"จงปฏิบัติต่อคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส
จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ
ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน"
(คส. 4:5-6)
"จงกล่าว [เฉพาะ] คำที่ดีและเป็นประโยชน์
ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง"
(เอเฟซัส 4:29 - เพิ่มคำว่า "เฉพาะ" ตามฉบับภาษาอังกฤษ)
เมื่อผมเริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมมีคำเทศนาสำรองเก็บไว้มากมาย ซึ่งเป็นคำเทศนาที่ผมเตรียมไว้ตลอด 10 ปีที่ทำงานเป็นผู้ประกาศ ผมคิดว่าในปีแรก ๆ ผมคงจะใช้เวลาเตรียมเทศนาน้อยมาก แต่หลังจากที่ผมทำการสำรวจคนที่ไม่เป็นคริสเตียนในละแวกนั้น ผมก็ต้องรีบโยนความคิดนี้ทิ้งไป
ผมพบว่าคำหนิที่คนแถวนั้นพูดบ่อยที่สุดคือ "คำเทศนาน่าเบื่อและไม่ได้สอดคล้องกับชีวิต" ผมจึงหันมาตรวจสอบคำเทศนาของผมใหม่อีกครั้งอย่างจริงจัง โดยถามคำถามเดียวคือ คำเทศนาเหล่านี้มีความหมายสำหรับคนที่ไม่รู้พระเจ้าไหม
มันไม่สำคัญว่าผมจะชอบคำเทศนานั้นหรือไม่ และไม่สำคัญด้วยว่ามันจะถูกต้องตามหลักข้อเชื่อหรือเปล่า เพราะนั่นยังไม่เพียงพอ ถ้าผมจะดึงดูดคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผมต้องมีคำเทศนาที่เชื่อมโยงกับชีวิตพวกเขาได้ ผมจึงโยนคำเทศนาที่เตรียมมา 10 ปีนั้นลงตระกร้าไป ยกเว้นแค่สองบท ผมจำเป็นต้องพัฒนาทักษะในการเทศนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ต้องเริ่มขีดเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น
ปรับรูปแบบของคุณให้เข้ากับผู้ฟัง
รูปแบบการเทศนาที่ผมใช้ในการประชุมเพื่อผู้สนใจนั้น แตกต่างจากรูปแบบที่ผมใช้สอนผู้เชื่อเป็นอย่างมาก รูปแบบการสื่อสารที่สมาชิกส่วนมากคุ้มเคยนั้นเป็นรูปแบบที่ขัดขวางการเกิดผลในการนำคนไม่เชื่อมาหาพระเจ้า
เมื่อผมเทศนาให้ผู้เชื่อฟัง ผมชอบสอนไปตามหนังสือเล่มต่าง ๆ ในพระคัมภีร์สอนข้อต่อข้อ ครั้งหนึ่งผมใช้เวลาสองปีครึ่งสอนพระธรรมโรมแบบข้อต่อข้อในการนมัสการสำหรับผู้เชื่อ การสอนแบบอรรถาธิบายข้อต่อข้อ หรือทีละเล่ม จะช่วยเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ มันเกิดผลมากเมื่อคุณใช้วิธีนี้กับผู้เชื่อที่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระวจนะ และมีแรงจูงใจในการเรียนรู้พระคัมภีร์ แล้วสำหรับคนไม่เชื่อที่ยังไม่มีแรงจูงใจจะศึกษาพระคัมภีร์ล่ะ ผมไม่เชื่อว่าการสอนแบบข้อต่อข้อจะเป็นวิธีที่เกิดผลที่สุดในการประกาศกับคนไม่เชื่อ ตรงกันข้าม คุณต้องเริ่มจากเรื่องที่เขาเข้าใจตรงกับคุณ เหมือนที่เปาโลพูดกับคนไม่เชื่อที่สภาอาเรโอปากัส ในกรุงเอเธนส์ แทนที่ท่านจะเริ่มจากข้อพระคัมภีร์เดิม ท่านยกคำพูดของกวีในพวกเขา เพื่อจะจับความสนใจและทำให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
คำว่าสื่อสารในภาษาอังกฤษ (communication) มาจากคำภาษาละตินคือ communis ซึ่งหมายความว่า "เหมือนกัน" (common) คุณไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนได้จนว่าคุณจะค้นพบสิ่งที่คุณและเขาเข้าใจตรงกัน สำหรับคนไม่เชื่อ คุณไม่สามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันโดยการบอกว่า "ให้เราเปิดไปที่อิสยาห์บทที่ 14 แล้วเราจะศึกษาหนังสือที่ยอดเยี่ยมเล่มนี้กันต่อ"
สิ่งที่เราเข้าใจตรงกับผู้เชื่อไม่ใช่พระคัมภีร์ หากแต่เป็นความต้องการ ความเจ็บปวด และความสนใจที่เหมือนกัน ๆ กันในฐานะมนุษย์ คุณไม่สามารถเริ่มต้นจากข้อพระคัมภีร์ แล้วก็คาดหวังว่าคนไม่เชื่อจะชื่นชมไปด้วย สิ่งแรกคือคุณต้องจับความสนใจของเขาให้ได้ แล้วจึงนำเขาเข้าสู่ความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเรื่องที่พวกเขาสนใจ แล้วจึงค่อยแสดงให้เขาเห็นว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนั้นอย่างไร คุณก็จะสามารถจับความสนใจ ปลดอคติในใจ และทำให้พวกเขาเกิดความสนใจในพระคัมภีร์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ละสัปดาห์ผมเริ่มต้นด้วยความต้องการ ความเจ็บปวด หรือความสนใจแล้วจึงนำไปสู่สิ่งที่พระเจ้าบอกเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ในพระวจนะ และแทนที่จะเน้นที่พระคัมภีร์ตอนเดียว ผมใช้ข้อพระคัมภีร์หลาย ๆ ตอนที่พูดถึงเรื่องนั้น ผมเรียกการเทศนารูปแบบนี้ว่า อรรถาธิบาย "เทียบข้อกับข้อ" หรืออรรถาธิบายตามหัวข้อ (ในโรงเรียนพระคริสตธรรมการอรรถาธิบายแบบนี้เรียกว่า "ศาสนศาสตร์ระบบ)
ปัจจุบัน "การเนศนาสำหรับความต้องการเฉพาะหน้า" ถูกดูหมิ่นและถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงสนทนาบางแห่งว่า เป็นการลดคุณค่าของพระกิตติคุณและยอมต่อลัทธิบริโภคนิยม (ความลุ่มหลงในการบริโภคและเสพสุข) ผมอยากจะกล่าวเรื้องนี้ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่ทำได้ คือ การเริ่มต้นคำเทศนาด้วยความต้องการเฉพาะหน้าของผู้คนไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทางการตลาด มันตั้งอยู่บนรากฐานความจริงทางศาสนศาสตร์ที่พระเจ้าเลือกสำแดงพระองค์เองแก่มนุษย์ตามความต้องการของเรา ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่เต็มไปด้วยตัวอย่างของเรื่องนี้
แม้แต่พระนามต่าง ๆ ของพระเจ้าก็ยังเป็นการเปิดเผยว่า พระเจ้าตอบสนองความต้องการของเราอย่างไร ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อคนถามพระเจ้าว่า "พระองค์มีพระนามว่าอะไร" คำตอบของพระเจ้าก็เป็นการสำแดงพระองค์โดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาต้องการในเวลานั้น สำหรับคนที่ต้องการการอัศจรรย์ พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในฐานะ เยโฮวาห์ ยิเรห์ (เราคือผู้จัดเตรียมสำหรับเจ้า) สำหรับคนที่ต้องการการปลอบประโลม พระเจ้าสำแดงพระองค์ในฐานะ เยโฮวาห์ ชาโลม (เราเป็นสันติสุขของเจ้า) สำหรับคนที่ต้องการความรอด พระเจ้าสำแดงพระองค์ในฐานะ เยโฮวาห์ ซิดเคนู (เราเป็นความชอบธรรมของเจ้า) ตัวอย่างยังมีอีกมากมาย พระเจ้าเสด็จมาพบเรา ณ ที่ที่เราอยู่ ในความต้องการของเรา การเทศนาเพื่อความต้องการเฉพาะหน้าเป็นวิธีนำคนมาหาพระเจ้าที่ถูกต้องตามหลักศาสนศาสตร์
การเทศนาที่เปลี่ยนแปลงชีวิต คือการนำความจริงแห่งพระวจนะและความต้องการที่แท้จริงของผู้คนมารวมกันโดยผ่านการประยุกต์ใช้ คุณจะเริ่มที่ความจริงหรือความต้องการก็ขึ้นอยู่กับผู้ฟังของคุณ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สุดท้ายคุณต้องนำความจริงของพระเจ้า และความต้องการของคนมารวมเข้าด้วยกันโดยผ่านการประยุกต์ใช้
พระวจนะของพระเจ้า-->การประยุกต์ใช้<--ความต้องการของคน
ทั้งการอรรถาธิบายแบบข้อต่อข้อ (ทีละเล่ม) และการสอนตามหัวข้อ ต่างก็จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างคริสตจักรให้แข็งแรง การอรรถาธิบายทีละเล่มดีสำหรับการสอนผู้เชื่อ การสอนตามหัวข้อดีสำหรับการประกาศ
ทำให้คนไม่เป็นคริสเตียนสามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้
คนไม่เป็นคริสเตียนมักจะหวาดกลัวพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์เต็มไปด้วยชื่อประหลาด ๆ ไม่เหมือนหนังสือที่เขาเคยอ่าน ยิ่งกว่านั้นเท่าที่เขาเคยเห็น พระคัมภีร์ยังเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีตัวเลขอยู่ก่อนทุก ๆ ประโยค และเข้าเล่มด้วยปกหนัง และนี่เองที่มักทำให้คนไม่เชื่อมีความกลัวงมงายต่อการอ่านหรือแม้แต่จับพระคัมภีร์
เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าเป็น "ถ้อยคำแห่งชีวิต" เราจึงต้องทำทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อจะนำให้ผู้ไม่เป็นคริสเตียนได้รับพระคัมภีร์ และทำให้เขาสบายใจที่จะใช้พระคัมภีร์ มีหลายวิธีที่คุณจะช่วยพวกเขาคลายความวิตก และจุดประกายแห่งความสนใจในใจพวกเขา
อ่านพระคัมภีร์จากฉบับแปลใหม่ ปัจจุบันเรามีพระคัมภีร์ฉบับที่ยอดเยี่ยมและไม่มีเหตุผลสมควรอะไรที่เราจะทำให้ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนด้วยการใช้ภาษาสมัย 400 ปีที่แล้ว (พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษบางฉบับใช้ภาษาเก่าแก่หลายร้อยปี เช่น ฉบับคิงเจมส์ ที่รับรองการแปลพระคัมภีร์ฉบับนั้น ก็เป็นเพราะพระองค์ต้องการฉบับ ร่วมสมัย ครั้งหนึ่งผมเห็นโฆษณาที่กล่าวว่าถ้ากษัตริย์เจมส์มีชีวิตอยู่วันนี้ พระองค์จะอ่านฉบับเอ็นไอวี นั่นอาจจะจริงก็ได้ ความชัดเจนสำคัญกว่าอรรถรสทางบทกวี
จัดพระคัมภีร์ไว้ตามที่นั่ง ในปีแรก ๆ ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราได้ซื้อพระคัมภีร์ปกแข็งราคาถูกและวางไว้บนเก้าอี้ทุกตัว เนื่องจากคนไม่เป็นคริสเตียนไม่รู้จักหนังสือเล่มต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ คุณเพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าคุณอ่านพระคัมภีร์หน้าไหน นี่จะช่วยให้ผู้มาใหม่ไม่รู้สึกเขินอายเพราะต้องเปิดหานานเหลือเกิน
เลือกข้อพระคัมภีร์โดยนึกถึงคนไม่เป็นคริสเตียน พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าทุกข้อได้ดีเท่ากันสำหรับคนไม่เชื่อ บางตอนเหมาะสำหรับการนมัสการสำหรับผู้สนใจมากกว่าอีกหลาย ๆ ตอน เช่น คุณคงไม่อยากอ่านคำอธิษฐานของดาวิดในสดุดี 58 ให้คนไม่เชื่อ เก็บตอนนี้ไว้อ่านตอนเฝ้าเดี่ยวหรือเวลาอาหารเช้าของศิษยาภิบาลดีกว่า
พระคัมภีร์บางตอนต้องการคำอธิบายมากกว่าตอนอื่น ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราระลึกถึงเรื่องนี้เสมอ เราจึงชอบใช้ตอนที่ไม่ต้องอาศัยความเข้าใจเบื้องหลัง เรายังชอบใช้ตอนที่แสดงถึงประโยชน์ในการรู้จักพระคริสต์ด้วย
เตรียมโครงร่าง
โดยพิมพ์ข้อพระคัมภีร์ลงไปด้วย
ผมจัดพิมพ์โครงร่างคำเทศนาพร้อมด้วยข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดที่ใช้ เหตุผลที่ผมทำเช่นนี้ก็เพราะ
๐ คนไม่เป็นคริสเตียนไม่มีพระคัมภีร์
๐ มันช่วยให้เขาไม่เขินอายเวลาหาข้อพระคัมภีร์ไม่เจอ
๐ คุณสอนได้มากขึ้นในเวลาท่สั้นลง ครั้งหนึ่งผมลองนั่งนับศิษยาภิบาลชื่อดังคนหนึ่งพูดคำว่า "คราวนี้เปิดไปที่…" และจับเวลาว่าเขาเปิดหาพระคัมภีร์นานแค่ไหน เขาใช้เวลาเจ็ดนาทีของการเทศนาไปกับการพลิกหาข้อพระคัมภีร์อย่างเดียว
๐ ทุกคนสามารถอ่านออกเสียงพร้อมกันได้ เพราะทุกคนมีพระคัมภีร์ฉบับเดียวกัน
๐ คุณสามารถใช้พระคัมภีร์หลายฉบับและเปรียบเทียบกันได้
๐ ผู้ฟังสามารถขีดเส้นใต้หรือวงคำสำคัญ ๆ และจดบันทึกที่ขอบกระดาษได้
๐ มันช่วยให้คนจำคำเทศนาได้ เราลืม 90-95% ของสิ่งที่เราได้ยินภายใน 72 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าภายในวันพุธ ถ้าที่ประชุมไม่จดบันทึก พวกเขาจะจำได้เพียง 5% ของสิ่งที่คุณพูดในวันอาทิตย์
๐ มันสามารถเป็นหัวข้ออภิปรายกลุ่มย่อยได้
๐ สมาชิกสามารถสอนคนอื่นจากโครงร่างนั้น เรามีนักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่สอนกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ในสำนักงานโดยใช้โครงร่างคำเทศนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ครั้งหนึ่งครูสอนมัธยมปลายเล่าให้ผมฟังว่าพระเจ้าใช้โครงร่างคำเทศนาในชีวิตเขาอย่างไร วันหนึ่งเขารับโทรศัพท์จากลูกสาววัยรุ่น เธอประสบอุบัติเหตุ เธอไม่เป็นอะไร แต่เราพังยับ และเป็นความผิดของเธอเสียด้วย เขาไปรับลูกสาวกลับบ้านและขณะที่รอรถลากอยู่นั้น เขาก็เริ่มหงุดหงิดและโกรธลูกสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความเลินเล่อของเธอ แต่เขาสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งในร่องน้ำ พอเห็นว่าเป็นโครงร่างคำเทศนาของผม ก็เลยหยิบขึ้นมา คำเทศนาและข้อพระคัมภีร์นั้นเกี่ยวกับ "การระงับความโกรธ" เขายังเก็บมันไว้ในกระเป๋าสตางค์จนทุกวันนี้
วิธีที่เราใช้นี้มีประโยชน์มากมายจนผมไม่เคยเทศนาโดยไม่มีโครงร่างแจกเลยศิษยาภิบาลหลายพันคนได้นำรูปแบบโครงร่างที่เราใช้ที่แซดเดิลแบ็คไปใช้ และถ้าคุณต้องการตัวอย่างก็เพียงแค่เขียนจดหมายมาหาผม
ตั้งชื่อคำเทศนาให้ดึงดูดคนไม่เป็นคริสเตียน
ถ้าคุณเปิดอ่านหนังสือพิมพ์วันเสาร์ ในหน้าที่ลงโฆษณาคริสตจักร คุณจะเห็นว่าศิษยาภิบาลส่วนมากไม่พยายามดึงดูดคนไม่เป็นคริสเตียนด้วยหัวข้อเทศนา ผมมีตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ ลอส แองเจลิส ไทม์ เช่น "บนหนทางสู่เยรีโค" "การเป็นทิตัส" "คำสอนสำหรับการดำเนินชีวิต"
มีหัวข้อไหนบ้างที่ทำให้คุณอยากกระโดดจากเตียงแล้ววิ่งไปคริสตจักร มันจะดึงดูดคนไม่เป็นคริสเตียนที่อ่านผ่าน ๆ ไปหรือเปล่า นักเทศน์กำลังคิดอะไรกันอยู่ทำไมเขาเสียเงินเสียทองลงโฆษณาแบบนี้
ผมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตั้งชื่อคำเทศนาเหมือนบทความในนิตยสารรีดเดอร์ส ไดเจสต์ ผมจงใจให้เป็นอย่างนั้น รีดเดอร์ ไดเจสต์ ยังคงเป็นหนึ่งในนิตยสารที่มีคนอ่านมากที่สุดในอเมริกา เพราะบทความของเขาตรงกับความต้องการ ความเจ็บปวด และความสนใจของมนุษย์
พระเยซูตรัสว่า "ด้วยว่าคนของโลกนี้ในพวกเขา เขาใช้สติปัญญาฉลาดกว่าตนของความสว่างอีก" (ลก. 16:8) พวกเขารู้ว่าอะไรจับความสนใจผู้คนได้ พระเยซูคาดหวังให้เรามองการณ์ไกลและเฉลียวฉลาดในการประกาศ "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ" (มธ. 10:16)
คำเทศนาของผมไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้สมาชิกคริสตจักรอื่นประทับใจที่จริง ถ้าคุณตัดสินคริสตจักรแซดเดิลแบ็คด้วยหัวข้อเทศนาอย่างเดียว คุณอาจสรุปว่าเราสอนเรื่องตื้น ๆ แต่เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของเราไม่ใช่คริสเตียน เราจึงไม่ได้เทศนาเรื่องตื้น ๆ แต่เราทำอย่างมียุทธวิธี ภายใต้คำเทศนาเกี่ยวกับ "ความต้องการเฉพาะหน้า" คือ ถ้อยคำจากพระคัมภีร์ชนิดถึงแก่น และการที่คริสเตียนคนอื่นเข้าใจเราผิดก็เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับการนำคนนับพันมาหาพระคริสต์
เทศนาด้วยหัวข้อต่อเนื่อง
คำเทศนาต่อเนื่องทำให้ผู้ฟังเกิดความคาดหวัง และยังทำให้คนเอาไปโฆษณาปากต่อปาก ผู้ฟังรู้ว่าคุณเทศนาไปถึงไหนแล้ว และถ้าคุณบอกหัวข้อเทศนาล่วงหน้าเขาก็สามารถวางแผนที่จะนำเพื่อน ๆ มาในวันอาทิตย์ที่ตรงกับความต้องการของเพื่อนของเขา
ผมประกาศว่าจะเทศนาต่อเนื่องชุดใหม่ในวันที่เราคาดว่าจะมีคนมาใหม่เป็นจำนวนมาก เช่น วันอิสเตอร์ นี่เป็นการดึงเขาให้กลับมาในอาทิตย์หน้า ความยาวที่เหมาะสมสำหรับหัวข้อต่อเนื่อง คือ สี่ถึงแปดสัปดาห์ ถ้ามันยาวนานกว่าแปดสัปดาห์ที่ประชุมของคุณจะหมดความสนใจ เข้าจะเริ่มสงสัยว่า คุณรู้เรื่องอื่นบ้างหรือเปล่า ผมเคยได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งบ่นว่า "ศิษยาภิบาลของดิฉันวนเวียนในเรื่องเจ็ดสิบสัปตะนานกว่าที่ดาเนียลอยู่เสียอีก"
รักษารูปแบบการเทศนาให้สม่ำเสมอ
คุณๆม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนมาระหว่างผู้สนใจที่เป็นเป้าหมายกับผู้เชื่อได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจบคำเทศนาเรื่อง "จัดการกับความเครียด" คุณอย่าตามด้วย "อรรถาธิบายขุมทรัพย์เลวีนิติ" หรือเมื่อคุณจบเรื่อง "พระเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเพศ" อย่าตามด้วยเรื่อง "ถอดหน้ากากสัตย์ร้ายในวิวรณ์" คุณจะทำให้สมาชิกของคุณมีอาการเก็บตัว และไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นเวลาดีที่จะพาเพื่อนมาคริสตจักร
ผมไม่ได้พูดว่า คุณไม่สามารถที่จะเทศนาเรื่องการเติบโตของคริสเตียนในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ผมเชื่อว่าคุณทำได้ และผมก็ทำอยู่ อย่างที่ผมบอกในบทก่อน ๆ ว่า ผมชอบสอนศาสนศาสตร์และหลักข้อเชื่อให้คนไม่เป็นคริสเตียนฟัง โดยที่ไม่บอกเขาว่ามันเป็นศาสนศาสตร์ และไม่ใช้ศัพท์ศาสนา แต่เมื่อคุณเทศนาเกี่ยวกับบางแง่มุมของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คุณต้องเชื่อมโยงมันเข้ากับความต้องการของคนไม่เชื่อ ไม่โดยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง
เลือกนักเทศน์รับเชิญอย่างระมัดระวัง
เดี๋ยวนี้เราไม่เชิญนักเทศน์ข้างนอกมาเหมือนเมื่อก่อน เพราะผมมีทีมนักเทศน์ช่วยรับภาระร่วมกับผม ข้อดีของการใช้คนของคุณเองก็คือ พวกเขารู้จักคนของคุณ รักคนของคุณ และสำคัญที่สุด เขาใช้รูปแบบการเทศนาที่สอดคล้องกับปรัชญาการรับใช้ของคุณ
นักเทศน์ที่หลุดกรอบของคริสตจักรคุณอาจทำให้คุณเสียคนที่คุณฟูมฟักมาเป็นเดือน ๆ เมื่อคนไม่เป็นคริสเตียนเกิดความรู้สึกไม่ดีสักครั้ง มันก็ยากมากที่จะนำเขากลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขณะที่เขากำลังเริ่มสบายใจและลดเกราะป้องกันตัวเองลง นักเทศน์คนหนึ่งกลับมาซัดเขาเต็มแรง เขาจะยิ่งมั่นใจในเรื่องง่าย ๆ ที่เคยสงสัยคริสตจักร
เราเคยบอกเลิกนักเทศน์รับเชิญภายหลังการนมัสการรอบแรก เพราะเขาไม่เข้ากับความเชื่อและรูปแบบของเรา ครั้งหนึ่งเมื่อผมหยุดพักร้อน มีนักเทศน์ชื่อดังมาเทศนาแทนผม น่าเสียดายที่คำเทศนาของเขาคือ พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคนร่ำรวย หลังจากนมัสการรอบแรก ผู้ช่วยศิษยาภิบาลของผมเดินไปพบเขา พร้อมกล่าวว่า "ขอบคุณนะครับ แต่เราจะไม่ให้คุณเทศนาในการนมัสการอีกสามรอบที่เหลือ" ศิษยาภิบาลอนุชนของผมหยิบคำเทศนาเก่า ๆ และเทศนาแทน ศิษยาภิบาลต้องปกป้องฝูงแกะของตนจากคำสอนตบขอบ
เทศนาให้คนมอบถวายชีวิต
เราควรให้โอกาสคนไม่เป็นคริสเตียนได้ตอบสนองพระคริสต์ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจเสมอ พวกเขาอาจเลือกที่จะไม่ตอบสนองก็ได้ และคุณต้องเคารพการตัดสินใจนั้นและไม่กดดันเขา แต่ต้องเปิดโอกาสให้เขาเสมอ
มีหลากหลายวิธีที่จะเปิดโอกาสให้เขาตอบสนอง เมื่อผมวางแผนสำหรับการนมัสการครั้งแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมตั้งใจจะทำตามธรรมเนียมเดิม ๆ คือปิดท้ายการนมัสการโดยการเรียกให้คนเดินออกมาข้างหน้า ในฐานะผู้ประกาศแบ็บติสต์ผมทำอย่างนั้นเสมอมา
แต่ขณะที่ผมสรุปคำเทศนาที่โรงละครโรงเรียนมัธยมลากูน่า ฮิล ทันใดนั้นเองผมก็เห็นอุปสรรคสองประการ ประการแรกคือโรงละครนั้นไม่มีทางเดินตรงกลาง เพราะเก้าอี้เชื่อมต่อกันเป็นแถวยาว ปละอาคารนั้นออกแบบเพื่อให้เปิดโล่งไปสู่ประตูข้าง ประการที่สองผมรู้ว่าถึงแม้เขาจะสามารถมาถึงข้างหน้าได้ แต่สิ่งที่เขาจะพบก็คือปากบ่อซึ่งออกแบบไว้เป็นที่นั่งของวงดุริยางค์ ผมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อคิดถึงการพูดว่า "ผมจะขอให้คุณเดินมาข้างหน้าและโดดลงไปในหลุมเพื่อพระเยซู" ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ผมจะให้คนแสดงออกถึงการถวายชีวิตได้อย่างไร ถ้าเขาไม่สามารถออกมาข้างหน้า
ตลอดสองสามสัปดาห์ถัดมา เราทดลองหลาย ๆ วิธีที่จะให้คนแสดงออกถึงการถวายชีวิตแด่พระคริสต์ เราลองจัดห้องให้คำปรึกษาเพื่อคนจะมาพูดคุยหลังจากการนมัสการ แต่เราพบว่าเมื่อคนเดินออกจากการนมัสการแล้ว เขาก็มีแต่จะเดินๆปที่รถเท่านั้น ถ้าคุณตัดสินใจใช้ห้องแยกออกมา อย่าเรียกมันว่า "ห้องให้คำปรึกษา" สำหรับคนไม่เป็นคริสเตียนมันฟังดูเหมือนห้องบำบัดของจิตแพทย์ แต่ให้คุณใช้คำที่ไม่น่ากลัวเช่น "ศูนย์บริการผู้มาเยี่ยม" หรือ "บริเวณต้อนรับ"
หลังจากทดลองไปหลายวิธี เราก็ได้ความคิดเรื่องบัตรลงทะเบียนและมอบถวายชีวิต เราเลี่ยนด้านหลังของบัตรต้อนรับเป็นบัตรตัดสินใจ ในตอนเริ่มต้นของการนมัสการเราขอให้ทุกคนกรอกด้านหน้า ในตอนท้าย ผมขอให้ทุกคนก้มศีรษะและผมนำอธิษฐานปิดการประชุม ระหว่างนั้นผมเปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่เชื่อได้มอบถวายชีวิตแด่พระคริสต์ แล้วผมก็กล่าวคำอธิษฐานตัวอย่าง แล้วขอให้ผมรู้ถึงการตัดสินใจโดยการกรอกในบัตรตัดสินใจ สิ่งสุดท้ายในการนมัสการคือ เรามีเพลงพิเศษและรอบรวมบัตรและเงินถวายในเวลาเดียวกัน เราจะประมวลผลบัตรเหล่านั้นทันทีเพื่อทำการติดตามผล ขณะที่การนมัสการอีกรอบเริ่มขึ้น ข้อมูลจากบัตรที่ได้จากการนมัสการรอบแรกก็อยู่ในคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว
วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับเรา จนเรายังคงใช้วิธีนี้แม้จะย้ายสถานที่ไปยังอาคารที่เราสามารถเรียกคนออกมาข้างหน้าได้ เราเคยมีการนมัสการที่คนหนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อย และครั้งหนึ่งเกือบสี่ร้อยคนกรอกในบัตรว่าเขาได้มอบถวายชีวิตแด่พระคริสต์
บางคนอาจถามว่า "แล้วคนจะประกาศความเชื่อต่อสาธารณชนได้อย่างไร" นั่นคือพิธีบัพติศมา บางคริสตจักรให้ความสำคัญกับการเรียกให้คนออกมารับเชื่อมากจนพิธีบัพติศมาแทบไม่มีอะไรน่าตื้นเต้นเลย
การเปิดโอกาสให้มอบถวายชีวิตแด่พระเจ้า เป็นส่วนประกอบสำคัญของการนมัสการสำหรับผู้สนใจ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางประการสำหรับการนำคนให้ตัดสินใจมอบถวายชีวิต
อธิบายวิธีตอบสนองต่อพระคริสต์อย่างชัดเจน หลายครั้งเหลือเกินที่คำเชิญทำให้คนเข้าใจผิด และคนไม่เป็นคริสเตียนไม่เข้าใจสักนิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
วางแผนสำหรับช่วงมอบถวายชีวิต ให้คุณคิดอย่างเจาะจงและรอบคอบว่าคุณต้องการให้เกิดอะไรขึ้นในช่วงนั้น การเปิดโอกาสให้คนมาหาพระคริสต์เป็นเรื่องสำคัญเกินกว่าที่คุณจะรวบรัดลงท้ายคำเทศนาโดยไม่วางแผนมาก่อน เพราะปลายทางนิรันดร์ของคนเหล่านั้นกำลังอยู่ในจุดพลิกผัน
ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเชิญคนให้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณพูดเหมือนกันทุกสัปดาห์ ผู้ฟังก็จะเลิกสนใจเพราะเขาเบื่อหน่าย วิธีที่ดีที่จะหลีกเลี่ยงการพูดซ้ำซาก คือ การบังคับตนเองให้เขียนคำเชิญชวนใหม่ทุกครั้งที่เขียนคำเทศนา
กล่าวคำอธิษฐานตัวอย่างสำหรับคนไม่เป็นคริสเตียน คนไม่เป็นคริสเตียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพระเจ้า ดังนั้น คุณต้องให้ตัวอย่างกับเขา โดยพูดว่า "คุณอาจอธิษฐานทำนองนี้ว่า…" และขอให้เขาอธิษฐานตามไปในใจ นี่จะช่วยให้เขาแสดงความเชื่อออกมาเป็นถ้อยคำ
อย่ากดดันให้คนไม่เชื่อตัดสินใจ จงวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะทำงานของพระองค์ ดังที่ผมกล่าวในบทที่ 10 ว่า ถ้าผลไม้สุกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องยื้อยุดฉุดกระชาก ช่วงเวลาเชิญชวนที่ยาวนานเกินไปจะยิ่งทำให้ไม่เกิดผล เพราะมันทำให้ใจแข็งกระด้างแทนที่จะทำให้ใจอ่อน เราบอกให้คนใช้เวลาคิดไตร่ตรองเท่าที่เขาต้องการ ผมเชื่อว่าถ้าเขาซื่อสัตย์กับตนเอง เขาก็ย่อมตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง
จำไว้เสมอว่าคุณกำลังขอให้คนตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต การประกาศมักจะเป็นกระบวนการที่คนได้ฟังพระกิตติคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเป็นมุมมองที่ไม่คิดถึงสภาพความเป็นจริงเมื่อเราคิดว่า คนอายุสี่สิบปีจะหันเหทิศทางชีวิตของตนอย่างสิ้นเชิงโดยการฟังคำเทศนาสามสิบนาที คุณจะยังไปร้านขายของร้านเดิมอยู่ไหม ถ้าทุกครั้งที่คุณไปซื้อนม คนขายก็จะพยายามกดดันให้คุณซื้อสเต็ก ลองนึกดูสิครับ ถ้าคนขายบอกว่า "วันนี้เป็นวันสเต็ก เป็นเวลาแห่งสเต็ก คุณต้องซื้อสเต็กวันนี้ เพราะพรุ่งนี้คุณอาจไม่มีสเต็กก็ได้" ผู้คนไม่ได้ปิดใจอย่างที่เราคิด เขาเพียงแต่ต้องการเวลาเพื่อจะคิดและตัดสินใจในสิ่งที่เราเสนอให้เขา
เสนอทางเลือกหลาย ๆ ทางที่จะแสดงออกถึงการมอบถวายชีวิตแด่พระคริสต์ ถ้าคุณยังใช้วิธีเชิญคนออกมาข้างหน้า แทนที่จะเลิกใช้วิธีนี้ ให้คุณลองเพิ่มทางเลือกโดยใช้บัตร หย่อนเบ็ดลงในน้ำอีกสักตัว การใช้บัตรสามารถเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อายไม่กล้าแสดงออกมาข้างหน้า จำไว้ว่าพระเยซูไม่เคยตรัสว่า คุณต้องเดินจากจุด ก ไปจุด ข เพื่อจะประกาศความเชื่อของตน
จริง ๆ แล้วการเชิญคนออกมาข้างหน้าเป็นวิธีสมัยใหม่ อาซาเฮล เน็ตเทิลตันเริ่มใช้วิธีนี้ในปี 1817 และชาร์ลส์ ฟินนีย์มาทำให้มันแพร่หลาย คริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่ไม่มีการเชิญคนออกมาข้างหน้า เพราะพวกเขาไม่มีอาคารคริสตจักรตลอด 300 ปีแรก นั่นหมายความว่า ไม่มีทางเดินตรงกลาง และไม่มีธรรมาสน์ที่จะให้คนเดินออกมา
วิธีหนึ่งที่ผมใช้ได้ผลมากคือ "การสำรวจด้านจิตวิญญาณ" ในตอนท้ายการนมัสการ หลังจากเทศนาเรื่องแผนการแห่งความรอดและนำอธิษฐานมอบถวายชีวิต ผมก็ทำการสำรวจโดยพูดว่า "รู้ไหมครับ สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือได้มีโอกาสคุยกับคุณแต่ละคนเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับเส้นทางฝ่ายจิตวิญญาณของคุณ ผมอยากจะเชิญคุณแต่ละคนมาทานพายและกาแฟและเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตคุณ แต่น่าเสียดายที่ในคริสตจักรขนาดนี้ ผมไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นผมจึงขอให้คุณช่วยอะไรผมอย่างหนึ่งคือ มีส่วนร่วมในการสำรวจส่วนตัว ผมอยากให้คุณหยิบบัตรต้อนรับที่คุณกรอกไปก่อนหน้านี้ และที่ด้านหลังนั้น ขอให้คุณเขียนอักษร A B C หรือ D ตามที่ผมจะอธิบายต่อไปนี้
"ถ้าคุณเคยมอบถวายชีวิตให้พระเยซูคริสต์ก่อนมานมัสการวันนี้ ขอให้คุณเขียนอักษร A ถ้าคุณมาเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรกในวันนี้ ขอให้เขียนอักษร B และถ้าคุณตอบว่า "ริค ผม/ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจวันนี้ แต่กำลังไตร่ตรอง และอยากให้คุณรู้ว่าผม/ฉันกำลังไตร่ตรอง" ก็ให้คุณเขียนอักษร C และถ้าคุณไม่คิดจะมอบชีวิตให้พระเยซูคริสต์เลย ผมก็ยินดีรับคำตอบที่จริงใจของคุณโดยที่คุณเขียนอักษร D ลงไป"
ผลที่ได้ทำให้ผมอัศจรรย์ใจเสมอ วันอาทิตย์หนึ่งเราได้รับอักษร B เกือบสี่ร้อยตัว เราเคยได้รับอักษร C มากถึง 800 นั่นทำให้เรามีรายชื่อมากมายสำหรับอธิษฐานและเราไม่เคยได้รับอักษร D มากกว่า 17 ตัวเลย
ครั้งหนึ่งนักศึกษาพระคริสตธรรมบ่นกับชาร์ลส์ สเปอร์เจียนว่า "ผมไม่เข้าใจเลย ทุกครั้งที่ผมเทศนา ไม่มีใครมาหาพระคริสต์เลย แต่ทุกครั้งที่คุณเทศน์ จะมีคนมาหาพระคริสต์เสมอ" สเปอร์เจียนตอบว่า "ทุกครั้งที่คุณเทศนา คุณคาดหวังว่าคนจะมาหาพระคริสต์หรือเปล่า" ชายหนุ่มตอบว่า "แน่นอน ไม่ครับ" นั่นแหละปัญหาของคุณ" สเปอร์เจียนกล่าว
ผมมักจะอธิษฐานว่า "พระบิดา พระองค์ได้ตรัสว่า ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด ข้าพระองค์รู้ว่ามันเป็นการเสียเวลาถ้าจะเทศนาและไม่คาดหวังให้พระองค์ใช้คำเทศนานั้น ดังนั้น ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ล่วงหน้าที่จะมีคนได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต"
การเทศนาที่ดีเลิศ
เจตนาของบทนี้ไม่ใช่เพื่ออธิบายปรัชญาการเทศนาของผมทั้งหมด เรื่องนั้นคงเขียนหนังสือได้อีกเล่ม จุดมุ่งหมายของผมในบทนี้คือ ให้คำแนะนำที่คุณสามารถปฏิบัติได้ ซึ่งจะทำให้การเทศนาสำหรับคนไม่เป็นคริสเตียนเปลี่ยนไปอย่างมากมายไม่ว่าคุณจะมีรูปแบบการเทศนาอย่างไร
ในโลกเทคโนโลยีของเรา การเทศนามักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ล้าสมัยและไม่น่าสนใจ ผมเห็นด้วยว่ารูปแบบการเทศนาที่เคยได้ผลหลายรูปแบบ เดี๋ยวนี้ไม่สามารถสื่อสารกับผู้ไม่เชื่ออย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึงการได้เห็นชีวิตคนได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ก็ไม่มีอะไรจะเปรียบกับการเทศนาที่ได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณได้ คำเทศนายังคงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการนมัสการสำหรับผู้สนใจ การเติบโตตลอดสิบห้าปีของแซดเดิลแบ็ค ทั้งที่เราใช้โรงยิมที่ร้อน เต็นท์ที่ฝนรั่ว และที่จอดรถที่แออัด เป็นข้อพิสูจน์ว่า ผู้คนจะยอมทนความไม่สะดวกและข้อจำกัดหลายประการ ถ้าคำเทศนาตอบสนองความต้องการของเขาอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น