ตอนที่ 5
ก่อร่างสร้างคริสตจักร
เหตุฉนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า
เอเฟซัส 2:19
พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น
โรม 12:5
เมื่อคุณรวบรวมฝูงชนได้แล้ว คุณต้องเริ่มภารกิจที่สำคัญ คือ การทำให้พวกเขาเป็นสมาชิก ฝูงชนต้องกลายเป็นคริสตจักร ใน "กระบวนการพัฒนาชีวิต" ของคริสตจักร เราเรียกภารกิจนี้ว่า "การนำคนไปสู่ฐานหนึ่ง" (เปรียบเทียบกับเบสบอลกีฬายอดนิยมของอเมริกา ซึ่งผู้เล่นต้องตีลูกและวิ่งวนครบสี่ฐานจึงจะได้คะแนน) เราทำงานนี้โดยการรวมหรือกลืนพวกเขาเข้ามา การกลืนคือการย้ายคนจากการเป็นผู้มาร่วมประชุม ให้เป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นของคริสตจักร คนมนชุมชนจะพูดว่า คริสตจักร คนในชุมชนจะพูดว่า คริสตจักร นั้น" ฝูงชนของเราพูดว่า คริสตจักร นี้" แต่สมาชิกพูดว่า "คริสมของเรา" สมาชิกต้องมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ พวกเขาเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับ
ผมเรียกคริสเตียนในสหรัฐอเมริกาว่า "ผู้เชื่อลอยตัว" ในประเทศอื่นคุณจะหาคริสเตียนฉายเดี่ยวได้ยากมาก เพราะการเป็นคริสเตียนคือการผูกพันกับคริสตจักรท้องถิ่น แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาคริสเตียนนี้ไปคริสตจักรโน้น โดยไม่มีความรับผิดชอบหรือความทุ่มเทใด ๆ ให้แก่คริสจักร นี่เป็นผลมาจากลักธิปัจเจกนิยมแบบอเมริกาที่ลุกลามไปทั่ว (ความคิดที่ยึดถือความเป็นส่วนตัวแบบสุดโต่ง) ไม่มีใครสอนพวกเขาว่าการเป็นคริสเตียนไม่ได้เป็นแค่การมา เชื่อ เท่านั้น แต่หมายถึงการ เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ด้วย เราเติบโตในพระคริสต์โดยการมีความสัมพันธ์กับคริสเตียนคนอื่น ๆ โรม 12:10 กล่าวว่า "จงรักกันฉันพี่น้อง"
ครั้งหนึ่ง ซี. เอส. ลูวิส เขียนบทความเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก เขาย้ำเตือนเราว่า คำว่า สมาชิก นั้นเดิมทีเป็นคำของคริสเตียน แต่มันถูกใช้กันดาษดื่นจนความหมายดั้งเดิมสูญหายไป ทุกวันนี้คนส่วนมากโยงคำว่า สมาชิก เข้ากับการจ่ายค่ารายเดือน พิธีกรรมที่ไร้ความหมาย กฏหมายบ้า ๆ บอ ๆ และการมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่ไร้ค่า อย่างไรก็ตาม เปาโลมีภาพที่ต่างกันในเรื่องการเป็นสมาชิก สำหรับหมายถึงการกลายเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวในร่างกายที่มีชีวิต (รม. 12:4-5, คร. 6:15, 12:12-27) เราต้องรื้อฟื้นภาพนี้ขึ้นมาใหม่ อวัยวะใด ๆ ที่แยกออกจากร่างกายไม่เพียงแต่จะพลาดการทำงานตามหน้าที่ของตน แต่มันจะเหี่ยวแห้งและตายไปอย่างรวดเร็ว และนี่ก็เป็นจริงสำหรับคริสเตียนที่ไม่อุทิศตัวเพื่อคริสตจักรหนึ่งคริสตจักรใดด้วย
ฝูงชนจะไม่เข้าเป็นสมาชิกใหม่โดยอัตโนมัติ ถ้าคุณไม่มีระบบและโครงสร้างที่จะกลืนพวกเขาและรักษาพวกเขาไว้ พวกเขาจะไม่อยู่กับคริสตจักรคุณ คุณจะมีคนเดินออกมากพอ ๆ กับคนเดินเข้า
คริสตจักรหลายแห่งสรุปผิด ๆ ว่า เมื่อคนต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว งานขายก็เสร็จสิ้น และต่อจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้เชื่อใหม่ว่าจะตั้งใจแน่วแน่และเข้าร่วมในคริสตจักรหรือไม่ นี่มันไม่เข้าท่า ผู้เชื่อที่เป็นทารกยังไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร และเป็นความรับผิดชอบ ของคริสตจักร ที่จะรุกหน้าในการกลืนคนใหม่เข้ามาเป็นสมาชิก
ผมเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าประสงค์จะให้กำเนิดทารกในพระคริสต์จำนวนมาก ๆ พระองค์จะมองหารังที่อบอุ่นที่สุดที่พระองค์หาได้ เพื่อเลี้ยงดูฟูมฟักพวกเขา คริสตจักรใดที่ให้ความสำคัญกับการกลืนสมาชิกใหม่ พระองค์ก็จะอวยพระพรให้เติบโต ตรงกันข้าม คริสตจักรที่ไม่ใส่ใจสมาชิกใหม่ และปล่อยให้งานนี้เป็นไปตามมีตามเกิด ก็จะไม่เติบโต ในบทนี้ ผมขอแบ่งปันยุทธวิธีที่เราใช้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เพื่อจะรวมพวกเขาเข้ามา และรักษาพวกเขาไว้
วางแผนเพื่อกลืนสมาชิกใหม่
เนื่องจากคริสตจักรคุณมีประวัติ และอัตราการเติบโตที่ไม่เหมือนที่อื่น คุณจึงจำเป็นต้องถามคำถามสำคัญ ๆ และคำตอบเหล่านั้นจะกำหนดแผนการกลืนคนที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของคุณ สุภาษิต 20:18 กล่าวว่า "แผนงานดำรงอยู่ได้ด้วยการปรึกษาหารือ" และนี่คือคำถาม 12 ข้อที่เราใช้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค
1. พระเจ้าคาดหวังอะไรจากสมาชิกในคริสตจักรของพระองค์
2. เวลานี้เราคาดหวังอะไรจากสมาชิก
3. เวลานี้สมาชิกของเราประกอบด้วยคนกลุ่มไหน
4. แล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในห้าหรือสิบปีข้างหน้า
5. สมาชิกของเราให้คุณค่ากับสิ่งใด
6. อะไรคือสิ่งที่สมาชิกใหม่ของเราต้องการมากที่สุด
7. อะไรคือสิ่งที่สมาชิกเก่าต้องการมากทสุด
8. ทำอย่างไรการเป็นสมาชิกจะมีความหมายมากขึ้น
9. ทำอย่างไรเราจะมั่นใจว่าสมาชิกสัมผัสได้ว่าเรารักและห่วงใยเขา
10. เราเป็นหนี้อะไรสมาชิกบ้าง
11. เราสามารถให้อะไรกับสมาชิกได้บ้าง เช่นแหล่งข้อมูลหรือการปรนนิบัติบางอย่าง
12. เราจะเพิ่มมูลค่าให้สิ่งที่เราหยิบยื่นให้อยู่แล้วได้อย่างไร
ต่อจากนั้น คุณจำเป็นต้องตระหนักว่าสมาชิกในอนาคตก็จะมีคำถามของตนเองด้วย คำถามเหล่านั้นก็จะมีอิทธิพลต่อแผนการกลืนคนของคุณด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเข้าร่วมในคริสตจักรคุณ พวกเขาต้องการคำถามห้าข้อนี้ก่อน
ฉันเหมาะกับที่นี่ไหม นี่เป็นคำถามเรื่อง การยอมรับ และคุณจะตอบคำถามนี้ได้ดีโดยการตั้งกลุ่มเพื่อนในคริสตจักร เพื่อให้คนที่มีอายุ ความสนใจ ปัญหา หรือเบื้องหลังใกล้เคียงกันสามารถพบปะและเป็นเพื่อนกันได้ ทุกคนต้องการที่ว่างสำหรับตนเอง และกลุ่มย่อยก็มีบทบาทสำคัญยิ่งในการตอบสนองความต้องการนี้ คุณต้องแสดงให้เขาเห็นว่าคุณมีที่ว่างสำหรับเขา
มีใครอยากรู้จักฉันไหม นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับ มิตรภาพ คุณตอบคำถามนี้ได้โดยการสร้างโอกาสให้สมาชิกพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน มีวิธีมากมายในเรื่องนี้ แต่คุณจำเป็นต้องวางแผน จำไว้ว่าผู้คนไม่ได้แสวงหาคริสตจักร ที่เป็นมิตร มากเท่ากับแสวงหามิตร พวกเขาสมควรได้รับความสนใจส่วนตัว
ฉันเป็นที่ต้องการไหม นี่เป็นเรื่องของ คุณค่า คนเราต้องการให้บางสิ่งบางอย่างจากชีวิตเรา พวกเขาต้องการรู้สึกว่าเขามีความหมาย เมื่อคุณสามารถแสดงให้เห็นว่า พวกเขาสามารถใช้ความสามารถพิเศษของเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้พวกเขาจะเข้าร่วม ให้คุณสร้างคริสตจักรของคุณให้เป็นที่ ๆ สร้างสรรค์ และที่ ๆ ต้องการความสามารถทุกรูปแบบ ไม่ใช่แค่นักร้อง หรือครูสอนรวีฯ
การเข้าร่วมมีประโยชน์อย่างไร เป็นคำถามเกี่ยวกับ ผลประโยชน์ คุณต้องอธิบายอย่างชัดเจนและกระชับถึงเหตุผลและประโยชน์ของการเป็นสมาชิกคริสตจักรคุณ อธิบายทั้งในแง่มุมของพระคัมภีร์ ในเชิงปฏิบัติ และในแง่มุมส่วนตัว
ที่นี่เรียกร้องอะไรจากสมาชิก นี่เป็นคำถามเรื่อง ความคาดหวัง คุณต้องสามารถอธิบายถึงความรับผิดชอบของสมาชิกได้อย่างชัดเจน เหมือนที่คุณอธิบายถึงผลประโยชน์ของการเป็นสมาชิก พวกเขามีสิทธิที่จะรู้ว่าเราคาดหวังอะไรจากเขา ก่อนที่เขาจะเข้าร่วม
สื่อสารให้เขารู้ถึงผลประโยชน์ของการเป็นสมาชิก
การเข้าร่วมในคริสตจักรเคยเป็นการกระทำที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคมของเรา คุณเข้าร่วมเพราะใคร ๆ เขาก็เข้าร่วม แต่เดี๋ยวนี้กติกาสังคมเปลี่ยนไป จอร์จ แกลลัป พบว่าชาวอเมริกาส่วนใหญ่ เชื่อว่าเขาสามารถเป็น "คริสเตียนที่ดี" ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกคริสตจักร (หรือไม่ต้องไปคริสตจักรด้วยซ้ำ)
เวลานี้แทนที่เป็นเรื่องการยอมรับในสังคม การเป็นสมาชิกกลายเป็นการอุทิศชีวิต ทุกวันนี้วิธีจูงใจคนให้เป็นสมาชิกคือ การแสดงให้เขาเห็นประโยชน์ชนิดที่เทียบราคาต่อราคา ให้เขาเห็นว่าเขาจะได้อะไรตอบแทนจากการอุทิศชีวิตของตน ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราพบว่าเมื่อคนได้เข้าใจความหมายและประโยชน์ของการเป็นสมาชิก พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้น
การเป็นสมาชิกให้ประโยชน์มากมายดังนี้
1. มันบอกให้รู้ว่าคนนั้นเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง (เอเฟซัส 2:19, โรม 12:5)
2. มันทำให้เขามีครอบครัวฝ่ายวิญญาณที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจในการเดินกับพระคริสต์ (กาลาเทีย 6:1-2, ฮีบรู 10:24-25)
3. มันทำให้เขามีสถานที่ที่จะค้นพบและใช้ของประทานในงานรับใช้ (1 โครินธ์ 12:4-27)
4. มันทำให้เขาอยู่ภายใต้การปกป้องฝ่ายวิญญาณโดยผู้นำที่ใกล้ชิดพระเจ้า (ฮีบรู 13:17, กิจการ 20:28-29)
5. มันทำให้เขามีความรับผิดชอบต่อกันและกัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต (เอเฟซัส 5:21)
ในบทที่ 6 ผมได้แนะนำให้คุณทำให้วัตถุประสงค์ของคุณเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องนี้ยิ่งสำคัญเป็นพิเศษเมื่อคุณโน้มน้าวให้ฝูงชนเข้ามาเป็นสมาชิก คุณจำเป็นต้องเน้นย้ำความจริงที่ว่าคริสตจักรให้สิ่งที่เขาไม่สามารถหาได้จากที่ใดในโลก คือ
๐ การนมัสการ ช่วยให้ความสนใจของคุณจดจ่อที่พระเจ้า มันช่วยให้คุณเตรียมพร้อมทั้งด้านจิตวิญญาณและอารมณ์สำหรับสัปดาห์ที่จะมาถึง
๐ การสามัคคีธรรม ช่วยให้คุณสามารถเผชิญปัญหาในชีวิต เพราะคุณได้รับความช่วยเหลือและกำลังใจจากคริสเตียนคนอื่น ๆ
๐ การเป็นสาวก ช่วยทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็ง โดยการเรียนรู้ความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า และประยุกต์ใช้หลักการจากพระคัมภีร์ในวิถีชีวิต
๐ การรับใช้ ช่วยให้คุณค้นพบและพัฒนาความสามารถ และใช้มันเพื่อปรนนิบัติผู้อื่น
๐ การประกาศ ช่วยให้คุณทำภารกิจของคุณให้สำคัญคือ การนำเพื่อนฟูงและครอบครัวมารู้จักพระคริสต์
เรื่องคริสเตียนที่แยกตัวจากคริสตจักรนี้มีภาพเปรียบเทียบมากมาย เช่น นักฟุตบอลที่ไม่มีทีม ทหารพลัดจากหมู่ นักเป่าแตรที่ไม่มีวงบรรเลง และแกะหลงฝูง แต่ภาพที่เข้าใจได้ดีที่สุด (และตรงตามพระคัมภีร์ที่สุด) คือ เด็กที่ไม่มีครอบครัว
1 ทิโมธี 3:15 เรียกคริสตจักรว่า "ครอบครัวของพระเจ้าคือ คริสตจักรของพระเจ้าผู้ดำรงพระชนม์ เป็นหลักและรากแห่งความจริง" พระเจ้าไม่ต้องการให้บุตรของพระองค์เติบโตอย่างโดดเดี่ยว ดังนั้น พระองค์จึงสร้างครอบครัวฝ่ายวิญญาณไว้สำหรับเรา เปาโลย้ำเตือนเราในเอเฟซัส 2:19 ว่า "ท่านทั้งหลาย… เป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า" คริสเตียนที่ไม่มีครอบครัวก็คือเด็กกำพร้า
เป็นเรื่องสำคัญที่จะกำหนดฐานะคริสตจักรให้เป็นครอบครัว แทนที่จะเป็นสถาบัน นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ชาวอเมริกันเป็นพวกต่อต้านสถาบันมากขึ้นเรื่อย ๆ คนดูถูกคริสตจักรด้วยวลีที่ว่า "ศาสนาแบบจัดฉาก" กระนั้น คนก็ยังโหยหาความรู้สึกแห่งความเป็นครอบครัวและชุมชน
มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ครอบครัวเดี่ยวในวัฒนธรรมปัจจุบันแตกแยก เช่น อัตราการหย่าร้างที่สูง การแต่งงานภายหลังอยู่กินกัน การให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว วิถีชีวิตแบบ "ทางเลือกใหม่" และผู้หญิงทำงานนอกบ้าน นอกจากนั้นอัตราการย้ายถิ่นที่สูงก็เป็นอีกปัจจัย ในสังคมที่มีการย้ายถิ่นสูงเช่นนี้ ผู้คนแทบจะไม่มีรากเหง้า เขาไม่ได้ถูกห้อมล้อมด้วยครอบครัวขยายที่มีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา และพี่น้อง ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ให้ความปลอดภัยแก่คนสูงอายุ
ปัจจุบัน เรามีจำนวนคนโสดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา แวน. แพ็คการ์ด เรียกอเมริกาว่า "ชาติที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า" ผลก็คือเรากำลังประสบกับความว้าเหว่ที่แพร่ระบาดไปทั่วสังคม แกลลัป โพล รายงานว่าสี่ในสิบของชาวอเมริกันยอมรับว่ารู้สึก "ว้าเหว่สุดขีด" บ่อย ๆ แท้จริง ชาวอเมริกันคือคนที่ว้าเหว่ที่สุดในโลก
ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน ก็จะมีสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้คนโหยหาการสามัคคีธรรม วงสังคม และความรู้สึกแบบครอบครัว ตัวอย่างเช่น โฆษณาเบียร์ เขาไม่ได้ขายเบียร์แต่ขายวงสามัคคีธรรม ไม่มีใครนำเสนอภาพนายแบบที่ดื่มตามลำพัง มีแต่ร่วมวงกันดื่ม แล้วก็มีคำโฆษณาประกอบว่า "รู้สึกดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว" นักโฆษณาพบว่าเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน คนที่เคยรักความเป็นส่วนตัว จะโหยหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ความรู้สึกโหยหาพวกพ้องนี้เองที่ทำให้คริสตจักรมีโอกาสดีอย่างยิ่ง การวางตำแหน่งของคริสตจักรให้เป็นครอบครัวขยาย เป็น "สถานท่ีที่คุณได้รับการเอาใจใส่" จะเป็นการสัมผัสใจผู้คนที่ว้าเหว่อย่างตรงจุด
จัดชั้นเรียนบังคับสำหรับสมาชิกใหม่
มีการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า วิธีที่ผู้คนเข้าร่วมในองค์กรจะมีอิทธิพลมากต่อวิธีที่เขาจะปฏิบัติตนในองค์กรนั้น เรื่องนี้เป็นจริงสำหรับการเข้าร่วมในคริสตจักรด้วย วิธี ที่คนเข้าร่วมคริสตจักรจะตัดสินว่าเขาเป็นสมาชิกที่เกิดผลในอนาคตหรือไม่
ผมเชื่อว่าชั้นเรียนที่สำคัญที่สุดในคริสตจักรคือ ชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่เพราะมันกำหนดบรรยากาศและความคาดหวังสำหรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นเวลาที่ดีสุดที่จะเรียกร้องการอุทิศตัวจริงจังจากสมาชิกก็คือ เวลาที่เขาเข้าร่วมนั่นเองถ้าการเข้าร่วมมีเงื่อนไขน้อย คุณก็จะคาดหวังจากสมาชิกได้น้อย
ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ที่อ่อนแอจะทำให้เกิดคริสตจักรที่อ่อนแอ เช่นเดียวกันชั้นเรียนสมาชิกใหม่ที่เข้มแข็งจะทำให้เกิดคริสตจักรที่เข้มแข็ง ขอให้จำไว้ว่าชั้นเรียนที่เข้มแข็งไม่จำเป็นต้องเป็นชั้นเรียน ยาวนาน ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค (ชั้นเรียน 101) ยาวแค่สี่ชั่วโมง และสอนจบในหนึ่งวัน กระนั้น มันก็ทำให้สมาชิกของเรามีระดับการอุทิศตัวสูง เพราะคนที่เข้าเรียนจะได้รู้ชัดเจนว่า เราคาดหวังอะไรจากเขาในฐานะสมาชิก ความเข้มแข็งของชั้นเรียนสมาชิกใหม่วัดได้จากเนื้อหาที่สอนและการเรียกให้อุทิศชีวิต ไม่ใช่วัดจากความยาวนาน
ด้วยเหตุผลหลายประการ ผมเชื่อว่าศิษยาภิบาลอาวุโสควรสอนชั้นเรียนนี้หรืออย่างน้อยก็สอนส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นโอกาสให้สมาชิกใหม่เห็นนิมิตของศิษยาภิบาลทั้งได้สัมผัสความรักที่เขามีต่อสมาชิก และได้ฟังถึงความทุ่มเทที่ดูแล เลี้ยงดู และนำพวกเขา เป็นสิ่งสำคัญมาก ผมได้รับข้อความต่อไปนี้จากสมาชิกใหม่คนหนึ่ง มันแสดงถึงสิ่งที่หลายคนเขียนเกี่ยวกับชั้นเรียนสมาชิกใหม่ของแซดเดิลแบ็ค
เรียน อาจารย์ ริค
ขอขอบคุณที่มาสอนชั้นเรียนสมาชิกใหม่ (101) ด้วยตัวเอง การได้ฟังคุณแสดงความรักและการทุ่มเทเพื่อสมาชิกและนิมิตสำหรับอนาคตของเรานั้นเร้าใจมาก เราน่าจะเข้าเรียนชั้นนี้ก่อนหน้านี้ ความเห็นและคำแนะนำที่เราบอกเมื่อเรามาที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คครั้งแรก ๆ ก็ดูจะไม่สลักสำคัญอะไรเมื่อเราได้เข้าใจปรัชญา ยุทธวิธี และนิมิตของคริสตจักรนี้ เราถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เดินตามการนำของคุณและอยู่ในความดูแลของคุณ เวลานี้เรากำลังตื้นเต้นที่ค้นพบหน้าที่ของเราในการรับใช้ที่แซดเดิลแบ็ค
ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ของบางคริสตจักรสอยสิ่งที่ไม่เหมาะสม พวกเขาสอนเนื้อหาเกี่ยวกับการเติบโตฝ่ายวิญญาณและหลักข้อเชื่อพื้นฐาน เรื่องเหล่านี้สำคัญมากจริง ๆ แต่มันเหมาะสำหรับสอนในชั้นผู้เชื่อใหม่ หรือชั้นหลักข้อเชื่อคริสตจักรมากกว่าและชั้นเรียนที่สำคัญทั้งสอนนี้ควรแยกออกจากชั้นสมาชิกใหม่ ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ควรตอบคำถามเหล่านี้
๐ คริสตจักรคืออะไร
๐ อะไรคือวัตถุประสงค์ของคริสตจักร
๐ ประโยชน์ของการเป็นสมาชิกคืออะไร
๐ อะไรคือเงื่อนไขของการเป็นสมาชิก
๐ สมาชิกมีความรับผิดชอบอะไรบ้าง
๐ นิมิตและยุทธวิธีของคริสตจักรคืออะไร
๐ คริสตจักรจัดองค์กรอย่างไร
๐ ฉันจะมีส่วนในพันธกิจได้อย่างไร
๐ เมื่อฉันเป็นสมาชิกแล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง
ถ้าคุณเป็นคริสตจักรที่มุ่งจะนำคนไม่เป็นคริสเตียน ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ของคุณจำเป็นต้องให้คำอธิบายที่ชัดเจนในเรื่องความรอดด้วย เพราะจะมีคนมากมายอยากเข้าเป็นสมาชิกโดยที่ยังไม่เชื่อ เราอธิบายเสมอว่าการวางใจในพระคริสต์ คือ เงื่อนไขอันดับแรกของการเป็นสมาชิก และเรามีคนที่ตัดสินใจมอบถวายชีวิตให้พระคริสต์ในการสอนชั้นสมาชิกใหม่ทุกครั้ง
มีส่วนประกอบหลายอย่างที่คุณสามารถใช้ในชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่ เพื่อทำให้มันน่าสนใจและมีการสนทนาโต้ตอบ เช่น ฉายวีดิโอสั้น ๆ สมุดบันทึกพร้อมกับคำถามแบบเติมคำ การแบ่งกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อสนทนา และการรับประทานอาหารอร่อยร่วมกัน อย่าลืมเล่าเรื่องราวมาก ๆ เพื่อทำให้ประวัติศาสตร์ ค่านิยม และทิศทางของคริสตจักรคุณมีชีวิตชีวามากขึ้น ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเรามักจะมีแบบทดสอบตอนท้ายชั่วโมง เพื่อทดสอบมุมมองของสมาชิกเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของคริสตจักรและแนวคิดที่สำคัญอื่น ๆ
การผ่านชั้นเรียนสำหรับสมาชิกควรเป็นเงื่อนไขสำหรับการเป็นสมาชิก คนที่ไม่สนใจหรือไม่เต็มใจจะเรียนรู้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรก็ไม่ได้แสดงให้เห็นการอุทิศตัวที่สมาชิกต้องมี ถ้าเขาไม่ใส่ใจพอที่จะบรรลุความรับผิดชอบนั้น และไม่ควรอนุญาตให้เขาเป็นสมาชิก ยังมีที่อื่นอีกมากมายที่ยอมให้เขาเป็นสมาชิกอย่างไร้ความหมาย
เป็นเรื่องสำคัญที่จะคำนึงถึงความแตกต่างด้านอายุ เมื่อคุณสอนชั้นสมาชิกใหม่ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราแบ่งเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มเด็ก สำหรับเด็กประถมปลาย (สอนโดยศิษยาภิบาลคริสตจักรเด็ก) กลุ่มเยาวชน สำหรับนักเรียนมัธยม (สอนโดยศิษยาภิบาลเยาวชน) และกลุ่มผู้ใหญ่
เค้าโครงชั้นเรียน 101
ความหมายของการเป็นสมาชิกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค
1. ความรอดของเรา
ก. สร้างความมั่นใจว่าคุณเป็นคริสเตียน
ข. สัญลักษณ์แห่งความรอด
1. พิธีบัพติศมา
2. พิธีมหาสนิท
2. แถลงการณ์ของเรา
ก. แถลงการณ์วัตถุประสงค์: คริสตจักรเรามีอยู่เพื่ออะไร
ข. แถลงการณ์นิมิต: เราตั้งใจจะทำอะไร
ค. แถลงการณ์ความเชื่อ: เราเชื่ออะไร
ง. แถลงการณ์ค่านิยม: เราปฏิบัติอย่างไร
3. ยุทธวิธีของเรา
ก. ประวัติคริสตจักรแซดเดิลแบ็คโดยย่อ
ข. เราพยายามนำใครมาหาพระเจ้า (กลุ่มเป้าหมายของเรา)
ค. กระบวนการพัฒนาชีวิตของคริสตจักรที่จะช่วยให้คุณเติบโต
ง. ยุทธวิธีของเรา S.A.D.D.L.E.B.A.C.K.
4. โครงสร้างของเรา
ก. คริสตจักรเราจัดองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างไร
ข. การเข้าร่วมเป็นสมาชิก
ค. การเป็นสมาชิกหมายความว่าอย่างไร
ง. หลังจากเข้าเป็นสมาชิกแล้วขั้นต่อไปคืออะไร
5. ทดสอบ
ทำพันธสัญญาสมาชิก
คริสตจักรจะมีรายชื่อสมาชิกมากมายไว้ทำไม ในเมื่อพวกเขาไม่แสดงออกถึงการอุทิศชีวิตหรือการกลับใจเลย ทำไมคริสตจักรมากมายจึงพบความยากลำบากในการพยายามกระตุ้นสมาชิกให้เสียสละ รับใช้ อธิษฐาน และแบ่งปันความเชื่อ ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะพวกเขายอมให้คนเข้ามาเป็นสมาชิกโดยไม่กำหนดความคาดหวังใด ๆ จากสมาชิก คุณจะได้สิ่งที่คุณขอ
เปาโลกล่าวถึงการอุทิศชีวิตสองแบบที่แตกต่างกันใน 2 โครินธ์ 8:5 "ได้ถวายตัวเขาเองแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วได้มอบตัวให้เราตามพระทัยพระเจ้า" ที่แซดเดิลแบ็คเราเรียกการอุทิศชีวิตทั้งสองนี้ว่า การอุทิศสำหรับฐานแรก (เปรียบกับกีฬาเบสบอล) คุณมอบชีวิตให้พระคริสต์สำหรับความรอด แล้วคุณก็มอบชีวิตให้พี่น้องคริสเตียนเพื่อเป็นสมาชิกในครอบครัวคริสตจักร คริสตจักรของเราให้ความหมายคำว่า koinonia (การสามัคคีธรรม - คำกรีก) ว่า "มอบชีวิตให้กันและกันเหมือนที่เรามอบชีวิตให้พระเยซู"
พระเยซูตรัสว่าความรักที่เรามีต่อกันควรเป็นเครื่องหมายของการเป็นสาวก (ยอห์น 13:34-35) ผมเชื่อว่านี่เป็นคำฟ้องร้องสำหรับคริสตศาสนา ที่ผู้เชื่อมากสามารถท่องจำ ยอห์น 3:16 แต่ไม่สามารถจำ 1 ยอห์น 3:16 ได้ คือ "ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลายและเราทั้งหลายก็ควรสละชีวิตของตนเพื่อพี่น้อง" คุณได้ยินคำเทศนาเกี่ยวกับข้อนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คริสตจักรส่วนมากเงียบเฉย ไม่ยอมพูดถึงการพัฒนาสมาชิกให้อุทิศชีวิตให้กันและกันมากขนาดนั้น
วลี "ซึ่งกันและกัน" หรือ "กันและกัน" ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ 50 ครั้ง พระเจ้าบัญชาให้เรารักกันและกัน อธิษฐานเพื่อกันและกัน หนุนใจกันและกัน ตักเตือนกันและกัน ทักทายกันและกัน รับใช้กันและกัน สอนกันและกัน ยอมรับกันและกัน ให้เกียรติกันและกัน รับภาระของกันและกัน ยกโทษให้กันและกัน ร้องเพลงให้กันและกัน ยอมรับฟังกันและกัน และอุทิศชีวิตแก่กันและกัน คำสั่งเหล่านี้คือความหมายทั้งหมดของการเป็นสมาชิกในคริสตจักรท้องถิ่น เป็นความรับผิดชอบของการเป็นสมาชิก ที่แซดเดิลแบ็ค เราคาดหวังจากสมาชิกเราเฉพาะสิ่งที่พระคัมภีร์คาดหวังอย่างชัดเจนจากผู้เชื่อทุกคน แล้วเราก็สรุปความคาดหวังเหล่านี้ลงในพันธสัญญาสมาชิก
ส่วนสำคัญที่สุดในพิธีสมรสคือ เมื่อชายและหญิงกล่าวคำสัญญาต่อกันและกันต่อหน้าสักขีพยานและต่อพระพักตร์พระเจ้า คำสัญญาระหว่างเขาทั้งสอง คือ เนื้อแท้ของพิธีสมรส เช่นเดียวกัน เนื้อแท้ของการเป็นสมาชิกคริสตจักรก็อยู่ที่การเต็มใจที่จะทุ่มเทชีวิตตามพันธสัญญาสมาชิก นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่
ตลอดประวัติศาสตร์พระคัมภีร์และประวัติศาสตร์คริสตจักร มีการทำพันธสัญญาฝ่ายวิญญาณระหว่างมนุษย์เพื่อการทำประโยชน์และรับผิดชอบต่อกันและกันที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเรามีเงื่อนไขสี่ประการสำหรับสมาชิก
(1) ยอมรับโดยส่วนตัวว่าพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด
(2) รับบัพติศมาโดยการจุ่มเพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงความเชื่อของตนต่อสาธารณชน
(3) ผ่านชั้นเรียนสมาชิกใหม่ และ
(4) ลงนามแสดงจำนงที่จะทำตามพันธสัญญาสมาชิกแซดเดิลแบ็ค
ถ้าคุณยังไม่มีพันธสัญญาดังกล่าว ผมหนุนใจให้คุณอธิษฐานมาก ๆ จัดทำและใช้พันธสัญญาสมาชิกในคริสตจักรของคุณ มันอาจปฏิบัติคริสตจักรเพราะพันธสัญญานี้ก็ได้" คุณพูดถูก จะมีบางคนออกไป แต่ยังไง ๆ พวกเขาก็จะออกจากคริสตจักรคุณอยู่ดี ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร ผู้คนเคยละทิ้งแม้แต่พระเยซูมาแล้ว แต่เมื่อคริสตจักรคุณใช้พันธสัญญาสมาชิก อย่างน้อยคุณก็ได้เลือกว่าคนแบบไหนจะอยู่ต่อไป
ทำให้สมาชิกรู้สึกพิเศษ
การผ่านชั้นเรียนสมาชิกใหม่ไม่ได้ทำให้พวกเดียวกับคุณโดยอัตโนมัติ พวกเขาต้องสัมผัสได้ว่าเมื่อเขาเข้าร่วมในคริสตจักรแล้ว เขาได้รับการต้อนรับและเป็นที่ต้องการ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการยอมรับ ยืนยันและเฉลิมฉลองจากสมาชิกเดิมในคริสตจักร เขาจำเป็นต้องรู้สึกพิเศษ ถ้าคุณเป็นคริสตจักรขนาดเล็ก คุณอาจทำอย่างไม่เป็นทางการ แต่เมื่อคริสตจักรคุณโตขึ้น คุณก็จำเป็นจะต้องสร้างธรรมเนียมที่บอกต่อสาธารณชนว่า "ตอนนี้คุณเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว"
แน่นอน พิธีบัพติศมาใช้ได้ดีในกรณีนี้ พิธีบัพติศมาของเราจัดทุกเดือน และเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ปรบมือ และโห่ร้องด้วยความชื่นบาน เรามีช่างภาพอาชีพถ่ายภาพแต่ละคนก่อนรับบัพติศมา หลังจากนั้นเราก็มอบภาพเหล่านั้นรวมทั้งภาพเวลารับบัพติศมาและใบรับรองแก่ผู้ที่รับบัพติศมา โดยใส่ในปกหนังสวยงามที่เขาจะสามารถตั้งแสดงได้อย่างภาคภูมิใจ
พันธสัญญาสมาชิกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค
หลังจากได้รับพระคริสต์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า และได้รับบัพติศมา และเห็นด้วยกับแถลงการณ์ ยุทธวิธี และโครงสร้างของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เวลานี้ข้าพเจ้าสัมผัสการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะผูกพันเข้ากับครอบครัวคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค โดยการกระทำเช่นนี้ ข้าพเจ้ามอบชีวิตแด่พระเจ้าและแก่สมาชิกคนอื่น ๆ เพื่อจะทำสิ่งต่อไปนี้
1. ข้าพเจ้าจะปกป้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคริสตจักรของข้าพเจ้า
… โดยการปฏิบัติต่อสมาชิกคนอื่น ๆ ด้วยความรัก
… โดยการไม่นินทา
… โดยการติดตามผู้นำ
"เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุขแก่กันและกันและทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน" (โรม 14:19)
"ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้วด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง" (1 เปโตร 1:22)
"อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง" (เอเฟซัส 4:29)
"ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของหัวหน้าของท่าน จงให้เขาทำงานนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลายเลย เพราะว่าท่านเหล่านั้นดูแลรักษาจิตวิญญาณของท่านอยู่เสมือนหนึ่งผู้ที่จะต้องเสนอรายงาน" (ฮีบรู 13:17)
2. ข้าพเจ้าจะร่วมรับผิดชอบในคริสตจักรข้าพเจ้า
… โดยการอธิษฐานเพื่อการเติบโตของคริสตจักร
… โดยการเชิญคนไม่เป็นคริสเตียนมาร่วมประชุม
… โดยการต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น
"เรียน คริสตจักร - … เราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลาย และเมื่ออธิษฐานเราก็เอ่ยถึงท่านเสมอ" (1 เธสะโลนิกา 1:1-2)
"นายจึงสั่งบ่าวนั้นว่า "จงออกไปตามทางใหญ่ซอกน้อย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามา เพื่อเรือนของเราจะเต็ม" (ลูกา 14:23)
"เหตุฉะนั้นจงต้อนรับกันและกันเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ได้ทรงต้อนรับท่านเพื่อพระเกียรติของพระองค์" (โรม 15:7)
3. ข้าพเจ้าจะรับใช้ในพันธกิจของคริสตจักรข้าพเจ้า
… โดยการค้นหาความสามารถและของประทานของข้าพเจ้า
… โดยรับการฝึกฝนงานรับใช้จากศิษยาภิบาล
… โดยการพัฒนาหัวใจแห่งผู้ปรนนิบัติ
"ตามซึ่งทุกคนได้รับของระทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน" (1 เปโตร 4:10)
"ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น" (ฟีลิปปี 2:4-5,7)
4. ข้าพเจ้าจะสนับสนุนคำพยานของคริสตจักรข้าพเจ้า
… โดยการร่วมประชุมอย่างสัตย์ซื่อ
… โดยการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม
… โดยการให้ผู้อื่นเสมอ
"อย่าขาดการประชุม… แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น" (ฮีบรู 10:25)
"แม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านเชื่อมั่นคง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่ออันเกิดจากข่าวประเสริฐนั้น" (ฟีลิปปี 1:27)
"ทุกวันต้นสัปดาห์ให้พวกท่านทุกคนเก็บเงินผลประโยชน์ที่ได้รับไว้บ้าง เพื่อจะไม่ต้องเก็บเรื่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา" (1 โครินธ์ 16:2)
"ทศางค์ (หนึ่งในสิบ) ทั้งสิ้นที่ได้… เป็นของพระเจ้า เป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเจ้า" (ลนต. 27:30)
เมื่อครั้งที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีขนาดเล็กกว่านี้มาก เราเช่าคลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟทุกสามเดือนเพื่อเลี้ยงฉลองให้สมาชิกใหม่ สมาชิกเดิมจะจ่ายค่าอาหารให้สมาชิกใหม่ เราจะทำความรู้จักสมาชิกใหม่แต่ละคน และเขาจะมีโอกาสเล่าคำพยานคนละสองนาทีต่อหน้าที่ประชุม ผมร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ฟังและสัมผัสเรื่องราวชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้
นานหลายปีที่เคย์และผมเลี้ยงกาแฟแบบไม่เป็นทางการในบ้านเราทุกคืนวันอาทิตย์ที่สี่ของเดือน เป็นโอกาสที่สมาชิกใหม่และผู้มาใหม่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะได้สนทนากับเราหน้าต่อหน้า และถามคำถามที่เขาสงสัย เราจะเตรียมกระดาษลงนามไว้ที่สนามหน้าคริสตจักรก่อนนมัสการวันอาทิตย์ และสามสิบคนแรกที่ลงชื่อจะได้มาที่บ้านเรา เราจะคุยกันตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงสี่ทุ่ม การต้อนรับเรียบง่ายแบบนี้นำคนนับร้อยมาเป็นสมาชิกใหม่ และสร้างความสัมพันธ์ที่เคย์และข้าพเจ้ายังถนอมรักษาจนถึงปัจจุบัน การต้อนรับที่ดีจะทำให้คริสตจักรแข็งแรง
มีหลายวิธีที่คุณจะทำให้สมาชิกรู้สึกพิเศษ เช่น ส่งบัตรอวยพรวันเกิด แสดงความยินดีในวันครบรอบการเป็นสมชิกหรือโอกาสพิเศษอื่น ๆ (มีลูกคนใหม่ แต่งงาน ครอบรอบแต่งงาน รับปริญญา ฉลองความสำเร็จ) ในจดหมายข่าวของคริสตจักร ให้มีคำพยานชีวิตในการนมัสการแต่ละรอบ จัดพนักงานต้อนรับ และส่งข้อความว่า "เราอธิษฐานเผื่อคุณ" ให้ทุกคนที่ขอให้อธิษฐานเผื่อ ประเด็นสำคัญคือ การจะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นของคริสตจักรนั้น คุณต้องทำอะไรมากกว่าจับมือทักทายหลังเลิกนมัสการ
สร้างโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์
ไม่มีทางที่คุณจะให้ความสำคัญกับพัฒนามิตรภาพในคริสตจักรมากเกินไป ความสัมพันธ์ก็คือ กาวที่ผูกพันคริสตจักรเข้าไว้ด้วยกัน มิตรภาพ คือ สิ่งที่รักษาสมาชิกไว้
เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังถึงการสำรวจในคริสตจักรของเขา เมื่อเขาถามว่า "ทำไมคุณมาเป็นสมาชิกคริสตจักรนี้" 93% ของสมาชิกตอบว่า "เพราะศิษยาภิบาล" เขาถามต่อว่า "แล้วถ้าศิษยาภิบาลจากไป คุณจะจากไปด้วยไหม" 93% ตอบว่า "ไม่" เมื่อถามว่าทำไม่ไป คำตอบก็คือ "เพราะฉันมีเพื่อนที่นี้" สังเกตนะครับว่าพวกเปลี่ยนความภักดีจากศิษยาภิบาลมาสู่เพื่อนสมาชิก นี่เป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งที่ดี
ไลล์ แชลเลอร์ได้ทำการวิจัยระยะยาวที่แสดงให้เห็นว่ายิ่งคนมีเพื่อนมากเท่าใด เขายิ่งมีแนวโน้มจะเฉื่อยชาและออกจากคริสตจักรน้อยลงเท่านั้น ตรงกันข้าม ครั้งหนึ่งผมอ่านผลการสำรวจที่ถาม 400 คนที่ออกจากคริสตจักรว่าทำไมเขาจึงออกจากคริสตจักร มากกว่า 75% บอกว่า "ฉันรู้สึกว่า ไม่มีใครสนใจหรอกว่าฉันอยู่ที่นั่นหรือไม่"
เป็นความเข้าใจผิดที่ว่า คุณต้องรู้จักทุกคนในคริสตจักรเพื่อจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ไม่ว่าคริสตจักรจะมี 200 หรือ 2,000 คน สมาชิกโดยเฉลี่ยจะรู้จักเพื่อนสมาชิกแค่ 67 คน สมาชิกไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนในคริสตจักรแล้วจึงจะรู้สึกว่านี่เป็นคริสตจักรของเขา แต่เขาจำเป็นต้องรู้จักคน จำนวนหนึ่ง
แม้ความสัมพันธ์บางอย่างจะเกิดขึ้นเอง แต่มิตรภาพนั้นสำคัญเกินกว่าที่เราจะปล่อยให้เป็นไปโดยความบังเอิญ คุณจะเพียงแค่ หวัง ว่าสมาชิกจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ คุณต้องกระตุ้น วางแผน วางโครงสร้าง และจัดเตรียมสิ่งที่เอื้ออำนวย เพื่อให้เกิดมิตรภาพนั้น
ให้คุณคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล และสร้างโอกาสให้มากที่สุดที่ทำได้ เพื่อให้คนได้มีโอกาสพบปะและรู้จักกัน การประชุมของคริสตจักรหลายแห่งใช้เวลาส่วนมากไปกับการสอนสมาชิกที่นั่งฟังเฉย ๆ สมาชิกจึงอาจเดินเข้าออกคริสตจักรเป็นปีโดยไม่ได้พัฒนามิตรภาพเลย ให้คุณลองเพิ่มกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในการประชุมทุกครั้งของคริสตจักร อาจใช้วิธีง่าย ๆ เช่น "ขอให้หันไปแนะนำตัวกับคนข้าง ๆ และดูว่าคุณสนใจอะไรในตัวเขาบ้าง"
แม้เราจะใช้สารพัดรายการเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ภายในคริสตจักรของเรา (ทานอาหารเย็น กีฬา เกม ปิ๊กนิก และอีกมากมาย) แต่วิธีที่ได้ผลที่สุด คือ ค่ายสุดสัปดาห์ คุณลองคิดดูสิครับว่า เวลาที่สมาชิกอยู่ด้วยกันในค่ายที่ยาวนานสืีสิบแปดชั่วโมงนั้น มากกว่าเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเฉพาะวันอาทิตย์ตลอดทั้งปีเสียอีก ถ้าคุณเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรและต้องการพัฒนาความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว ก็ให้คุณพาทุกคนไปค่าย
เนื่องจากคนส่วนมากมีปัญหากับการจำชื่อ โดยเฉพาะในคริสตจักรใหญ่ ๆ ให้คุณใช้ป้ายชื่อบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีอะไรน่าขายหน้ามากกว่าการไม่รู้จักชื่อคนที่คุณเห็นในคริสตจักรมานานเป็นปี ๆ
กระตุ้นให้สมาชิกทุกคนเข้าร่วมกลุ่มย่อย
สิ่งหนึ่งที่สมาชิกกลัวมากที่สุดเกี่ยวกับการเติบโต คือ จะรักษาความรู้สึกของการสามัคคีธรรมแบบ "คริสตจักรเล็ก ๆ" ไว้ได้อย่างไร ยาถอนพิษสำหรับความกลัวชนิดนี้ คือ ตั้งกลุ่มย่อยในคริสตจักรของคุณ กลุ่มความสัมพันธ์จะทำให้สมาชิกได้รับการเอาใจใส่ส่วนตัว และความสนใจซึ่งสมาชิกทุกคนควรได้รับ ไม่ว่าคริสตจักรจะใหญ่โตขนาดไหน
ให้คุณตั้งกลุ่มย่อยโดยแบ่งตามวัตถุประสงค์ ความสนใจ กลุ่มอายุ ภูมิศาสตร์ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน พูดตามตรงคือ มันไม่สำคัญว่าคุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์แบ่ง แต่ขอให้คุณตั้งกลุ่มใหม่ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นใช้ได้ มีโอกาสน้อยที่สมาชิกใหม่หลังจากชั้นเรียนสมาชิกใหม่เลยก็ได้ สมาชิกใหม่ต่างก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ "ความเป็นคนหน้าใหม่"
สิ่งหนึ่งที่ผมกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกกับทีมงานและผู้นำคือ คริสตจักรของเราต้องโตขึ้นและเล็กลงในเวลาเดียวกัน" ผมหลายความว่าต้องมีความสมดุลระหว่างการเฉลิมฉลองในกลุ่มใหญ่ และกลุ่มเซลขนาดเล็ก ทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพที่ดีของคริสตจักร
การเฉลิมฉลองในกลุ่มใหญ่ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่สำคัญ มันน่าประทับใจสำหรับคนไม่เป็นคริสเตียน และช่วยหนุนใจสมาชิกของคุณ แต่คุณไม่สามารถแบ่งปันหัวข้ออธิษฐานส่วนตัวท่ามกลางฝูงชน แต่กลุ่มความสัมพันธ์เล็ก ๆ คือ โอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างความรู้สึกแห่งการสามัคคีธรรมที่ลึกซึ้งและใกล้ชิด ในกลุ่มเล็ก ๆ ทุกคนรู้จักชื่อคุณ เมื่อคุณไม่มาคนอื่นก็รู้
เนื่องจากคริสตจักรแซดเดิลแบ็คอยู่มาหลายปีโดยไม่มีอาคารของตนเอง เราจึงต้องอาศัยกลุ่มย่อยอย่างมากสำหรับการให้การศึกษาและสามัคคีธรรมของผู้ใหญ่ แม้ว่าเวลานี้เรามีสถานที่กว้างเจ็ดสิบสี่เอเคอร์ (ประมาณร้อยเก้าสิบไร่) เราก็ยังใช้บ้านเป็นที่พบปะของกลุ่มย่อย
มีประโยชน์สี่ประการในการใช้บ้าน
๐ บ้านช่วยให้สามารถขยายกลุ่มได้อย่างไม่มีจำกัด (บ้านอยู่ทุกหนทุกแห่ง)
๐ บ้านไม่มีข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ (คุณสามารถทำพันธกิจในบริเวณกว้างขึ้น)
๐ การใช้บ้านแสดงถึงการเป็นผู้อารักขาที่ดี (คุณใช้อาคารที่คนอื่นจ่ายเงินทำให้เหลือเงินมากขึ้นสำหรับทำพันธกิจ)
๐ บ้านทำให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น (การพบปะในบ้านทำให้คนผ่อนคลายมากกว่า)
ยิ่งคริสตจักรคุณใหญ่เท่าใด กลุ่มย่อยก็ยิ่งสำคัญเท่านั้น ในเรื่องการดูแลอภิบาลสมาชิก กลุ่มย่อยทำให้คนมีโอกาสสัมผัสชีวิตของกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตของชีวิต ที่แซดเดิลแบ็คเรามักจะพูดว่าคริสตจักรใหญ่เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทร ขณะที่กลุ่มย่อย คือเรือเล็กสำหรับช่วยชีวิต กลุ่มย่อย คือ วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปิดประตูหลังบ้านของคริสตจักรคุณ เราไม่เคยต้องกังวลว่าจะเสียสมาชิกไป เมื่อเขาได้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มย่อยแล้ว เพราะเรารู้ว่ากลุ่มได้ดูดกลืนเขาอย่างดีเยี่ยม
ทำให้ช่องทางการสื่อสารเปิดกว้างอยู่เสมอ
เป็นเรื่องสำคัญมากที่คริสตจักรของคุณจะต้องมีช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจน คนเรามักรู้สึกแย่เมื่อตามคนอื่นไม่ทัน สมาชิกที่รู้ข่าวสาร คือ สมาชิกที่มีประสิทธิภาพ จงทำให้ระบบการสื่อสารของคุณมีมากเกินพอ โดยการเปิดหลาย ๆ ช่องทางเพื่อเผยแพร่ข่าวสารของคริสตจักร
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราใช้ทุกอย่างที่เราใช้ได้เพื่อสื่อสารเรื่องสำคัญไปยังสมาชิก ไม่ว่าจะเป็น โทรสาร วีดิโอ จดหมายข่าว เทปบันทึกเสียง เครือข่ายอธิษฐานลูกโซ่ โทรศัพท์ บทความหนังสือพิมพ์ ไปรษณีบัตร และแม้แต่อินเตอร์เน็ต (สำหรับคุณที่ใช้อินเตอร์เน็ต สามารถชมโฮมเพจของเราที่ http://www.saddleback.com)
การสื่อสารจากทีมงานคริสตจักรไปยังสมาชิกเป็นสิ่งสำคัญ และการสื่อสารจากสมาชิกมายังทีมงานก็สำคัญเท่ากันด้วย คุณต้องสื่อสารทั้งสองทาง สุภาษิต 27:23 กล่าวว่า "จงรู้ความทุกข์สุขของฝูงแพะแกะของเจ้าให้ดี" ฝูงแกะที่สำคัญที่สุด คือ ฝูงแกะของพระเจ้า เราจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา เราคอยจับชีพจรของครอบครัวเราโดยใช้บัตรต้อนรับ การโทรศัพท์หาสมาชิกและรายงานของศิษยาภิบาลฆราวาส
บัตรต้อนรับ ผมได้บอกไปแล้วว่า เราใช้บัตรนี้ในการนมัสการสำหรับผู้สนใจอย่างไร มันเป็นเครื่องมือสื่อสารที่น่าอัศจรรย์เมื่อคิดถึงความเรียบง่ายของมัน ทุกคนสามารถเขียนข้อความถึงผมเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสมาชิกของเรารู้ว่า เราอ่านบัตรเหล่านี้และจริงจังกับมัน เรามีกระแสข้อมูลข่าวสารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เราต้องมีเลขานุการเต็มเวลาสองคน และทีมงานอาสาสมัครอีกหนึ่งโหลเพื่อประมวลข้อมูลจากบัตรทุกใบที่เราได้รับ แต่มันทำให้กลุ่มศิษยาภิบาลและทีมงานสามารถ "ใกล้ชิดกับลูกค้า"
การโทรศัพท์หาสมาชิก เราเรียกว่า CARE ย่อมาจาก ติดต่อ แนะนำ สัมพันธ์ และหนุนใจ (Contact, Assist, Relate, Encourage) นี่เป็นงานรับใช้ของสมาชิก พวกเขาจะโทรศัพท์ไปตามรายชื่อสมาชิกอย่างเป็นระบบ เพื่อทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเพื่อนสมาชิก เขาจะโทรศัพท์ไปตอนค่ำและถามสามคำถาม
(1) คุณเป็นอย่างไรบ้าง
(2) คุณต้องการให้อธิษฐานเผื่ออะไรบ้างไหม
(3) มีอะไรที่คุณอยากให้เราบอกอาจารย์ริคและเจ้าหน้าที่คริสตจักรไหม
ทุกครั้งเขาจะจดบันทึกไปด้วย เพื่อให้ได้ข้อความที่ถูกต้อง แล้วเขาก็จะสอบถามความคืบหน้าจากสมาชิกคนนั้นในการประชุมที่จะมาถึงหรือจากข่าวคริสตจักร นี่เป็นอีกวิธีที่เราติดต่อกับสมาชิกและบอกว่า "เราเป็นห่วง"
รายงานจากศิษยาภิบาลฆราวาส นี่เป็นรายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เราได้รับจากศิษยาภิบาลที่เป็นฆราวาส ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มย่อย รายงานนี้บอกเราว่ากลุ่มมีสุขภาพดีหรือไม่ และมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตแต่ละคนบ้าง
เราอยู่ที่นี่ด้วยกัน
เพื่อจะสรุปบทนี้ ผมขอย้ำเรื่องสำคัญคือ ให้คุณเน้นธรรมชาติของคริสเตียนในการอยู่ร่วมกัน เสมอ ๆ ให้คุณเทศนา สอน และคุยกับแต่ละคนถึงเรื่องนี้ เราเป็นของกันและกัน เราต้องการซึ่งกันและกัน เราสัมพันธ์กัน ผูกพันกันในฐานะอวัยวะของร่างกายเดียว เราเป็นครอบครัว
แทบทุกวัน ผมได้รับจดหมายจากคนที่เข้ามาเป็นสมาชิก และคนที่มีประสบการณ์กับการเยียวยารักษาโดยการสามัคคีธรรม (koinonia) ผมขอจบด้วยตัวอย่างต่อไปนี้
เรียนอาจารย์ริค
ฉันทนแบกความเจ็บปวดจากการทารุณทางร่างกายมานานหลายปีโดยไม่บอกใคร หนึ่งปีแล้ว หลังจากฉัยสูญเสียทุกสิ่ง ฉันย้ายมาอยู่เคลิฟอร์เนียตอนใต้ ฉันเลิกการติดต่อหมดทุกอย่าง ฉันว้าเหว่มาก ตลอดสามสัปดาห์ฉันร้องไห้ฟูมฟายตลอด
ในที่สุดฉันตัดสินใจว่าบางทีฉันน่าจะลองมาคริสตจักร ตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันก้าวเข้ามาในการนมัสการที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ฉันรู้สึกทันทีว่า นี่เป็นที่สำหรับฉัน
เพื่อจะให้เรื่องราบรัด พระคริสต์ได้ปรากฏเป็นจริงสำหรับฉัน ฉันได้เข้าเป็นสมาชิกคริสตจักร และกำลังรับใช้ในพันธกิจที่ทำให้ฉันอิ่มใจ มาก ฉันชอบเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ฉันรู้ว่าความเจ็บปวดของทุกคนแตกต่างกัน แต่เราทุกคนต่างต้องการพระเจ้า ความเจ็บปวดของฉันก็แทบจะเกินทนถ้าไม่มีครอบครัวคริสตจักร เมื่อฉันเข้าเรียนชั้นสมาชิกใหม่ ฉันต้องเก็บกลั้นน้ำตาเมื่อคุณพูดว่าแซดเดิลแบ็คเป็นครอบครัวอย่างไรบ้าง คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ และฉันขอขอบพระคุณสำหรับพี่น้องชายหญิงที่นี่ และสำหรับคริสตจักรที่ฉันสามารถเรียกว่า บ้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น