เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อประการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
เอเฟซัส 2:10
…เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของคริสต์ให้จำเริญขึ้น
เอเฟซัส 4:12
ครั้งหนึ่งนโปเลียนชี้ให้ดูแผนที่ประเทศจีนและกล่าวว่า "ที่นั่นยักษ์หลับ และถ้ามันตื่นขึ้นเมื่อไร จะไม่มีใครหยุดมันได้" ผมเชื่อว่าคริสตจักรก็เป็นยักษ์หลับ ทุกวันอาทิตย์ที่นั่งในคริสตจักรเต็มไปด้วยสมาชิกที่ไม่ทำอะไรกับความเชื่อของตนนอกจาก "รักษาไว้"
สำหรับคริสตจักรส่วนมาก ความหมายของคำว่า สมาชิกที่ "กระตือรือร้น" คือคนที่มาโบสถ์และถวายทรัพย์เป็นประจำ ไม่มีการคาดหวังอะไรมากกว่านั้น แต่พระเจ้ามีความคาดหวังมากกว่านั้นสำหรับคริสเตียนทุกคนใช้ของประทานและความสามารถพิเศษในการรับใช้ ถ้าเราสามารถปลุกและปลดปล่อยความสามารถ แหล่งทรัพยากร ความคิดสร้างสรรค์ และพลังจำนวนมหาศาลที่หลับไหลอยู่ในคริสตจักรท้องถิ่น คริสตศาสนาก็จะเติบโตรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความจำเป็นที่ย่ิงใหญ่ที่สุดของคริสตจักร คือ การปลดปล่อยสมาชิกไปสู่การรับใช้ การสำรวจของแกลลัปโพล ค้นพบว่าสมาชิกคริสตจักรเพียง 10% เท่านั้นที่กระตือรือร้นในงานรับใช้ส่วนตัว และ 50% ไม่สนใจในงานรับใช้ใด ๆ เลย ลองคิดดูสิครับ ไม่ว่าคริสตจักรจะส่งเสริมให้มีส่วนในงานรับใช้มากแค่ไหน สมาชิกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้ชม คนเหล่านี้คือคนที่บอกว่า "ผมไม่รู้สึกว่าพระเจ้า ทรงนำให้เข้าร่วม"
ข่าวที่ให้คาวมหวังคือ แกลลัปพบว่า 40% ของสมาชิก เคยแสดงความสนใจในงานรับใช้ แต่ไม่เคยมีใครขอให้เขาทำ หรือเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คนกลุ่มนี้แหละคือ ขุมทองที่ซ่อนอยู่ ถ้าเราสามารถผลักดันคน 40% นี้ และเพิ่มเข้ากับ 10% ที่กำลังรับใช้อยู่แล้ว คริสตจักรก็จะมีสมาชิก 50% ทำงานรับใช้อย่างกระตือรือร้น จะน่ายินดีสักเพียงใดถ้าสมาชิกครึ่งหนึ่งของคุณทำงานเต็มที่ในงานรับใช้ของตน ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริง ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่คงคิดว่าเขาตายแล้วและกำลังอยู่ในสวรรค์
หลังการนมัสการครั้งหนึ่ง ผมคุยกับคนหนึ่งว่า เราต้องการคนที่จะถ่ายทำวีดิโอ เขาชี้ไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วบอกว่า "ทำไมไม่ขอเธอช่วยล่ะครับ" ผมเข้าไปทักทายเธอ เมื่อรู้จักชื่อแล้วก็ถามว่าเธอทำงานอะไร เธอตอบว่า "ฉันเป็นหัวหน้าการผลิตเทปโทรทัศน์ของวอลท์ ดิสนีย์" เธอมาร่วมนมัสการก่อนหน้านั้นเกือบปีแล้ว
อีกครั้งหนึ่ง ผมได้คุยกับอีกคนว่าเราต้องการนักจัดดอกไม้เพื่อตกแต่งเต็นท์สำหรับวันแม่ แล้วก็มีคนชี้ไปที่คนหนึ่งในฝูงชนแล้วบอกว่า "คนนั้นน่ะ เคยออกแบบรถบุปผชาติได้รางวัลมาหลายรายการ" เรื่องนี้ทำให้ผมกลัวว่าความสามารถเช่นนี้จะไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์เพราะความเขลาของผม
คริสตจักรของคุณไม่มีทางเข้มแข็งเกินกว่ากลุ่มสมาชิกที่เป็นแกนในงานรับใช้ คริสตจักรทุกแห่งต้องการระบบที่จงใจและวางแผนอย่างดี เพื่อช่วยให้สมาชิกค้นพบของประทานใช้และได้รับการสนับสนุนให้ใช้ คุณต้องกำหนดกระบวนการเพื่อจะนำคนสู่การอุทิศชีวิตที่ลึกซึ้งขึ้น และสู่งานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คือ กระบวนการทำให้สมาชิกกลายเป็นแกนในการรับใช้ เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า "นำคนไปสู่ฐานสาม" (ภาพเบสบอล)
คริสตจักรที่เชื่อเรื่องความรอดโดยส่วนมากเชื่อว่าสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้ หลายคริสตจักรถึงกับเน้นหนักเรื่องนี้ในการเทศนาและการสอน แต่สมาชิกส่วนมากก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมาโบสถ์และถวายทรัพย์ จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ผู้ฟังกลายเป็นกองทัพ คุณจะเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นผู้เล่นได้อย่างไร ในบทนี้ผมจะอธิบายระบบที่เราตั้งขึ้นเพื่อฝึกฝน เสริมกำลัง และปลดปล่อยสมาชิกไปสู่งานรับใช้
สอนพื้นฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องสมาชิกทุกคนเป็นผู้รับใช้
ในหนังสือเล่มนี้ผมพยายามเน้นความสำคัญของการวางรากฐานพระคัมภีร์สำหรับทุกสิ่งที่คุณทำ ก่อนที่คุณจะสอนพวกเขาว่า "จะทำอย่างไร" คุณจำเป็นต้องบอกเขาก่อนว่า "ทำไมต้องทำ" จงลงทุนเวลาสอนสมาชิกให้รู้พื้นฐานพระคัมภีร์ตามบ้านและโอกาสอื่น ที่คุณสามารถเน้นย้ำเรื้องนี้ได้ ที่จริง คุณไม่ควร หยุด สอนว่าคริสเตียนทุกคนต้องมีงานรับใช้ของตน
เราสรุปสิ่งที่เราเชื่อในเรื่องการรับใช้ลงในแถลงการณ์พันธกิจ เรามีพื้นฐานจากโรม 12:1-8 เราเชื่อว่าคริสตจักรสร้างขึ้นบนเสาสี่ต้นแห่งพันธกิจของสมาชิก เราสอนความจริงสี่ประการนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ความจริงนี้ฝังลึกในใจสมาชิกของเรา
เสาต้นที่ 1 ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้รับใช้
ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนเป็นศิษยาภิบาล แต่พระเจ้าทรงเรียกผู้เชื่อทุกคนให้เข้าสู่งานรับใช้ พระเจ้าทรงเรียกให้ผู้เชื่อทุกคนปรนบัติรับใช้ผู้คนในโลกและคริสตจักร การรับใช้ในพระกายไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน ไม่มีอาสาสมัครในกองทัพของพระเจ้า พระองค์เกณฑ์เราทุกคนให้เข้าประจำการ
การเป็นคริสเตียนคือ การเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะ ปรนบัติ เขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" (มก. 10:45) การปรนบัติและการให้คือลักษณะสำคัญของชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ ซึ่งพระเจ้าคาดหวังจากผู้เชื่อทุกคน
ที่แซดเดิลแบ็คเราสอนว่าพระเจ้าทรง สร้าง คริสเตียนทุกคนเพื่องานรับใช้ (อฟ. 2:10) ทรงช่วยให้รอด เพื่องานรับใช้ (2 ทธ. 1:9) ทรงเรียก ให้รับใช้ (1 ปต. 2:9-10) ประทานของประทาน เพื่อรับใช้ (1 ปต. 4:10) ประทานสิทธิอำนาจเพื่อรับใช้ (มธ. 28:18-20) บัญชา ให้รับใช้ (20:26-28) คริสเตียนทุกคน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานรับใช้ (อฟ. 4:11-12) จำเป็นสำหรับงานรับใช้ (1 คร. 12:27) มีความรับผิดชอบ สำหรับงานรับใช้ และจะได้รับบำเหน็จ ตามการรับใช้ของตน (คส. 3:23-24)
เสาต้นที่ 2 งานรับใช้ทุกอย่างสำคัญ
ไม่มีใคร "เล็กน้อย" ในพระกายของพระคริสต์ และไม่มีงานรับใช้ใด "ไม่สำคัญ" งานรับใช้ ทุกอย่าง สำคัญ
แต่พระเจ้าได้ทรงตั้งอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์… และตาจะว่าแก่มือว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า" ก็ไม่ได้ ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ (1 คร. 12:18-22)
งานรับใช้บางอย่างเห็นเด่นชัด บางอย่างก็เป็นงานหลังฉาก แต่งานรับใช้ทุกอย่างมีคุณค่าเท่ากัน ในการประชุมฝึกฝนงานรับใช้ของเรา เราเน้นและยอมรับงานรับใช้ทุกชนิดเท่าเทียมกัน
บ่อยครั้งที่งานรับใช้เล็กทำให้อะไรดีขึ้นอย่างมากมาย หลอดไฟดวงสำคัญที่สุดในบ้านผมไม่ใช่โคมไฟใหญ่ในห้องอาหาร แต่เป็นหลอดไฟเล็กๆ ที่เปิดไว้ตลอดคืนเพื่อผมจะไม่เดินเตะอะไรแข็งๆ เวลาลุกไปห้องน้ำ (ภรรยาผมบอกว่าหลอดไฟ ดวงโปรดของผมคือ หลอดที่สว่างขึ้นเมื่อผมเปิดตู้เย็น)
เสาต้นที่ 3 เราพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ไม่เพียงแค่งานรับใช้ทุกอย่างมีความสำคัญ แต่งานรับใช้ทุกอย่างยังเกี่ยวพันกันและกันด้วย ไม่มีงานรับใช้ใดที่เป็นเอกเทศจากงานรับใช้อื่น และเนื่องจากไม่มีงานรับใช้ใดที่สามารถทำหน้าที่ของคริสตจักรอย่างครบถ้วนโดยตัวของมันเอง เราจึงต้องพึ่งพาและร่วมมือกันและกัน เหมือนกับรูปจิ๊กซอว์ ถ้าเราต้องการรูปที่สมบูรณ์ เราก็ต้องการทุกชิ้นส่วน และคุณมักจะมองเห็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายคุณทำหน้าที่ผิดเพี้ยน อวัยวะอื่นๆ ก็ประสบปัญหาไปด้วย ส่วนประกอบที่ขาดหายไปในคริสตจักรสมัยนี้ คือ ความเข้าใจเรื่องการพึ่งพาอาศัยกันและกัน เราต้องทำงานร่วมกัน เราจึงขจัดวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง และการเป็นอิสระไม่พึ่งพาใคร โดยแทนที่ด้วยแนวคิดจากพระคัมภีร์เรื่องการพึ่งพากันและกัน และดำเนินชีวิตร่วมกัน
เสาต้นที่ 4 การรับใช้คือการแสดงออกถึงลักษณะฝ่ายวิญญาณ
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีเอกลักษณ์ในการสอนเรื่องการรับใช้ เราอธิบายส่วนประกอบของงานรับใช้โดยใช้คำย่อที่มีความหมายว่ารูปร่าง (SHAPE) ตัว S คือของประทานฝ่ายวิญญาณ (spirtual gift) H คือ ใจ (heart) A คือ ความสามารถ (abilities) P คือ บุคลิกภาพ (personality) E คือ ประสบการณ์ (experience)
เมื่อพระเจ้าเนรมิตสร้างสัตว์ต่างๆ พระองค์ให้ความชำนาญเฉพาะกับสัตว์แต่ละชนิด บางชนิดวิ่ง บางชนิดกระโดด บางชนิดว่ายน้ำ บางชนิดขุดรู บางชนิดบิน สัตว์แต่ละชนิดมีบทบาทตามรูปลักษณะที่พระเจ้าสร้างมัน มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เราแต่ละคนได้รับการออกแบบที่ไม่เหมือนใครเพื่อจะทำหน้าที่ของเรา
การเป็นผู้รักขาที่ดีใช้ชีวิตอย่างฉลาด เริ่มต้นโดยการเข้าใจรูปลักษณะของคุณ พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นอะไร สิ่งนั้นจะกำหนดว่าพระเจ้าต้องการให้ทำ อะไร
ถ้าคุณไม่เข้าใจลักษณะของคุณ คุณก็จะลงเอยด้วยการทำสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยประสงค์ให้คุณทำ หรือไม่เคยออกแบบคุณเพื่อทำสิ่งนั้น เมื่อความสามารถของคุณไม่เหมาะกับบทบาทในชีวิตคุณ คุณจะรู้สึกเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมที่คนใส่ลงในรูกลม มันทำให้ทั้งคุณและคนอื่นอึดอัดไปหมด การกระทำอย่างนั้นไม่เพียงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่จำกัด มันยังเป็นการใช้ความสามารถ เวลาและกำลังมหาศาลไปอย่างไร้ประโยชน์ด้วย
พระเจ้าทรงแน่วแน่ในแผนการที่พระองค์มีไว้สำหรับชีวิตเรา พระองค์จะไม่ประทานความสามารถที่ติดตัวแต่เกิด อารมณ์ ความสามารถพิเศษ ของประทานฝ่ายวิญญาณ และประสบการณ์ชีวิต แล้วก็ปล่อยไว้โดยไม่ใช้มัน เมื่อเราค้นพบและเข้าใจส่วนประกอบห้าอย่างนี้ (SHAPE) เราก็สร้างค้นพบน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับชีวิตเราคือ หนทางที่พระองค์ประสงค์ให้เราแต่ละคนรับใช้พระองค์ และเมื่อคุณรับใช้การงานของคุณก็จะไหลล้นจากลักษณะที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมา
พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณเพื่องานรับใช้ตั้งแต่คุณเกิดมา แท้จริงพระองค์เริ่มปั้นคุณก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก
เพราะพระองค์ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์ พระองค์ทรงทอข้าพระองค์เข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์โมทนาพระคุณของพระองค์เพราะพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์อัศจรรย์ พระองค์ทรงทราบข้าพระองค์ดี เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างอยู่ในที่ลี้ลับ ประดิษฐ์ขึ้นมา ณ ภายในที่ลึกแห่งโลก โครงร่างของข้าพระองค์ไม่ปิดบังไว้จากพระองค์ (สดุดี 139:13-19)
ของประทานฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่า พระเจ้าทรงประทานของประทานบางอย่างให้ผู้เชื่อแต่ละคน เพื่อให้ใช้ในงานรับใช้ (1 คร. 12; รม. 8; อฟ. 4) อย่างไรก็ตาม ของประทานฝ่ายวิญญาณก็เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของภาพทั้งหมด คริสเตียนมักเน้นเรื่องของประทานมากเกินไป จนละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญเท่ากัน ความสามารถติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิดก็มาจากพระเจ้า ประสบการณ์และบุคลิกลักษณะของคุณก็เช่นกัน ของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นส่วนหนึ่ง ของน้ำพระทัยสำหรับพันธกิจของคุณ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
คริสตจักรส่วนมากพูดว่า "จงค้นหาของประทานฝ่ายวิญญาณ แล้วคุณจะรู้ว่าคุณควรทำพันธกิจประเภทไหน" นี่เป็นการเดินย้อนศร ผมเชื่อว่ามันตรงกันข้าม คือให้คุณลองทำพันธกิจหลายๆ อย่าง แล้ว คุณก็จะค้นพบของประทานของคุณ ตราบใดที่คุณยังไม่มีส่วนในงานรับใช้ใด ๆ คุณจะไม่มีวันรู้ว่าคุณมีความสามารถด้านไหน คุณอาจอ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังสับสนว่าคุณมีของประทานด้านไหน
ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับ "วิธีค้นพบของประทาน" หรือแบบทดสอบทำนองนี้มากนัก เหตุผลประการแรกคือ วิธีค้นหาและการทดสอบเหล่านี้ต้องใช้การตั้งมาตรฐานเหมือน ๆ กันสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าพระเจ้าทำงานในชีวิตแต่ละคนด้วยวิธีแตกต่างกัน คนที่มีของประทานผู้ประกาศในคริสตจักรเราอาจใช้ของประทานในลักษณะที่ต่างจากบิลลี่ เกรแฮมใช้ก็ได้ ประการที่สอง ของประทานส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ใหม่นั้นไม่มีคำจำกัดความ ดังนั้น คำจำกัดความที่ใช้กันทุกวันนี้จึงมักจะคลุมเครือ จุกจิก และมีความลำเอียงไปตามแนวคิดของคณะนิกาย
ประการที่สามคือ ยิ่งผู้เชื่อเป็นผู้ใหญ่เท่าใด เขายิ่งมีแนวโน้มจะแสดงออกถึงของประทานหลายอย่าง เขาอาจแสดงออกถึงจิตใจของผู้ปรนนิบัติ หรือการให้ด้วยใจกว้างขวาง ซึ่งเกิดจากความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าการมีของประทาน
เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมลองใช้วิธีค้นพบของประทาน และพบว่าของประทานอย่างเดียวที่ผมมีคือ การพลีชีพ ผมคิดว่า "โอ วิเศษ ของประทานนี้ใช้ได้แค่หนเดียว" ผมอาจทำแบบทดสอบเป็นร้อยแบบ แต่ก็ไม่มีวันพบว่าผมมีของประทานในการเทศนาและการสอน ผมจะไม่มีวันพบ เพราะผมไม่เคยทำ ที่ผมพบก็หลังจากผมเริ่มยอมรับโอกาสที่จะพูด และเห็นผลที่เกิดขึ้น และมีคนอื่นช่วยยืนยัน แล้วผมจึงตระหนักว่า "พระเจ้าให้ของประทานเพื่อผมจะทำสิ่งนี้"
ใจ คำที่พระคัมภีร์ใช้สำหรับ หัวใจ แสดงถึงศูนย์กลางของแรงจูงใจ ความปรารถนา ความสนใจ และความชอบ ใจกำหนดสิ่งที่คุณพูด (มธ. 12:34) กำหนดให้รู้สึกอย่างที่คุณรู้สึก (สดด. 37:4) และกำหนดสิ่งที่คุณทำ (สภษ. 4:23)
เราทุกคนมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ต่างกัน เช่นเดียวกันพระเจ้าประทานจังหวะทางอารมณ์ที่แตกต่างกันในเราแต่ละคน เมื่อเราเผชิญกิจกรรม เรื่องราว หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เรามีการตอบสนองทางอารมณ์ต่างกัน เรามีสัญชาตญาณที่รู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องหนึ่ง แต่เฉย ๆ กับอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือการแสดงออกของหัวใจ
แนวโน้มด้านแรงจูงใจซึ่งพระเจ้าประทานให้คุณนั้น ทำหน้าที่เป็นระบบนำทางภายใน เพื่อการดำเนินชีวิตของคุณ มันกำหนดสิ่งที่คุณสนใจ และสิ่งที่ทำให้คุณพึงพอใจและอิ่มใจมากที่สุด มันยังกระตุ้นให้คุณแสวงหากิจกรรมบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่าง อย่าละเลยความสนใจตามธรรมชาติของคุณ น้อยคนนักที่จะทำได้ดีเยี่ยมในสิ่งที่เขาไม่ชอบ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมักจะเป็นคนที่ชอบสิ่งที่เขาทำ
พระเจ้ามีพระประสงค์ในการประทานความสนใจที่ติดตัวมาแต่เกิด จังหวะทางอารมณ์ของคุณจะเปิดเผยกุญแจที่สำคัญยิ่งในการทำความเข้าใจพระประสงค์สำหรับชีวิตคุณ พระเจ้าประทานหัวใจให้คุณ แต่คุณต้องเลือกว่าจะใช้มันสำหรับสิ่งดีหรือเลว จะใช้เพื่อเหตุผลที่เห็นแก่ตัว หรือใช้เพื่อรับใช้พระเจ้าและผู้อื่น ซามูเอล 12:20 กล่าวว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน"
ความสามารถ สำหรับความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิด บางคนมีความสามารถตามธรรมชาติในเชิงถ้อยคำ เขาเกิดมาเพื่อพูด บางคนก็มีความสามารถเชิงกีฬา พวกเขาเป็นเลิศในการควบคุมร่างกายให้ทำงานประสานกัน บางคนเก่งเรื่องตัวเลข พวกเขาคิดในเชิงตัวเลข และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่สามารถเข้าใจแคลคูลัสได้
อพยพ 31:3 แสดงตัวอย่างที่พระเจ้าประทาน "สติปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในวิชาการทุกอย่าง" เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ ในกรณีนี้คือความสามารถเชิงศิลปะเพื่อสร้างพลับพลา เป็นเรื่องน่าสนใจที่พรสวรรค์ทางดนตรีไม่เคยมีการกล่าวถึงในฐานะ "ของประทานฝ่ายวิญญาณ" แน่นอนมันเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่พระเจ้าใช้ในการนมัสการ และน่าสนใจเช่นกันที่พระเจ้าประทานความสามารถในการหาเงิน "เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลัง (หรือความสามารถ) แก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้" (ฉธบ. 8:18)
สำหรับคนที่ไม่เข้าร่วมในงานรับใช้ ข้อแก้ตัวที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือ เขาไม่มีความสามารถอะไรจะให้ เรื่องนี้ห่างไกลความจริงชนิดสุดกู่ การศึกษาวิจัยในระดับชาติหลายครั้งพิสูจน์ว่า โดยเฉลี่ยคนเรามีความสามารถ 500 ถึง 700 อย่างปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ประการ ประการแรกคือ ต้องมีกระบวนการช่วยให้คนรู้จักความสามารถของตน คนส่วนมากกำลังใช้ความสามารถที่เขาไม่รู้ตัวว่าเขามี ประการที่สอง ต้องมีกระบวนการช่วยให้เขาใช้ความสามารถของตนในงานรับใช้ที่ถูกต้อง
ในคริสตจักรของคุณมีคนที่มีความสามารถสารพัด แต่หากไม่มีการนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมคน การศึกษาวิจัย การเขียน การออกแบบบริเวณ การเชิญชวนสัมภาษณ์ การตกแต่ง การปลูกต้นไม้ การสร้างความบันเทิง การซ่อมแซม การวาดเขียน หรือแม้แต่การทำอาหาร ความสามารถเหล่านี้ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า "งานรับใช้มีต่าง ๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน" (1 คร. 12:5)
บุคลิกภาพ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างคนด้วยแม่พิมพ์ พระองค์ชอบความหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่เก็บความรู้สึกและคนที่ชอบแสดงออก พระองค์สร้างคนที่ชอบงานประจำและคนที่ชอบงานหลากหลาย พระองค์สร้างคนที่ทำงานตามลำพังได้ดี และสร้างคนที่ทำงานเป็นทีมได้ดี
พระคัมภีร์มีข้อพิสูจน์มากมายว่าพระเจ้าใช้คนทุกบุคลิก เปโตรเป็นคนช่างพูด เปิดเผย เปาโลเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว เยเรมีย์เป็นคนโศกเศร้า เมื่อคุณดูความแตกต่างทางบุคลิกภาพของสาวกสิบสองคน คุณก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมบางครั้งเขาจึงมีความขัดแย้งกัน
ไม่มีลักษณะอารมณ์ที่ "ถูก" หรือ "ผิด" สำหรับงานรับใช้ เราต่างต้องการบุคลิกภาพทุกแบบเพื่อให้คริสตจักรสมดุลและมีรสชาติ โลกคงน่าเบื่อพิลึกถ้าเราทุกคนเป็นรสวานิลลา ยังดีที่คนเรามีมากกว่าสามสิบเอ็ดรส
บุคลิกภาพของคุณจะมีผลต่อวิธีและสถานที่ที่คุณจะใช้ของประทาน และความสามารถต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น สองคนมีของประทานแห่งการประกาศเหมือนกัน คนหนึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ส่วนอีกคนช่างพูดช่างแสดงออก สองคนนี้ย่อมใช้ของประทานในลักษณะต่างกัน
ช่างไม้รู้ดีว่าเขาจะทำงานง่ายขึ้นเมื่อไม่ฝืนแนวลายไม้ เช่นเดียวกัน เมื่อคุณถูกบังคับให้รับใช้ในลักษณะอารมณ์ของคุณ คุณก็อาจเครียดและอึดอัดและต้องใช้ความพยายามและกำลังมากกว่าปกติ และไม่เกิดผลสูงสุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลอกเลียนงานรับใช้ของคนอื่นจึงไม่เคยใช้ได้ผล เพราะคุณไม่มีบุคลิกของเขา พระเจ้าสร้างคุณให้เป็นคุณ คุณสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างของคนอื่น แต่คุณต้องกลั่นกรองบทเรียนนั้นและปรับให้เข้ากับลักษณะของคุณ
เมื่อคุณรับใช้ในลักษณะที่สอดคล้องกับบุคลิกที่พระเจ้าประทานให้ คุณก็จะอิ่มใจ พึงพอใจ และเกิดผล คุณจะรู้สึกเบิกบานเมื่อคุณทำสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้คุณทำ
ประสบการณ์ พระเจ้าไม่เคยให้ประสบการณ์สูญเปล่าแม้แต่อย่างเดียว โรม 8:28 ย้ำกับเราว่า "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งคือ คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราช่วยให้คนพิจารณาประสบการณ์ห้าประเภทซึ่งมีอิทธิพลกับรูปแบบงานรับใช้ที่เหมาะกับเขามากที่สุด (1) ประสบการณ์ทางการศึกษา วิชาอะไรที่คุณชอบที่สุด (2) ประสบการณ์การทำงาน งานใดบ้างที่คุณทำแล้วชอบ และได้ผล (3) ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ ช่วงเวลาใดในชีวิตที่มีความหมายหรือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างคุณกับพระเจ้า (4) ประสบการณ์การรับใช้ คุณเคยรับใช้พระเจ้าอย่างไรบ้าง (5) ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ปัญหา และการทดสอบใดที่คุณเรียนรู้จากมัน
ลักษณะของคุณมาจากการกำหนดของพระเจ้าเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ คุณจึงไม่ควรขุ่นเคืองหรือต่อต้าน "แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า "ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้" ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิจะเอาดินก้อนเดียวกันมาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ" (รม. 9:20-21) แทนที่จะพยายามเปลี่ยนลักษณะให้เหมือนคนอื่น คุณควรปีติยินดีในลักษณะที่พระเจ้าประทานให้
คุณจะเกิดผลมากที่สุดและทำให้งานรับใช้สำเร็จ เมื่อคุณใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและความสามารถในงานที่ใจคุณปราถนา และในลักษณะที่คุณแสดงออกถึงบุคลิกภาพและประสบการณ์ได้มากที่สุด การเกิดผลเกิดจากการรับใช้ในงานที่เหมาะสม
จัดโครงสร้างให้มีความคล่องตัว
หลังจากที่คุณสอนพื้นฐานทางพระคัมภีร์แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการสร้างพันธกิจของสมาชิก คือ การทำให้โครงสร้างคริสตจักรคล่องตัว เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่สมาชิกจำนวนมากไม่กระตือรือร้นในงานรับใช้ก็เพราะเขามัวยุ่งอยู่กับการประชุม จนไม่มีเวลาลงมือทำงานรับใช้จริง ผมนึกสงสัยบ่อย ๆ ว่าเราจะเหลืออะไรในคริสตศาสนาบ้าง ถ้าเราตัดการประชุมทั้งหมดออกไป พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า "เราได้มาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ประชุม" แต่ถ้าคุณถามคนไม่เป็นคริสเตียนว่า เขาสังเกตเห็นอะไรในวิถีชีวิตเพื่อนบ้านที่เป็นคริสเตียนบ้าง เขาก็อาจตอบว่า "พวกเขาไปประชุมบ่อยนะ" เราอยากมีชื่อเสียงแบบนี้เหรอครับ
ผมเดาว่าคริสตจักรโดยเฉลี่ยจะมีสุขภาพดีขึ้น ถ้าหากยอมลดการประชุมลงครึ่งหนึ่ง เพื่อจะมีเวลามากขึ้นสำหรับการรับใช้และการประกาศโดยใช้ความสัมพันธ์ เหตุผลหนึ่งที่สมาชิกคริสตจักรไม่เป็นพยานกับเพื่อนบ้านก็เพราะเขาไม่รู้จักเพื่อนบ้าน พวกเขาอยู่แต่โบสถ์ เอาแต่ร่วมประชุม
เวลา คือ สมบัติที่มีค่าที่สุดที่คนสามารถให้แก่คริสตจักร เนื่องจากทุกวันนี้คนมีเวลาว่างน้อยลง เราจึงต้องใช้เวลาที่เขามอบให้คริสตจักรอย่างดีที่สุด ถ้าสมาชิกคนหนึ่งมาหาผมแล้วบอกว่า "อาจารย์ครับ ผมสามารถให้สี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่องานรับใช้ของคริสตจักร" สิ่งสุดท้าย ที่ผมจะทำ คือ ตั้งเขาให้เป็นคณะกรรมการ เพราะผมอยากให้เขาเข้าร่วมในงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา
จงสอนให้สมาชิกของคุณรู้ความแตกต่างระหว่างงานบำรุงรักษากับงานรับใช้ งานบำรุงรักษาคือ "งานคริสตจักร" เช่น งานคิดงบประมาณ งานอาคาร งานเกี่ยวกับองค์กรคริสตจักร แต่งานรับใช้คือ "หน้าที่ของคริสตจักร" ยิ่งคนมาร่วมในการตัดสินใจเรื่องงานบำรุงรักษามากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลาเขาสูญเปล่ามากเท่านั้น และทำให้เขาไม่มีเวลารับใช้ และเปิดโอกาสให้เกิดความขัดแย้ง งานบำรุงรักษายังทำให้คนคิดว่าเขารับผิดชอบหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้วเมื่อเขาออกเสียงลงมติในกิจการของคริสตจักร
ความผิดพลาดที่พบบ่อยในหลายคริสตจักร คือ เขาเอาคนที่ฉลาดและดีที่สุดไปอยู่ในระบบราชการ คือ ให้เข้าประชุมมากขึ้น คุณจะทำให้ชีวิตคนแห้งเหือดถ้าคุณจัดตารางเวลาให้เขามีแต่การประชุม ที่แซดเดิลแบ็คเราไม่มีคณะกรรมการ แต่เรามีพันธกิจ 79 อย่างสำหรับสมาชิก
อะไรคือความแตกต่างกันระหว่างคณะกรรมการและพันธกิจสำหรับสมาชิก คำตอบคือ คณะกรรมการนั่งอภิปราย แต่พันธกิจลงมือทำ คณะกรรมการโต้เถียง แต่พันธกิจกระทำ คณะกรรมการบำรุงรักษา แต่พันธกิจลงมือรับใช้ คณะกรรมการการคุยและพิจารณา แต่พันธกิจปรนนิบัติและเอาใจใส่ คณะกรรมการคุยกันเรื่องความต้องการ แต่พันธกิจตอบสนองความต้องการ
คณะกรรมการยังตัดสินใจในเรื่องที่เขาคาดหวังให้คนอื่นนำไปปฏิบัติ ที่แซดเดิลแบ็ค ผู้ปฏิบัติก็คือผู้ตัดสินใจเรื่องพันธกิจนั้นเอง เราไม่แบ่งแยกสิทธิอำนาจออกจากความรับผิดชอบ แต่เราวางใจสมาชิกในทั้งสองสิ่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการ เราไม่ให้คนที่ไม่ทำงานมีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจ
แล้วที่แซดเดิลแบ็คใครทำงานบำรุงรักษาล่ะ ก็คือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนนี่เป็นวิธีที่เราไม่ทำให้เวลาอันมีค่าของสมาชิกสูญเปล่า สมาชิกพอใจมากที่เวลาที่เขาให้นั้นได้นำไปใช้ในงานรับใช้จริง ๆ
ผมแน่ใจว่าคุณคิดว่า นี่ช่างเป็นวิธีที่ตกขอบเสียจริง ๆ แซดเดิลแบ็คได้รับการวางโครงสร้าง ตรงข้ามกับคริสตจักรส่วนมากอย่างสิ้นเชิง ในคริสตจักรส่วนมากนั้นสมาชิกทำงานบำรุงรักษา (ธุรการ) ขณะที่ศิษยาภิบาลทำงานรับใช้ ไม่น่าแปลกใจที่คริสตจักรนั้นไม่สามารถเติบโตได้ ในที่สุดเขาจะหมดไฟ และต้องย้ายไปรักษาตัวที่คริสตจักรอื่น
หนังสือเล่มนี้ไม่มีเป้าหมายที่จะแบ่งปันความเชื่อทั้งหมดเกี่ยวกับโครงสร้างคริสตจักรตามพระคัมภีร์ แต่ผมขอให้คุณพิจารณาคำถามนี้ คือ คำเหล่านนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง คณะกรรมาธิการ การเลือกตั้ง การตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ คณะกรรมการ ไม่มีสักคำที่ปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ เรานำเอาระบบรัฐบาลอเมริกาใช้กับคริสตจักรและผลก็คือ คริสตจักรส่วนมากจมปลักอยู่ในระบบราชการเหมือนกับรัฐบาลของเรา (อเมริกา) จะทำอะไรให้เสร็จสักอย่างก็ต้องใช้เวลาชั่วนิจนิรันดร์ โครงสร้างจากฝีมือมนุษย์เป็นอุปสรรคขัดขวางคริสตจักรไม่ให้มีสุขภาพแข็งแรง ผลของมันใหญ่หลวงเกินที่เราจะคิดได้
โครงสร้างลักษณะนี้ไม่เพียงทำให้คริสตจักรไม่เติบโต มันก็ยังควบคุม อัตรา และปริมาณ การเติบโตด้วย ในที่สุดคริสตจักรทุกแห่งต้องตัดสินใจว่าจะจัดโครงสร้างเพื่อ การควบคุม หรือจัดโครงสร้างเพื่อ การเติบโต นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับคริสตจักรคุณ ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรเติบโต ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกต้องยอมสละ อำนาจควบคุม สมาชิกต้องยอมสละอำนาจควบคุมด้าน ภาวะผู้นำ และศิษยาภิบาลต้องสละอำนาจควบคุมใน งานรับใช้ มิเช่นนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกลายเป็นคอขวดสกัดการเติบโต
เมื่อคริสตจักรมีคนมากกว่า 500 คน คน ๆ เดียวหรือคณะกรรมการไม่อาจล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักรได้ ผมไม่รู้ทุกเรื่องในคริสตจักรแซดเดิลแบ็คหลายปีแล้ว และผมไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกเรื่อง คุณอาจถามว่า "แล้วคุณควบคุมคริสตจักรได้อย่างไร" ผมก็จะตอบว่า "ผมไม่ควบคุม หน้าที่ของผมไม่ใช่ควบคุม แต่เป็น การนำคริสตจักร" การนำและการควบคุมต่างกันลิบลับ ทีมศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ของเรารับผิดชอบปกป้องคริสตจักรให้มีหลักข้อเชื่อถูกต้อง และมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่การตัดสินใจประจำวันเป็นหน้าที่ของสมาชิกที่ลงมือทำงานรับใช้ของคริสตจักร
ถ้าคุณจริงจังกับการผลักดันสมาชิกสู่งานรับใช้ คุณต้องทำให้โครงสร้างคล่องตัว เพื่อทำให้เกิดงานรับใช้มากที่สุด มีงานบำรุงรักษาน้อยที่สุด ยิ่งคริสตจักรคุณมีวัสดุอุปกรณ์สำหรับงานด้านองค์กรมากเท่าใด คุณต้องใช้เวลา แรงงาน และเงินมากเท่านั้นเพื่อบำรุงรักษา ส่วนเวลา แรงงาน และเงินมีค่า ควรใช้มันในพันธกิจกับผู้คนมากกว่า
ถ้าคุณปลดปล่อยคนไปสู่งานรับใช้ และปล่อยเขาจากงานบำรุงรักษา คุณจะสร้างคริสตจักรที่มีความสุข และรักใคร่กลมเกลียวยิ่งกว่าเดิม และจะมีขวัญกำลังใจดีขึ้นด้วย สมาชิกจะอิ่มใจเมื่อเขาทำงานรับใช้ ไม่ใช่งานบำรุงรักษา การยอมให้พระเจ้าใช้คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตคน จะทำให้ทัศนคติของคุณเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
ในสงคราม คุณจะพบว่า คนที่มีขวัญกำลังใจและมิตรภาพความผูกพันมากที่สุด คือ คนที่อยู่แนวหน้า คุณจะไม่มีเวลาโต้เถียงหรือพร่ำบ่นเมื่อคุณกำลังวิ่งหลบลูกกระสุน อย่างไรก็ตาม ถอยหลังไปอีกสิบไมล์ ทหารแนวหลังบ่นพึมพัมเรื่องอาหาร น้ำอาบ และการขาดสิ่งบันเทิง สถานการณ์ไม่ได้แย่เหมือนแนวหน้าสักนิด แต่คนเหล่านั้นช่างวิพากษ์วิจารณ์ ผมมักจะพบว่าเขาไม่มีส่วนในงานรับใช้ คนขี้บ่นที่สุดในคริสตจักรมักจะเป็นกรรมการที่ไม่มีอะไรจะทำ
นาน ๆ ครั้งคุณอาจจำเป็นต้องมีคณะกรรมการจริง ๆ เพื่อศึกษาบางเรื่อง ให้คุณตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษา ซึ่งมีภาระกิจชัดเจน มีกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ให้กำหนดเวลาที่คณะกรรมการนี้จะสลายตัวไป คณะกรรมการส่วนมากเสียพลังงานสมองเปล่า ๆ กับการประชุมตามตารางเวลา แต่ไม่มีความจำเป็น
อย่าใช้วิธีลงคะแนนเสียงสำหรับตำแหน่งในงานรับใช้
มีเหตุผลบางประการที่แซดเดิลแบ็คไม่เคยลงคะแนนเสียงเพื่อรับรองคนที่มาทำงานในพันธกิจของสมาชิก
เพื่อหลีกเลี่ยงการประกวดประชัน ถ้าคุณใช้การลงคะแนนเสียง คุณจะกีดกันคนทั้งหมดที่กลัวถูกปฏิเสธ คนขี้อายหรือขาดความมั่นใจจะไม่มีวันอาสาทำงานรับใช้เพราะกลัวว่าคณะกรรมการ หรือสมาชิกจะปฏิเสธ
พันธกิจใหม่มักจำเป็นต้องพัฒนาไปช้า ๆ ถ้าคุณทำให้พันธกิจใหม่เป็นจุดสนใจตั้งแต่แรก มันอาจตายได้ แค่คำพูดแง่ลบจากคนที่มีอิทธิพลเพียงคนเดียว ก็ถอนรากพันธกิจนี้ได้ตั้งแต่ใบแรกของมันยังไม่ผลิ
สมาชิกใหม่จะเข้าร่วมได้เร็วกว่า การลงคะแนนเสียงทำให้สมาชิกใหม่เสียเปรียบ สมาชิกใหม่อาจมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด แต่เขาอาจไม่เป็นที่รู้จักของคณะกรรมการที่ควบคุมกระบวนการแต่งตั้ง ผมเห็นคนมีของประทานหลายคนถูกกีดกันจากงานรับใช้เป็นปี ๆ เพราะเขาไม่ใช่คนวงใน คือกลุ่มสมาชิกเก่าแก่
คุณสามารถหลีกเลี่ยงการได้คนที่สนใจตำแหน่งนั้นเพียงเพราะอำนาจและเกียรติ เมื่อคุณไม่ใช้การลงคะแนนเสียง คุณก็จะดึงดูดคนที่สนใจจะรับใช้จริง ๆ แทนที่จะได้คนที่ต้องการเพียงตำแหน่ง ครั้งหนึ่งมีคนมาบ่นกับผมว่า "ผมออกจากคริสตจักรเดิมเพราะต้องการเป็นประธานคณะกรรมการ แต่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่มีคณะกรรมการอะไรซักอย่าง" อย่างน้อยเขาก็จริงใจ เขาพบคริสตจักรที่เขาจะมีตำแหน่งโก้หรู และเป็นกบใหญ่ในบึงเล็ก เขาไม่ได้สนใจงานรับใช้เลยแม้แต่น้อย เขาสนใจแต่อำนาจ
ถ้าคนล้มเหลว คุณก็ถอดถอนได้ง่าย ถ้าคุณเลือกตั้งกันต่อหน้าสาธารณชน คุณจำเป็นต้องถอดถอนเขาต่อหน้าสาธารณชน ถ้าเข้าไม่มีศักยภาพ หรือทำผิดในเรื่องศีลธรรม ในโลกปัจจุบัน การถอดถอนแบบนั้นสามารถกลายเป็นเผือกร้อนด้านการเมือง ความสัมพันธ์ หรือกฏหมายได้ คนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังบางคนอาจเลือกทำให้คริสตจักรแตกแทนที่จะยอมสละตำแหน่ง เขาอาจพาเพื่อนฝูงเรียงแถวกันเข้าข้างเขา แต่ถ้าคุณไม่ใช้วิธีลงคะแนนเสียงตั้งแต่ต้น คุณก็สามารถจัดการกับความล้มเหลวแบบเป็นส่วนตัวได้
คุณสามารถตอบสนองต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งเกิดมีความคิดดี ๆ เรื่องการรับใช้ คริสตจักรไม่ควรต้องรอจนถึงการประชุมธุรกิจคริสตจักรครั้งต่อไป ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค บางครั้งเราก็จัดตั้งพันธกิจใหม่ทันทีหลังจบการนมัสการ เนื่องจากบางสิ่งที่ผมพูดในการเทศนา คนที่สนใจจับกลุ่มคุยกันที่ลานด้านหน้า แล้วงานก็เริ่มขึ้นเดี๋ยวนั้นเลย
ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับผม "เราจำเป็นต้องมีพันธกิจอธิษฐาน" ผมบอก "ผมเห็นด้วยครับ คุณนี่แหละ" เธอถามว่า "แล้วไม่ต้องมีการเลือกตั้งหรือผ่านกระบวนการอะไรเลยเหรอคะ" เธอคิดว่าเธอต้องผ่านขั้นตอนทางการเมืองก่อน ผมบอกเธอว่า "แน่นอนครับ ไม่ต้องเลย แค่ประกาศในสูจิบัตรแล้วก็เริ่มเลย" แล้วเธอก็ทำตามนั้น
อีกครั้งหนึ่งมีคนพูดกับผมว่า "เราจำเป็นต้องมีกลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย" ผมตอบว่า "ความคิดดีมาก คุณเริ่มทำเลยสิครับ" แล้วเขาก็เริ่ม อีกคนบอกผมว่า "ผมสอนไม่เป็น ร้องเพลงไม่เป็น แค่ผมเก่งเรื่องซ่อมบ้านแล้วก็งานไม้เล็ก ๆ ผมอยากเริ่มพันธกิจรับซ่อมบ้านฟรีสำหรับแม่ม่ายในคริสตจักรเรา" ประเด็นสำคัญก็คือ คุณไม่ควรต้องลงคะแนนเสียงว่าคนจะใช้ของประทานของเขาในพระกายของพระคริสตจักรได้หรือไม่ เมื่อใดก็ตามที่มีคนแสดงความปราถนาจะรับใช้ เราก็เริ่มจัดให้เขาทำงานทันที
เริ่มกระบวนการจัดคนเข้าทำพันธกิจ
การนำสมาชิกเข้าสู่งานรับใช้ควรเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำพิเศษเป็นครั้งคราว ที่ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของแซดเดิลแบ็ค เรามีสามส่วนที่สำคัญยิ่ง
ชั้นเรียนประจำเดือน แต่ละเดือน เรามีชั้นเรียน 301 ชื่อ "วิธีค้นพบพันธกิจของตน" เป็นชั้นเรียนยามสี่ชั่วโมง ซึ่งสอนให้คนรู้พื้นฐานทางพระคัมภีร์เกี่ยวกับงานรับใช้ แนวคิดที่เราเรียกว่า SHAPE และโอกาสมากมายในการรับใช้ที่แซดเดิลแบ็คโดยสอนทุกบ่ายวันอาทิตย์ที่สองของเดือน จากบ่ายสี่ถึงทุ่มครึ่ง เรามีอาหารฟรีสำหรับคนที่เข้าเรียนด้วย นี่เป็นชั้นเรียนต่อเนื่องจากชั้น 101 (สมาชิกใหม่) และ 201 (ความเป็นผู้ใหญ่) เราทำให้ชั้นเรียนเหล่านี้เด่นชัดสำหรับสมาชิก และทำการเชิญชวนอย่างมากด้วย
กระบวนการจัดสรรคน กระบวนการจัดสรรคนของเรามี 6 ขั้นตอน (1) เข้าเรียนชั้น 301 (2) อุทิศตนให้การรับใช้และลงนามในพันธสัญญาพันธกิจของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค (3) กรอกข้อมูล SHAPE (4) สัมภาษณ์ส่วนตัวกับที่ปรึกษาด้านพันธกิจเพื่อจะรู้สามหรือสี่แนวทางที่เป็นไปได้ในการรับใช้ (5) พบเจ้าหน้าที่หรือสมาชิกที่เป็นผู้นำ ซึ่งดูแลพันธกิจที่คุณสนใจ (6) ได้รับการประกาศต่อสาธารณชนในการประชุม SALT
กระบวนการจัดสรรคนของคุณควรจะเน้นที่การเสริมสร้างคนให้มีพลัง ไม่ใช่ทำให้มีตำแหน่งครบ ถ้าคุณให้ความสำคัญกับลักษณะของคน แทนที่จะให้ความสำคัญกับความต้องการของสถาบัน คุณจะประสบความสำเร็จสูงกว่าในการนำคนเข้าสู่งานรับใช้ จำไว้ว่างานรับใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน ไม่ใช่รายการ
เจ้าหน้าที่ที่จะบริหารกระบวนการนี้ สมาชิกต้องการความสนใจและการชี้แนะเป็นส่วนตัว เมื่อเขาพยายามค้นหาว่าพระเจ้าสร้างเขาเพื่อพันธกิจใด เพียงแค่สอนในชั้นเรียนจะไม่ช่วยให้สิ่งนี้สำเร็จ สมาชิกแต่ละคนสมควรได้รับคำปรึกษาส่วนตัว
ศูนย์พัฒนางานรับใช้ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คนำโดยศิษยาภิบาลด้านงานรับใช้ และอาสาสมัครในทีมงานของเขา พวกเขาสัมภาษณ์คนที่กรอกข้อมูล SHAPE เสร็จแล้ว เพื่อช่วยให้เขาพบงานรับใช้ที่เหมาะสมที่สุด พวกเขายังช่วยแนะนำสมาชิกที่ต้องการเริ่มพันธกิจใหม่ ๆ ด้วย ถ้าผมตั้งคริสตจักรใหม่ในวันนี้ สิ่งหนึ่งที่จะทำเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือ หาอาสาสมัครที่เหมาะสมสำหรับงานสัมภาษณ์ แล้วฝึกเขาให้สามารถทำหน้าที่สำคัญยิ่งนี้ คุณไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือน แต่คุณจำเป็นต้องมีคนที่มีบุคลิกภาพและทักษะที่เหมาะสมสำหรับหน้าที่นี้
จัดให้มีการฝึกฝนในงานรับใช้จริง
เมื่อคนเริ่มทำงานรับใช้ เขาจำเป็นต้องฝึกทำงานจริง การฝึกงานจริงนั้นสำคัญและมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกนอกงานจริงหลายเท่า ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเรามีการฝึกนอกงานจริงน้อยมาก เพราะรู้สึกว่าสมาชิกจะยังไม่รู้แม้แต่จะถามอะไรจนกว่าเขาจะเข้าร่วมในงานรับใช้จริง ๆ
อีกเหตุผลที่เราไม่ใช้การฝึกนอกงานจริง ก็เพราะเราต้องการให้คนมีส่วนในงานรับใช้จริงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฝึกนอกงานจริงที่ยาวนานจะทำให้คนสูญเสียความกระตือรือร้นแรกเริ่ม มันทำให้เขาเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำ ผมพบว่าคนที่เต็มใจจะฝึกห้าสิบสองสัปดาห์ ก่อน ลงมือทำ เวลาทำจริงมักไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เขามีแนวโน้มจะเป็นนักศึกษาอาชีพที่ชอบเรียนวิชาการรับใช้มากกว่าจะลงมือทำ เราต้องการให้คนกระโจนลงน้ำทันที เมื่อเขาจะมีแรงจูงใจให้เรียนว่ายน้ำ วิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือ เริ่มต้น
แกนกลางพันธกิจฆราวาสของเรา คือ การประชุม SALT เป็นการอบรมนานสองชั่วโมง จัดในค่ำวันอาทิตย์แรกของเดือนสำหรับกลุ่มแกนของคริสตจักรเรา วาระประชุม SALT ประกอบด้วยการนมัสการยาว ๆ และใคร่ครวญ การแนะนำพันธกิจทั้งหมด คำพยานจากการทำงาน การแต่งตั้งผู้รับใช้ฆราวาสใหม่ การอธิษฐานเป็นกลุ่มข่าว "วงใน" ของคริสตจักร การฝึกงานรับใช้ คำเทศนา "นิมิต" โดยผมเองพูดถึงค่านิยมของเรา นิมิตของเรา และลักษณะนิสัยและทักษะที่จำเป็นสำหรับงานรับใช้ คำเทศนาสำหรับผู้นำฆราวาสนี้เรียกว่า "การยกระดับผู้นำ" และบันทึกเทปไว้เพื่อคนที่พลาดการประชุมจะหาฟังได้ ในการประชุม SALT เรายังให้รางวัล "ผู้ฆ่ายักษ์" ประจำเดือนแก่พันธกิจที่จัดการกับปัญหาใหญ่ที่สุดในเดือนที่ผ่านมา
นอกจากการประชุม SALT สถาบันพัฒนาชีวิตของเรายังมีชั้นฝึกอบรมหลากหลายสำหรับพันธกิจที่เจาะจง ชั้นเรียนระดับ 300 สอนทักษะต่าง ๆ ในการรับใช้ และฝึกคนให้พร้อมรับใช้ในพันธกิจหลากหลายของคริสตจักรเรา เช่น ชั้นเรียน 302 ชื่อว่า "ถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำกลุ่มย่อย" เรายังมีการฝึกอบรมสำหรับพันธกิจอนุชน เด็ก ดนตรี การให้คำปรึกษา และการเป็นศิษยาภิบาลฆราวาส และอื่น ๆ อีกมากมาย
อย่าเริ่มพันธกิจโดยปราศจากผู้รับใช้
เราไม่เคยตั้งตำแหน่งรับใช้ไว้ก่อนแล้วหาคนมาลงทีหลัง มันจะไม่ได้ผลปัจจัยสำคัญที่สุดของพันธกิจใหม่ไม่ใช่ ความคิด แต่เป็น ผู้นำ พันธกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ ถ้าไม่มีผู้นำที่เหมาะสม พันธกิจคุณก็จะได้แต่ล้มลุกคลุกคลานและอาจทำความเสียหายมากกว่าประโยชน์ก็ได้
จงวางใจในจังหวะเวลาของพระเจ้า เจ้าหน้าที่ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่เคยเริ่มพันธกิจใหม่ เราอาจเสนอความคิด แต่เราปล่อยความคิดนั้นไว้จนกว่าพระเจ้าจะประทานคนที่เหมาะสมมานำพันธกิจนั้น ผมแบ่งปันก่อนหน้านี้ว่าเราไม่มีพันธกิจอนุชนจนเรามีผู้ร่วมประชุมเกือบ 500 คน และเราไม่มีพันธกิจคนโสดจนเรามีเกือบ 1,000 คนร่วมประชุม ทำไมเหรอครับ ก็เพราะจนถึงเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ประทานผู้นำให้เรา
เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องไม่ผลักไสคนเข้าสู่งานรับใช้ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะติดชะงักอยู่กับปัญหาเรื่องแรงจูงใจไปตลอดชีวิตของพันธกิจนั้น คริสตจักรเล็ก ๆ ส่วนมากมักรีบร้อนและพยายามทำมากเกินไป แทนที่จะทำอย่างนั้น ให้คุณอธิษฐานและคอยให้พระเจ้าประทานคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำพันธกิจนั้น แล้วค่อยให้เขาเริ่มพันธกิจ ไม่ต้องกังวลถ้าไม่มีใครแสดงความสนใจพันธกิจบางอย่าง สิ่งสำคัญสำหรับผู้นำคริสตจักรคือ การมีมุมมองในระยะยาวในเรื่องการพัฒนาคริสตจักร การเติบโตที่มั่นคงต้องใช้เวลา
ถ้าศึกษาพระธรรมกิจการ คุณจะพบว่าการจัดตั้งงานทุกครั้งเกิดขึ้นภายหลังการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีสักครั้งที่คุณจะพบว่าคนจัดตั้งงานรับใช้ขึ้นแล้วค่อยอธิษฐานว่า "พระเจ้า โปรดอวยพระพรความคิดริเริ่มของเรา" ตรงกันข้ามพระเจ้าจะเริ่มต้นโดยการทำงานในจิตใจคน แล้วงานรับใช้ก็จะเริ่มต้นขึ้นในขนาดเล็กและเมื่อเติบโตขึ้น เขาก็จะเริ่มวางโครงสร้างบางอย่างลงไป
นี่คือวิธีที่พันธกิจทุกอย่างในแซดเดิลแบ็คเริ่มขึ้น เช่น พันธกิจสตรี เริ่มจากกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่เคย์สอนในบ้านเรา มันเติบโตและขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดมีโครงสร้างและทีมงาน
กำหนดมาตราฐานขั้นต่ำและเสนอแนะแนวทาง
เป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณต้องกำหนดมาตราฐานขั้นต่ำสำหรับงานรับใช้ เพราะความตั้งใจดีนั้นยังไม่เพียงพอเมื่อคุณได้ทำงานกับมนุษย์ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีข้อกำหนดลักษณะงานสำหรับทุกตำแหน่งในแต่ละพันธกิจ มันบ่งบอกถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ทำงานต้องอุทิศเวลามากเท่าใด มีแหล่งทรัพยากรสนับสนุนอะไรบ้าง มีข้อห้ามอะไร สายการบังคับบัญชาและสายการสื่อสารเป็นอย่างไร และงานนี้คาดหวังผลอะไร
ให้คุณกำหนดมาตราฐานเหล่านี้อย่างชัดเจนและกระชับ อย่าดับอนาคตคนด้วยระเบียบวิธีและคณะกรรมการ ให้เขามีอิสระมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่คริสตจักรเราสมาชิกทุกคนที่ผ่านชั้น 301 และการสัมภาษณ์ SHAPE สามารถเริ่มพันธกิจใหม่ได้ตราบใดที่เขาตกลงจะทำตามแนวทางพื้นฐานสามประการ
แนวทางที่ 1 อย่าคาดหวังว่าเจ้าหน้าที่คริสตจักรจะทำงานรับใช้ของคุณ คนมักจะพูดกันว่า "ฉันมีความคิดยอดเยี่ยมสำหรับคริสตจักรเรา" หรือ "เราควรทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ…" ผมมักจะขอให้เขาอธิบายให้ชัดเจนว่า คำว่า "เรา" ของเขานั้นหมายความว่าอะไร เพราะเมื่อคนพูดว่า "คริสตจักรควร…" เขามักจะหมายความว่า "ศิษยาภิบาลและเจ้าหน้าที่ควร…"
ครั้งหนึ่งมีคนบอกผมว่า "ผมมีภาระใจมากกับคนที่อยู่ในคุก ผมจึงไปที่นั่นและนำคนศึกษาพระคัมภีร์ ผมคิดว่า คริสตจักร ควรทำบางสิ่งสำหรับคนเหล่านั้น" ผมพูดกับเขาว่า "ผมฟังดูแล้วเหมือนกับว่าคริสตจักรก็ ได้ทำ บางสิ่งไปแล้วนะ คุณเองก็เป็นคริสตจักรนี่" สัปดาห์ถัดมาผมบอกทั้งคริสตจักรว่า "ผมปลดปล่อยพวกคุณทั้งหมดให้สามารถไปเยี่ยมคุก เลี้ยงคนหิวโหย แจกเสื้อผ้าคนยากจน และให้ที่พักแก่คนไม่มีบ้าน และพวกคุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไรผม ทำไปเลย จงเป็นตัวแทนของคริสตจักรในนามพระเยซู" พันธกิจนี้ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่คอยสั่งการ จงช่วยให้สมาชิกตระหนักว่าพวกเขาคือ คริสตจักร
แนวทางที่ 2 พันธกิจต้องสอดคล้องกับความเชื่อ ค่านิยม และปรัชญาในการรับใช้ของคริสตจักร ถ้าคุณยอมให้มีงานรับใช้ที่มุ่งไปคนละทางกับเป้าหมายของคริสตจักร คุณกำลังเชื้อเชิญความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นประโยชน์กับคริสตจักร งานรับใช้เช่นนั้นจะขัดขวางสิ่งที่คุณพยายามทำ และอาจถึงกับทำลายคำพยานของคริสตจักรคุณด้วย
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราระมัดระวังเป็นพิเศษกับพันธกิจที่ได้รับการสนับสนุนร่วมจากองค์การภายนอกคริสตจักร บ่อยครั้งที่องค์การเหล่านี้มีความสนใจที่ต่างจากคริสตจักรเรา ซึ่งมักจะทำให้สมาชิกจงรักภักดีแบบสองจิตสองใจ
แนวทางที่ 3 ไม่อนุญาตให้มีการเรี่ยไรเงินสนับสนุน ถ้าคุณยอมให้พันธกิจทุกอย่างเรี่ยไรเงินเอง สนามหน้าคริสตจักรคุณจะกลายเป็นตลาดนัด จะมีคนรับล้างรถและขายคุ้กกี้เต็มไปหมด และการแข่งขันหาเงินจะเข้มข้น สมาชิกของคุณจะขุ่นเคืองกับจดหมายขอเงินและกลเม็ดการขายต่าง ๆ ดังนั้น งบประมาณกลางจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับคริสตจักรที่มีพันธกิจหลากหลาย ผู้นำของแต่ละพันธกิจควรยื่นเสนอความต้องการทางการเงินเพื่อให้พิจารณาในงบประมาณรวมของคริสตจักร
ยอมให้คนหยุดหรือเปลี่ยนงานรับใช้อย่างสง่างาม
ในบางคริสตจักร คุณจะออกจากงานรับใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณเสียชีวิต ออกจากคริสตจักร หรือสมัครใจจะใช้ชีวิตในความรู้สึกผิดอันใหญ่หลวง คุณจำเป็นต้องยอมให้คนหยุดปีสะบาโต หรือเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด บางครั้งสมาชิกอาจรู้สึกอิ่มตัวกับงานรับใช้เดิม หรือเขาอาจต้องการเปลี่ยนจังหวะชีวิต หรืออาจต้องการพักบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องพร้อมให้เขาโยกย้ายงาน
เราไม่เคยสวมกุญแจมือสมาชิกให้ติดอยู่กับงานใดงานหนึ่ง การตัดสินใจจะทำงานใดงานหนึ่งไม่ได้สลักแน่นไว้บนศิลา ถ้าบางคนไม่เป็นสุขหรือไม่เหมาะกับงานนั้น เราก็หนุนใจให้เขาเปลี่ยนงานรับใช้โดยไม่ต้องอับอายขายหน้า
ให้สมาชิกมีอิสระที่จะลอง ให้เขาลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง เหมือนที่ผมกล่าวก่อนหน้านี้ เราเชื่อว่าการลองทำงานรับใช้หลาย ๆ อย่าง คือ วิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบของประทานของคุณ แม้เราจะเรียกร้องให้อุทิศเวลาหนึ่งปีในงานหนึ่ง แต่เราไม่เคยบีบบังคับให้เป็นอย่างนั้น ถ้าคนตระหนักว่าเขาไม่เหมาะ เราก็จะไม่ทำให้เขารู้สึกผิดที่จะลาออก เมื่อเราเรียกว่า "ลอง" เราก็สามารถหนุนใจให้เขาลองทำอย่างอื่นได้ ทุกปีระหว่างเดือนแห่งพันธกิจของสมาชิก เราจะหนุนใจทุกคนให้ลองงานรับใช้ใหม่ถ้าเขาไม่พอใจกับงานที่กำลังรับใช้อยู่
จงวางใจสมาชิก มอบหมายอำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ
เคล็ดลับในการจูงใจคนให้รับใช้นาน ๆ คือ การทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของงานนั้น ผมอยากย้ำเรื้องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คุณต้องยอมให้สมาชิกที่นำพันธกิจตัดสินใจเอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากคณะกรรมการใด ๆ เช่น ให้คนที่ทำพันธกิจเด็กอ่อนตัดสินใจเองว่าจะตกแต่งห้องอย่างไร จะเลือกเปลเด็กแบบไหน และจำนวนเท่าใด จะใช้ระบบนับเด็กเข้าออกอย่างไร คนที่อยู่ในงานจริง ๆ จะตัดสินใจโดยรู้ข้อมูลจริงมากกว่าคณะกรรมการบางคนที่พยายามควบคุมทุกสิ่งจากระยะไกล
คนเราตอบสนองต่อความรับผิดชอบ เขาจะพัฒนาและเติบโตเมื่อคุณวางใจเขา แต่ถ้าคุณปฏิบัติต่อเขาเหมือนทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คุณก็จะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อมนมเขาไปตลอดชีวิตคุณ เมื่อคุณให้อำนาจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ คุณจะทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิก คนเรามักจะมีความคิดสร้างสรรค์เท่าที่โครงสร้างงานยอมให้เขาคิดเอง ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คให้มีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานสำหรับทุกพันธกิจของสมาชิก แต่เราพยายามหลีกทางให้สมาชิกมากที่สุดที่ทำได้
จงคาดหวังให้สมาชิกทำอย่างดีที่สุด และไว้วางใจให้เขารับผิดชอบงานรับใช้ คริสตจักรมากมายหวาดกลัว ไฟป่า ก็เลยดับกองไฟเล็ก ๆ ทุกกองที่จะทำให้คริสตจักรอบอุ่น ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล จงยอมให้คนอื่นทำผิดพลาดเสียบ้าง อย่ายืนกรานที่จะทำผิดพลาดทั้งหมดอยู่คนเดียว คุณจะดึงความสามารถที่ดีที่สุดของคนออกมาโดยการให้เขาทำงานที่ ท้าทาย ให้เขามีอำนาจ และให้เขาได้รับ ความดีความชอบ
ช่วงเริ่มแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เคย์และผมช่วยกันทำงานทุกอย่างในคริสตจักร ทุกอย่างจริง ๆ ครับ จัดห้องประชุม เก็บห้องประชุม พิมพ์สูจิบัตร ล้างห้องน้ำ ชงกาแฟ ทำป้ายชื่อ และอะไรอีกมากมาย ผมเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในโรงรถทั้งเปลเด็ก เครื่องเสียง และอื่น ๆ ทุกเช้าวันอาทิตย์ผมจะยืมรถบรรทุกมาขนทุกอย่างไปยังโรงเรียนที่เราเช่า ผมมักทำงานวันละ 15 ชั่วโมง และผมก็มีความสุขกับทุกนาที
แต่เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีอายุสองสามปี ผมก็รู้ตัวว่ากำลังหมดแรงคริสตจักรมีคนสองสามร้อย ผมก็ยังพยายามทำงานรับใช้ทุกอย่างในทุกรายละเอียด ไฟผมเริ่มมอด ทั้งด้านร่างกายและอารมณ์
ในการประชุมกลางสัปดาห์หนึ่ง ผมสารภาพกับสมาชิกว่าผมอ่อนล้า และไม่สามารถทำแบบนี้ต่อไปได้ คือ ทั้งนำคริสตจักรและมีส่วนในงานรับใช้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือเตรียมสมาชิกให้พร้อมสำหรับพันธกิจ ของพวกเขา ผมกล่าวว่า "ผมจะทำข้อตกลงกับคุณ ถ้าคุณตกลงทำงานรับใช้ของคริสตจักรนี้ ผมรับรองว่าคุณจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี" สมาชิกชอบข้อตกลงนี้และคืนนั้นเราลงนามในพันธสัญญาที่ว่า นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป พวกเขาจะทำพันธกิจและผมจะเลี้ยงดูและนำพวกเขา หลังจากการตัดสินใจครั้งนั้น คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เติบโตพรวดพราดทีเดียว
ตั้งแต่วันแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค แผนของผม คือ เอางานรับใช้ออกไปจากตัว และเมื่อใดก็ตามที่มีคริสตจักรเกิดใหม่ ศิษยาภิบาลก็มักจะยึดงานรับใช้ต่าง ๆ ไว้กับตัวในระยะแรก แต่เป้าหมาย คือ การทำให้คริสตจักรหลุดออกจากการพึ่งพาศิษยาภิบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น ผมจะมอบความรับผิดชอบทีละอย่างให้ผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกและเจ้าหน้าที่คริสตจักร ในปัจจุบันผมมีความรับผิดชอบหลักอยู่สองอย่าง คือ นำ และ เลี้ยงดู และแม้แต่สองอย่างนี้ผมก็มีทีมศิษยาภิบาลมาช่วยแบ่งเบาอีกหกคน ศิษยาภิบาลบริหารของเราช่วยผมในการนำคริสตจักร และทีมงานเทศนาก็ช่วยรับผิดชอบเรื่องเทศนา ทำไมผมจึงทำเช่นนี้ก็เพราะผมเชื่อจากส่วนลึกเลยว่า คริสตจักรไม่ใช่ที่สำหรับพระเอกฉายเดี่ยว
เราเคยเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับพันธกิจโดดเด่นที่อิงอยู่กับคนคนเดียว ถ้าคนนั้นตาย ย้าย หรือทำผิดทางศีลธรรม พันธกิจนั้นก็พังคลืนลงมา ถ้าผมตายในวันนี้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็จะเติบโตต่อไป เพราะมัน เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เคลื่อนไปด้วยบุคคล เราอาจสูญเสียพันคนที่ผมเรียกว่า "พวกติดนักเทศน์" คือ ผู้ร่วมประชุมที่ชอบฟังผมเทศน์ แต่เราก็ยังเหลือสมาชิกที่อุทิศตัว มอบถวายชีวิต และเป็นแกนของคริสตจักรอีกหลายพันคน
จัดให้มีการสนับสนุนที่จำเป็น
อย่าคาดหวังว่าคนจะประสบความสำเร็จโดยปราศจากการสนับสนุน คุณต้องลงทุนบางอย่างในพันธกิจของสมาชิกเสมอ
ให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ พันธกิจของสมาชิกจำเป็นต้องใช้เครื่องถ่ายเอกสาร กระดาษ อุปกรณ์ และแหล่งทรัพยากรหลายอย่าง และมักจะต้องใช้ห้องประชุม ในอาคารที่เราสร้างในอนาคตเราวางแผนจะจัดห้องใหญ่ให้เป็น "ตู้ฟักไข่สำหรับพันธกิจ" คือ แบ่งเป็นพื้นที่เล็ก ๆ เป็นสัดส่วน สำหรับพันธกิจของพวกเขา เราถือว่าผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิกมีความสำคัญเท่ากับเจ้าหน้าที่ที่รับเงินเดือน การจัดสถานที่ไว้สำหรับสมาชิกคือ การบอกเขาว่า "สิ่งที่คุณทำมีความสำคัญ"
ให้การสนับสนุนด้านการสื่อสาร จัดเตรียมหนทางที่คอยติดต่อสื่อสารกับผู้รับใช้ที่เป็นสมาชิก อุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับสมาชิก (เช่น บัตรต้อนรับ การโทรศัพท์ถามไถ่ รายงานศิษยาภิบาลฆราวาส) ก็เป็นประโยชน์สำหรับงานนี้เช่นกัน
ให้การสนับสนุนในการทำให้เป็นที่รู้จัก เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้สมาชิกมองพันธกิจต่าง ๆ มีวิธีมากมายที่คุณจะทำให้พันธกิจต่าง ๆ เป็นที่รู้จัก เรามีคำแนะนำบางอย่างคือ
๐ ให้พันธกิจต่าง ๆ ตั้งโต๊ะไว้นอกห้องประชุมหรือในห้องสามัคคีธรรมทุกวันอาทิตย์ เพื่อคนจะมีโอกาสเห็นว่ามีพันธกิจอะไรบ้าง ถ้ามีที่ว่างไม่พอให้คุณสับเปลี่ยนหมุนเวียนการใช้พื้นที่
๐ ทำป้ายให้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้แต่ละคน เพื่อสมาชิกคนอื่น ๆ จะเห็นว่าใครทำงานรับใช้อะไร
๐ จัดงาน "พันธกิจ" เรามีงานนี้ปีละอย่าางน้อยสองครั้ง ทุกพันธกิจจะได้โฆษณาความสนใจ โครงการ และรายการของตน
๐ พิมพ์สูจิบัตรสำหรับพันธกิจทุกอย่างและเขียนบทความเกี่ยวกับพันธกิจต่าง ๆ ถ้าคุณมีจดหมายข่าว
๐ กล่าวถึงพันธกิจต่าง ๆ ในคำเทศนาของคุณ ใช้คำพยานเพื่อบอกว่าพันธกิจนั้น ๆ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ให้การสนับสนุนด้านกำลังใจ แสดงความชื่นชมต่อคนที่รับใช้ในคริสตจักรทั้งในที่สาธารณะและเป็นส่วนตัว จัดรายการพิเศษเช่นงานเลี้ยงขอบคุณ หรือค่ายพักผ่อนสำหรับผู้นำ เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้รับใช้ที่เป็นแกนของคริสตจักร ให้รางวัลแก่ "ผู้ฆ่ายักษ์" สำหรับงานรับใช้ที่โดดเด่นในแต่ละเดือน
ตลอดทั้งบทนี้ผมใช้คำว่า "พันธกิจของสมาชิก" หรือ "งานรับใช้ของสมาชิก" เพื่อผู้อ่านจะไม่คิดว่าผมกำลังพูดถึงเจ้าหน้าที่รับเงินเดือน ความคิดที่ว่ามีคริสตจักรสองระดับ ผู้รับใช้ (พระ) และสมาชิก (ฆราวาส) เป็นผลงานของประเพณีโรมันคาธอลิกในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้รับใช้อาสาสมัครกับผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน เราต้องปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่ไม่รับเงินเดือนเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อผู้รับใช้ที่รับเงินเดือน
ย้ำนิมิตนี้อย่างสม่ำเสมอ
ทำให้สมาชิกมองเห็นนิมิตแห่งงานรับใช้อยู่เสมอ สื่อสารถึงความสำคัญของพันธกิจของเขา เมื่อคุณเรียกคนสู่การรับใช้ ให้คุณเน้นถึงความสำคัญนิรันดร์ของการทำพันธกิจในพระนามของพระเยซู อย่าเรียกคนให้รับใช้โดยการกดดันหรือทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอันขาด สิ่งที่จูงใจคน คือ นิมิต ความรู้สึกผิดและการกดดันมีแต่จะทำให้เขาท้อถอย จงช่วยให้สมาชิกเห็นว่าไม่มีเป้าหมายใดยิ่งใหญ่เกินกว่าอาณาจักรของพระเจ้า (คือ แผ่นดินของพระเจ้า)
คุณจำหลักการของเนหะมีย์ที่ผมกล่าวในบทที่ 6 ได้ไหมครับ หลักการนี้บอกว่า นิมิตจะต้องมีการย้ำทุก ๆ 26 วัน เท่ากับประมาณเดือนละครั้ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้การประชุม SALT ของเรามีความสำคัญมาก เพราะในการประชุมนี้สมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ต้องการฟังผมย้ำเรื่องนิมิตและคุณค่าของงานรับใช้ ถ้าผมรู้สึกป่วยผมจะไม่ลังเลเลยที่จะให้คนอื่นพูดต่อหน้าฝูงชนนับหมื่นแทนผม แต่ถ้าจะให้ผมพลาดการพบปะกลุ่มแกนในการประชุม SALT ละก็ ต้องให้ผมถึงขั้นปางตายเสียก่อน เพราะมันเป็นโอกาสที่ผมจะเน้นย้ำเรื่องสิทธิพิเศษในการรับใช้พระคริสต์
ผมมักจะพูดกับสมาชิกว่า "ลองนึกดูว่าถ้าคุณตายไป แล้วอีกห้าสิบปีมีคนมาพูดกับคุณในสวรรค์ว่า "เราอยากขอบคุณคุณ" คุณบอกว่า "ขอโทษเถอะครับ ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณ" แล้วพวกเขาก็อธิบายว่า "คุณเป็นสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คุณรับใช้และเสียสละและสร้างคริสตจักรที่นำเรามาหาพระคริสตจักรหลังจากที่คุณตายแล้ว เราอยู่ในสวรรค์ได้ก็เพราะคุณ" คุณคิดว่าการทุ่มเทของคุณมีค่าขนาดนั้นไหมล่ะ"
ถ้าผมรู้วิธีลงทุนชีวิตที่มีความหมายมากกว่าการรับใช้พระเยซูคริสต์ ผมคงทำสิ่งนั้น แต่ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้ ดังนั้นผมจึงบอกคนอื่นว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาจะทำในชีวิตคือ เข้าร่วมในคริสตจักร เข้าร่วมในงานรับใช้ และรับใช้พระคริสต์โดยการรับใช้ผู้อื่น ผลที่เกิดจากงานรับใช้ที่เขาทำเพื่อพระคริสต์จะคงอยู่นานแสนนานเกินกว่าอาชีพ งานอดิเรก หรือสิ่งอื่นใดที่เขาทำ
เคล็ดลับที่คริสตจักรเก็บงำไว้มิดชิดที่สุดคือ สมาชิกกำลังทุรนทุรายอยากทำให้ชีวิตเขาเกิดประโยชน์ พระเจ้าสร้างเรามาเพื่องารับใช้ คริสตจักรที่เข้าใจสิ่งนี้และเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนแสดงลักษณะของตนในงานรับใช้ ก็จะประสบกับชีวิตชีวา สุขภาพ และการเติบโตที่น่าทึ่ง ยักษ์หลับก็จะตื่นขึ้น และไม่มีใครอาจหยุดมันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น