิเสธว่า การดึงดูดฝูงชนไม่ใช่วิธีประกาศข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ผมได้ยินนักเทศน์หลายคนพูดว่า "พระคัมภีร์ไม่ได้บอกให้โลกมาหาคริสตจักร แต่บอกให้คริสตจักรออกไปหาโลก" นี่เป็นประโยคที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว
แน่นอนพระคัมภีร์ได้สั่งให้คริสเตียน "ออกไปบอก" นั่นคือความหมายของพระมหาบัญชา คริสเตียนไม่อาจนั่งรอให้โลกมาถามเราเกี่ยวกับพระคริสต์ เราต้องรุกหน้าในการประกาศ สำหรับผู้เชื่อ พระเยซูตรัสว่า "ออกไป"
แต่สำหรับชาวโลกที่หลงหาย พระเยซูตรัสว่า "มา" เมื่อชายสองคนอยากรู้จักพระองค์ พระองค์ตอบว่า "มาดูเถิด" (ยอห์น 1:39) ในมัทธิว 11:28 พระเยซูตรัสกับผู้สนใจว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข" และในวันสุดท้ายของเทศกาลใหญ่พระเยซูตรัสด้วยเสียงดังว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม" (ยอห์น 7:37)
เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง "ไป" และ "มา" พระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึงทั้งสองอย่าง และทั้งสองใช้ได้สำหรับการประกาศ คริสตจักรที่มีสุขภาพดีและสมดุลควรจัดเตรียมโอกาสสำหรับทั้งสอง และคริสตจักรเราก็ใช้ทั้งสองวิธี เราพูดกับชุมชนว่า "มาดูเถิด" แต่สำหรับสมาชืกเราบอกว่า "ออกไปบอก"
การตอบสนองต่อวัฒนธรรม:
เลียนแบบ แยกตัวโดดเดี่ยว หรือแทรกซึม
ความขัดแย้งอีกส่วนคือ คริสตจักรควรตอบสนองต่อวัฒนธรรมอย่างไร มีแนวคิดตกขอบอยู่สองประการคือ การเลียนแบบ และการแยกตัวโดดเดี่ยว คนที่มีจุดยืนที่จะเลียนแบบอ้าว่า คริสตจักรต้องทำตัวเหมือนวัฒนธรรมของเรา เพื่อจะทำงานกับผู้คนได้ คริสตจักรในกลุ่มนี้ยอมสละความจริงในพระวจนะและภารกิจของคริสตจักร เพียงเพื่อจะปนเปไปกับสังคม พวกเขายอมรับค่านิยมของสังคมปัจจุบัน เช่น การบูชาความสำเร็จและความร่ำรวย สิทธิส่วนบุคคลแบบสุดโต่ง สิทธิสตรีตกขอบและมาตราฐานเสรีภาพทางเพศ หรือแม้แต่การรักร่วมเพศ พวกเขาประนีประนอมโอนอ่อนเรื่องการทรงเรียกให้กลับใจจากบาป และทุ่มเทชีวิตเพียงเพื่อจะดึงดูดฝูงชน และคริสตจักรก็ถูกทำลายเพราะถูกกลืนไปกับกระแสโลก
แนวคิดตกขอบอีกฝั่งคือ ค่าย "แยกตัวโดดเดี่ยว" กลุ่มนี้ยืนกรานว่าเราต้องหลีกเลี่ยงการรับเอาวัฒนธรรมของโลก ทุกอย่าง เพื่อที่จะรักษาคริสตจักรให้บริสุทธิ์ พวกเขามองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างค่านิยมที่ผิดบาปภายในสังคม กับธรรมเนียมปฏิบัติ และความชอบที่ไม่ผิดบาป พวกเขาปฏเสธการแปลพระคัมภีร์ฉบับบใหม่ ๆ การใช้ดนตรีร่วมสมัย และความพยายามต่าง ๆ ที่จะปรับเปลี่ยนประเพณีคริสตจักรที่มนุษย์กำหนดขึ้น เช่น เวลาหรือลำดับรายการนมัสการที่พวกเขาคุ้นเคย (เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะตั้งกำแพงศาสนศาสตร์ขึ้นเพื่อปกป้องความชอบส่วนตัว)
คริสตจักรกลุ่มนี้สับสนระหว่างประเพณี ของเขา กับ สิ่งที่ตรงตามพระคัมภีร์ เขาไม่ตระหนักว่าธรรมเนียม รูปแบบ และวิธีการที่พวกเขาคุ้นเคยนั้น ในอดีตก็มีผู้เชื่อประณามว่า "ตามสมัย ฝ่ายโลก และสอนเพี้ยน" มาแล้ว
แล้วเรามีทางเลือกแค่กลุ่มเสรีนิยม กับ กลุ่มประเพณีนิยม เท่านั้นหรือ เราไม่มีทางเลือกที่สามหรือ ผมเชื่อแน่ว่า มีทางเลือกที่สาม ยุทธวิธีของพระเยซูคือ ยาถอนพิษสำหรับแนวคิดตกขอบทั้งสอง แนวทางของพระองค์คือ การแทรกซึม
เหมือนปลาทะเลที่อยู่ในน้ำเค็มตลอดชีวิต โดยที่ตัวมันไม่เค็มไปด้วย พระเยซูกระทำพระราชกิจในโลก โดยที่ไม่เป็นของโลก พระองค์ทรง "อยู่ท่ามกลางเรา" (ยอห์น 1:14) พระองค์เดินท่ามกลางผู้คน พูดภาษาเดียวกับเขา ทำตามธรรมเนียมของเขา ร้องเพลงกับเขา ไปงานเลี้ยงของเขา และใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมของเขา (ลูกา 13:1-5) เพื่อพระองค์จะจับความสนใจของผู้คน แต่พระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดโดยไม่ลดทอนภารกิจของพระองค์แม้แต่น้อย
พันธกิจที่สนใจความรู้สึกของคนบาป ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางศาสนากระวนกระวายใจ และพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์พระองค์อย่างรุนแรง ถึงกับกล่าวหาว่าเป็นงานของมาร (มาระโก 3:22) พวกฟาริสีโกรธเมื่อเห็นพระองค์ให้ความต้องการของคนบาปสำคัญกว่าประเพณีทางศาสนา พวกตั้งฉายาพระองค์ว่า "มิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีต" สำหรับพวกเขานี่เป็นคำประณามหยามเหยียด แต่สำหรับพระเยซูนี่คือเหรียญเกียรติยศ พระองค์ตอบพวกเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต" (มาระโก 2:17)
สมัยพระเยซู พวกฟาริสีอ้างเรื่อง "ความบริสุทธิ์" เพื่อจะไม่คบค้าสมาคมกับคนบาป ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทุกวันนี้เราก็ยังมีฟาริสีในคริสตจักร คือ คนที่สนใจความบริสทุทธิ์มากกว่าผู้คน ถ้าหากคริสตจักรคุณจริงจังกับพระมหาบัญชา คุณจะไม่มีวันมีคริสตจักรที่ปราศจากบาป เพราะคุณจะดึงดูดคนบาปเข้ามาเสมอ บางครั้งการประกาศจะยุ่งเหยิง แม้พวกเขาจะมาเชื่อแล้ว คุณก็ยังต้องรับมือกับความไม่เป็นผู้ใหญ่ และอาการเนื้อหนังของพวกเขาอยู่
แล้วที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีคนที่ยังไม่กลับใจปะปนอยู่ในฝูงชนนับหมื่นบ้างไหม ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ถ้าคุณจับปลาด้วยอวนขนาดใหญ่ คุณจะได้ปลาสารพัดชนิด แต่นั่นไม่เป็นไร พระเยซูตรัสในคำอุปมาว่า ไม่ต้องกังวลกับข้าวละมานที่อยู่ท่ามกลางข้าวสาลี วันหนึ่งพระองค์จะแยกพวกเขาออกเอง (มัทธิว 13:29-30) เราต้องปล่อยให้การถอนวัชพืชเป็นหน้าที่ของพระเยซู เพราะพระองค์รู้ว่าใครบ้างที่เป็นข้าวละมานจริง ๆ
พระเยซูสงวนถ้อยคำรุนแรงไว้สำหรับกลุ่มประเพณีนิยมที่เคร่งศาสนาและก็เจ้าระเบียบ เมื่อฟาริสีถามพระองค์ว่า "ทำไมสาวกของท่านละเมิดธรรมเนียมของบรรพบุรุษ" พระเยซูตอบว่า "ทำไมพวกท่านละเมิดพระบัญญติของพระเจ้า" (มัทธิว 15:2-3) การทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จต้องมีความสำเร็จต้องมีความสำคัญเหนือการรักษาประเพณี
ถ้าคุณจริงจังกับทำพันธกิจกับผู้คนเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงกระทำ ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าผู้มีอิทธิทางศาสนาในปัจจุบันจะกล่าวหาว่า คุณคล้อยตามโลกและทำลายประเพณี คุณจะถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่ น่าเศร้าที่กลุ่มนิยมแยกตัวโดดเดี่ยวได้พิพากษาคริสตจักรที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้สนใจ พวกเขาพิพากษาอย่างรุนแรงทางบทความและหนังสือ และคำวิพากษ์วิจารณ์ส่วนมากก็ทำอย่างไม่ยุติธรรมและขาดความรู้ และไม่ได้พูดถึงคริสตจักรที่ใส่ใจความรู้สึกของผู้สนใจอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง
การแปลความจริงเป็นภาษาร่วมสมัยเป็นงานที่อันตราย จำได้ไหนว่า เขาเผาวิคลิฟเพราะท่านทำอย่างนั้น แต่คำวิพากษ์วิจารณ์จากคริสเตียนอื่นไม่ควรทำให้คุณหยุดทำพันธกิจอย่างที่พระเยซูทำ พระเยซูต้องเป็นแบบอย่างสูงสุดในการทำพันธกิจของเรา ไม่ใช่มนุษย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น