แต่น้ำองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่
ลูกา 5:38
นักเทศน์ที่สำคัญที่สุด 2 คนในศตวรรษที่ 18 คือ จอร์จ วิทฟิลด์และจอห์น เวสเล่ย์ แม้ว่าพวกเขาอยู่ในยุคเดียวกัน แต่พระเจ้าก็ทรงใช้ท่านทั้งสองอย่างมาก แม้ทั้งสองแตกต่างกันมากในด้านศาสนศาสตร์ บุคลิกและวิธีจัดระบบพันธกิจของตน
วิทฟิลด์มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเทศนา ตลอดชีวิตของท่าน ท่านเทศน์กว่า 18,000 ครั้ง เฉลี่ยสัปดาห์ละ 10 ครั้ง ครั้งหนึ่งท่านเทศนากับผู้ฟังเกือบ 100,000 คนที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ และเมื่อท่านเกินทางเทศนาในสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดการฟื้นฟูซึ่งรู้จักกันในนาม "การตื่นตัวครั้งใหญ่" อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชีวประวัติของท่านชี้ให้เห็นว่า วิทฟิลด์มักจะทิ้งคนรับเชื่อของท่านไว้โดยไม่มีการจัดระบบใด ๆ ผลจากงานของท่านจึงคงอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ ปัจจุบันมีคริสเตียนน้อยคนรู้จักชื่อของจอร์จ วิทฟิลด์
ตรงกันข้ามกับ จอห์น เวสเล่ย์ ที่ชื่อเสียงของท่านยังเป็นที่รู้จักของคริสเตียนนับล้าน ๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เวสเล่ย์เป็นนักเทศน์ที่ตระเวนเทศนาเช่นเดียวกับวิทฟิลด์ ท่านประกาศกลางแจ้งกับคนจำนวนมาก แต่เวสเล่ย์เป็นนักบริหารด้วย ท่านเริ่มวางระบบโครงสร้างเพื่อทำให้วัตถุประสงค์ของท่านสำเร็จ และมันมีผลยาวนานกว่าชีวิตของท่านมาก ระบบโครงสร้างนั้นคือ คริสตจักรเมธอดิสต์
ถ้าจะให้การฟื้นฟูคงอยู่ถาวรในคริสตจักรหนึ่ง ก็ต้องมีโครงสร้างเพื่อเลี้ยงดูและสนับสนุนมันด้วย เพียงแค่กำหนดและสื่อสารประโยควัตถุประสงค์นั้นยังไม่เพียงพอ คุณยังต้องจัดโครงสร้างตามลักษณะคริสตจักรคุณ และตามวัตถุประสงค์ของคุณในบทนี้ ผมจะอธิบายถึงการจัดโครงสร้างเพื่อให้มีการเน้นวัตถุประสงค์ทั้ง 5 อย่างสมดุล ความสมดุลเป็นกุญแจสู่การเป็นคริสตจักรที่มีสุขภาพแข็งแรง
คริสตจักรอีแวนเจลิคอล (เน้นความรอดโดยความเชื่อ) ส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะทำตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่ทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้สมดุลกัน คริสตจักรหนึ่งอาจเข้มแข็งเรื่องการสามัคคีธรรม แต่อ่อนในเรื่องการประกาศ อีกคริสตจักรอาจเข้มแข็งเรื่องการนมัสการ แต่อ่อนเรื่องการสร้างสาวก อีกแห่งหนึ่งอาจเข้มแข็งเรื่องการประกาศ แต่อ่อนเรื่องการรับใช้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
แนวโน้มนี้เป็นเรื่องปกติ คือ ผู้นำจะเน้นสิ่งที่เขารู้สึกว่าสำคัญมาก แต่ละเลยสิ่งที่เขารู้สึกว่าสำคัญน้อยกว่า ทุกแห่งทั่วโลกคุณสามารถพบคริสตจักรที่กลายเป็นกิ่งสาขาเพื่อสนองของประทานของศิษยาภิบาลของตน ถ้าคุณไม่กำหนดระบบและโครงสร้างเพื่อจงใจให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นั้นสมดุล คริสตจักรคุณก็มีแนวโน้มที่จะเน้นหนักเกินไปในวัตถุประสงค์ที่แสดงออกถึงของประทานและภาระใจของศิษยาภิบาล
ในประวัติศาสตร์ คริสตจักรต่าง ๆ ได้รับเอาลักษณะพื้นฐานทั้ง 5 ประการแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเน้นวัตถุประสงค์ใดมากที่สุด
คริสตจักร 5 ประเภท
คริสตจักรนำวิญญาณ ถ้าศิษยาภิบาลเห็นว่าบทบาทหลักของเขาคือผู้ประกาศข่าวประเสริฐ คริสตจักรก็จะกลายเป็นคริสตจักร "นำวิญญาณ" เพราะวัตถุประสงค์หลักของคริสตจักรคือ การช่วยดวงวิญญาณให้รอด คำที่คุณจะได้ยินบ่อยที่สุดภายในคริสตจักรนี้คือ เป็นพยาน ประกาศ ความรอด ตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์ บัพติศมา เยี่ยมเยียน เรียกรับเชื่อ และการประกาศใหญ่ ในคริสตจักรนำวิญญาณสิ่งที่นอกเหนือจากการประกาศถือเป็นความสำคัญอันดับรองลงไป
คริสตจักรที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ถ้าหากภาระใจและของประทานของศิษยาภิบาลอยู่ที่การนมัสการ เขาจะนำคริสตจักรโดยสัญชาตญาณ ให้เป็นคริสตจักร "ที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า" คริสตจักรนี้จะจดจ่อกับประสบการณ์การสถิติอยู่ด้วยและฤทธิ์เดชของพระเจ้าในการนมัสการ คำสำคัญสำหรับคริสตจักรนี้คือ สรรเสริญ อธิษฐาน นมัสการ ดนตรี ของประทานฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณ ฤทธิ์เดช และการฟื้นฟู ในคริสตจักรลักษณะนี้ การนมัสการได้รับความสนใจมากกว่าสิ่งอื่น เราจะพบคริสตจักรที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าทั้งที่เป็นคาริสเมติกและไม่เป็นคาริสเมติก
คริสตจักรพบญาติ คริสตจักรที่จดจ่อกับการสามัคคีธรรม คือ คริสตจักรที่ผมเรียกว่าคริสตจักร "พบญาติ" คริสตจักรนี้สร้างขึ้นโดยศิษยาภิบาลที่เด่นชัดเรื่องความสัมพันธ์ เขารักสมาชิกและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูแลสมาชิก เขาทำหน้าที่เลี้ยงดูมากกว่าอย่างอื่น คำสำคัญสำหรับคริสตจักรนี้คือ ความรัก การเป็นส่วนหนึ่ง สามัคคีธรรม ห่วงใย ความสัมพันธ์ นำอาหารมาทานด้วยกัน กลุ่มย่อย และสนุกสนาน สนคริสตจักรพบญาติ การพบปะกันสำคัญกว่าเป้าหมายอื่น ๆ
คริสตจักรลักษณะนี้ส่วนใหญ่มีสมาชิกน้อยกว่า 200 คน เนื่องจากนั่นคือจำนวนที่ศิษยาภิบาลคนหนึ่งจะดูแลได้ด้วยตัวเอง ผมประเมินว่าคริสตจักรประมาณ 80% ในอเมริกาอยู่ในกลุ่มนี้ คริสตจักรพบญาติอาจทำอะไรไม่มาก แต่เป็นคริสตจักรชนิดที่ทำลายยากที่สุด มันอยู่รอดได้แม้ว่าคำเทศนาจะแย่ การเงินจะจำกัด ขาดการเติบโต และแม้กระทั่งเผชิญการแตกแยกในคริสตจักร ความสัมพันธ์เป็นกาวซึ่งทำให้คนที่สัตย์ซื่อยังคงมาคริสตจักร
คริสตจักรห้องเรียน คริสตจักร "ห้องเรียน" เกิดขึ้นเมื่อศิษยาภิบาลเห็นว่าบทบาทหลักของเขาคือครู ถ้าการสอนเป็นของประทานหลักของเขา เขาจะเน้นการเทศนาและสั่งสอน และลดความสำคัญของภารกิจอื่น ศิษยาภิบาลนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้สอนที่เชี่ยวชาญ และสมาชิกมาคริสตจักรพร้อมสมุด เพื่อจดคำสอนและกลับบ้าน คำสำคัญสำหรับคริสตจักรห้องเรียนคือ เทศนาอรรถาธิบาย ศึกษาพระคัมภีร์กรีกและฮีบรู หลักข้อเชื่อ ความรู้ ความจริง และการสร้างสาวก
คริสตจักรห่วงใยสังคม ศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่ "ห่วงใยสังคม" เห็นบทบาทของเขาเป็นผู้เผยพระวจนะและนักปฏิรูป คริสตจักรชนิดนี้จะออกไปเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม มันเต็มไปด้วยนักต่อสู้ ซึ่งเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น" และมีกลุ่มกัวก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยม คริสตจักรหัวก้าวหน้ามักจะเน้นที่ความไม่ยุติธรรมในสังคม ปต่คริสตจักรอนุรักษ์นิยมมักจะเน้นที่ความเสื่อมเสียทางศีลธรรม คริสตจักรทั้ง 2 แบบต่างรู้สึกว่า คริสตจักรควรมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางการเมือง และสมาชิกมักจะมีส่วนในการรณรงค์บางอย่างในช่วงเวลานั้น คำสำคัญภายในคริสตจักรนี้คือ ความจำเป็น รับใช้ แบ่งปัน ปรนนิบัติ ยืนหยีด และทำอะไรสักอย่าง
ผมรู้ว่าผมได้วาดภาพแบบกว้าง ๆ และการกล่าวแบบกว้าง ๆ นี้ย่อมไม่ทำให่เห็นภาพทั้งหมดได้ เพราะบางคริสตจักรผสมผสาน 2 หรือ 3 ประเภทเข้าด้วยกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ถ้าไม่มีการวางแผนที่จงใจให้คริสตจักรสมดุลในวัตถุประสงค์ทั้ง 5 คริสตจักรก็จะยึดเอาวัตถุประสงค์หนึ่งมากจนละทิ้งวัตถุประสงค์อื่น ๆ
มีเรื่องน่าสนใจที่เราเห็นจากคริสตจักรทั้ง 5 ประเภท สมาชิกของแต่ละคริสตจักรคิดว่าคริสตจักรของตนอยู่ ฝ่ายวิญญาณมากที่สุด นั่นเป็นเพราะเมื่อคริสตจักรสอดคล้องกับสิ่งที่เขามีความสามารถและภาระใจ มันก็จะดึงดูดให้เขาเข้าเป็นสมาชิก เราทุกคนต้องการเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่เห็นพ้องกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าสำคัญที่สุดความจริงก็คือ วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นี้เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของคริสตจักร และต้องสมดุลกันเพื่อให้คริสตจักรมีสุขภาพแข็งแรง
ความขัดแย้งหลายครั้งเกิดขึ้นเมื่อคริสตจักรเชิญศิษยาภิบาลที่มีของประทานและภาระใจไม่ตรงกับสิ่งที่คริสตจักรมีในอดีต เช่น ถ้าคริสตจักรพบญาติตั้งใจจะเชิญศิษยาภิบาลมาเป็นผู้เลี้ยง และกลับได้นักประกาศหรือนักปฏิรูปมา คุณก็จะได้เห็นประกายไฟปลิวว่อน นั่นคือสูตรสำหรับความหายนะ
การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ
องค์การคริสเตียน
น่าสนใจที่เห็นว่า องค์การคริสเตียนส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมามักจะเชี่ยวชาญในวัตถุประสงค์หนึ่งของคริสตจักร พระเจ้าเร้าให้เกิดการเคลื่อนไหวขององค์การคริสเตียนเพื่อจะเน้นวัตถุประสงค์ที่ถูกละเลยของคริสตจักรอีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่า มันถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่คริสตจักรเมื่อองค์การคริสเตียนจดจ่ออยู่ที่วัตถุประสงค์เดียว เพราะมันทำให้สิ่งที่เขาเน้นเกิดผลกระทบต่อคริสตจักรได้มากกว่า
การเคลื่อนไหวเรื่องการฟื้นฟูฆราวาส การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรหันมาจดจ่อเรื่องคริสเตียนทุกคนคือผู้รับใช้อีกครั้ง พระเจ้าทรงใช้องค์การ เช่น Faith at Work, Laity Lodge และ The Church of the Savior กับนักเขียนอย่าง เอลตัน ทรูบลัด, ฟินด์ลี่ เอดจ์ และเดวิด ฮานี่ เพื่อเน้นย้ำอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงเรียกและประทานของประทานแก่ผู้เชื่อ ทุกคน เพื่อการรับใช้
การเคลื่อนไหวเรื่องการสร้างสาวกและชีวิตฝ่ายวิญญาณ การเคลื่อนไหวนี้เน้นย้ำอีกครั้งในเรื่องการพัฒนาผู้เชื่อให้เป็นผู้ใหญ่ องค์การเช่น Navigators, Worldwide Discipleship และ Campus Crusade for Christ และนักเขียนอย่างเวย์ลอน มัวร์, แกรี่ คูน, จีน เกทซ์, ริชาร์ด ฟอสเตอร์ และดัลลัส วิลลาร์ดได้เน้นความสำคัญของการเสริมสร้างคริสเตียนและพัฒนาวินัยฝ่ายวิญญาณ
การเคลื่อไหวเรื่องการนมัสการและการฟื้นใจ การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรเน้นควาใสำคัญของการนมัสการ มันเริ่มต้นที่ Jesus Movement ในต้นทศวรรษ 1970 และตามด้วยการฟื้นใจของกลุ่มคาริสเมติกและคริสตจักรที่เน้นพิธีกรรม ล่าสุดการนมัสการร่วมสมัยทำให้เรามีบทเพลงใหม่ ๆ การนมัสการรูปแบบใหม่ และมีการเน้นให้มีส่วนร่วมในการนมัสการมากขึ้น องค์การเช่น Maranatha! Music และ Hosanna Integrity มีบทบาทสำคัญในการสร้างรูปแบบการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงและทวีคูณ
การเคลื่อนไหวเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร การเคลื่อนไหวนี้ทำให้คริสตจักรกลับมาเน้นการประกาศ ภารกิจ และการเติบโตร่วมกัน มันเริ่มจากฟนังสือของโดนัลด์ แมกาฟแรน, ปีเตอร์ แวกเนอร์, เอลเมอร์ ทาวน์, วิน อาร์น และอาจารย์วิทยาลัยพระคริสตธรรมอีกหลายคน การเคลื่อนไหวนี้ขยายตัวมากขึ้นในทศวรรษที่ 1980 โดยผู้ให้คำปรึกษาเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร การสัมมนา และศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียง
การเคลื่อนไหวเรื่องกลุ่มย่อยหรือการอภิบาลศิษย์ การเคลื่อนไหวเรื่องกลุ่มย่อยหรือการอภิบาลศิษย์มีหน้าที่ทำให้คริสตจักรกลับมาเน้นที่การสามัคคีธรรม และความสัมพันธ์ที่ห่วงใยกันในพระกายของพระคริสต์ แม่แบบคริสตจักรเซลของเกาหลี และองค์การเช่น Touch Ministries, Serendipity, Care Givers และ Stephen's Ministry ได้ทำให้เราเห็นคุณค่าของการใช้กลุ่มย่อย และความสำคัญของการดูแลคนแต่ละคน
เราควรขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเคลื่อนไหวแต่ละประเภท องค์การแต่ละองค์การ และนักเขียนแต่ละคน การเคลื่อนไหวแต่ละอย่างบอกสิ่งที่สำคัญให้แก่คริสตจักร และปลุกคริสตจักรให้ตื่นขึ้น พร้อมทั้งเน้นย้ำวัตถุประสงค์แต่ละอย่างของคริสตจักร
รักษาคริสตจักรคุณให้สมดุล
โดยธรรมชาติแล้ว การเคลื่อนไหวแต่ละประเภทจะ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เพื่อทำให้เกิดผลกระทบ การมีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างไม่ใช่ความผิด เมื่อผมต้องผ่าตัด ผมต้องการแพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดนั้น แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนสามารถอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายผมได้โดยลำพัง
เช่นเดียวกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวขององค์การคริสเตียนใดที่สามารถให้ทุกสิ่งเพื่อทำให้เกิดพระกายของพระคริสต์แข็งแรงได้ การเคลื่อนไหวแต่ละประเภทจะเน้นเพียงส่วนเดียว ของภาพรวม สิ่งสำคัญคือเราต้องมองที่ภาพของคริสตจักร เพื่อจะเห็นความสำคัญของการทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 นี้สมดุล
ยกตัวอย่าง เพื่อนศิษยาภิบาลของผมไปร่วมสัมมนาซึ่งสอนว่า กลุ่มย่อยคือกุญแจ ดอกเดียว สำหรับการเติบโตของคริสตจักร ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านและวางแผนจะยกเครื่องโครงสร้างคริสตจักรใหม่ทั้งหมด และสร้างเครือข่ายกลุ่มเซลขึ้นมาแทนแต่ภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ไปร่วมสัมมนาที่โด่งดังอีกแห่งซึ่งสอนว่า การนมัสการสำหรับผู้สนใจ คือ กุญแจดอกเดียว สำหรับการเติบโต ดังนั้น เขาจึงกลับบ้านและจัดระเบียบและรูปแบบการนมัสการของเขาใหม่ แล้วเขาก็ยิ่งสับสนเมื่อเขาได้รับโฆษณาสัมมนาถึง 3 ใบในสัปดาห์เดียวกัน ใบหนึ่งประกาศอย่างมั่นใจว่า "รวีศึกษาคือ ตัวกระตุ้นให้คริสตจักรเติบโต" อีกใบบอกว่า "การสร้างสาวกตัวต่อตัวคือเคล็ดลับของการเติบโต" ใบโฆษณาที่ 3 เป็นสัมมนาเรื่อง "เทศนาอรรถาธิบายเพื่อการเติบโตของคริสตจักร" ในที่สุด เขาสับสนว่าอะไรกันแน่คือ กุญแจ ของการเติบโต เขาเลิกไปร่วมสัมมนา ผมไม่โทษเขา เพราะผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่เขาไปร่วมสัมมนาเขาได้รับภาพที่ถูกต้อง แต่มันเป็นเพียงบางส่วนของสิ่งที่คริสตจักรควรจะทำ มันง่ายเกินไปและไม่ถูกต้องที่เสนอว่า มีปัจจัยเดียวที่เป็นเคล็ดลับสำหรับการเติบโตของคริสตจักร
ที่จริงมีกุญแจหลายดอก พระเจ้าไม่ได้เรียกให้คริสตจักรทำสิ่งเดียว แต่ให้ทำหลายสิ่ง นั่นคือเหตุผลที่ว่า ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมบอกเจ้าหน้าที่ของผมว่า "บุคคลผู้ใดสมดุล ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะอยู่ได้นานกว่าคนอื่น"
เปาโลชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนใน 1 โครินธ์ 12 ว่า พระกายของพระคริสต์มีอวัยวะหลายส่วน ไม่ใช่มีแค่มือ ปาก หรือตาเท่านั้น แต่เป็นระบบที่อวัยวะแต่ละส่วนทำงานร่วมกัน ที่จริง ร่ายการของคุณประกอบด้วยหลายระบบ ระบบหายใจ ระบบการหมุนเวียนโลหิต ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบโครงกระดูก และอื่น ๆ เมื่อระบบเหล่านี้ทั้งหมดสมดุลกัน ก็เรียกว่า "สุขภาพดี" ความไม่สมดุลคือความเจ็บป่วย เช่นเดียวกัน ความสมดุลในวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของพระคัมภีร์ใหม่ก็จะนำสุขภาพที่ดีสู่พระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร
คริสตจักรแซดเดิลแบ็คจัดโครงสร้างโดยใช้แนวคิดง่าย ๆ 2 ประการเพื่อให้แน่ใจว่าเราสมดุล เราเรียกว่า "วงกลมแห่งการอุทิศชีวิต" และ "กระบวนการพัฒนาชีวิต" สองแนวคิดนี้ทำให้เห็นว่า ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราระยุกต์วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรอย่างไร กระบวนการพัฒนาชีวิต (วงกลมซ้อนกัน 5 วง) แสดงให้เห็นว่าเราทำงานกับใคร
ผมสร้างแนวคิดเหล่านี้ขึ้นในปี 1974 เมื่อเป็นศิษยาภิบาลอนุชนก่อนที่จะเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค วันนี้คนมาร่วมนมัสการเกือบ 10,000 คน และเรายังสร้างทุกสิ่งที่เราทำโดยอาศัยแผนภาพทั้งสองนี้ มันได้ผลดีที่เดียว
วงกลมซ้อนกันแสดงถึงระดับการอุทิศตัว และความเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันในคริสตจักรคุณ สนามเบสบอลแสดงถึงกระบวนการนำคนที่อุทิศตัวน่อย หรือไม่อุิทศตัวเลย ให้อุิทศตัวและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบทนี้เราจะดูที่ภาพวงกลมซ้อนกันและผมจะอธิบายสนามเบสบอลในบทที่ 8
ให้คุณมองคริสตจักรของคุณด้วยมุมมองใหม่ ทุกคนในคริสตจักรคุณอุทิศตัวเพื่อพระคริสต์เท่ากันหรือไม่ สมาชิกทุกคนเป็นผู้ใหญ่เท่ากันหรือไม่ แน่นอน ไม่ใช่ สมาชิกบางคนอุทิศตัวเต็มที่และเติบโตมาก คนอื่น ๆ ไม่ค่อยอุทิศตัวและไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ในคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เราจำแนกระดับการอุทิศชีวิตที่ต่างกัน 5 ระดับ และ 5 ระดับนี้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักร
ในภาพวงกลมซ้อนกัน 5 วงในหน้าถัดไป แต่ละวงแสดงถึงระดับการอุทิศตัวที่ต่างกัน เริ่มตั้งแต่น้อยมาก (เช่น ตกลงว่าจะมานมัสการสม่ำเสมอ) จนถึงอุทิศตัวมาก (เช่น สัญญาจะใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณในการรับใช้คนอื่น) เมื่อผมบรรยายระดับทั้ง 5 นี้โดยกล่าวถึงสมาชิกที่แซดเดิลแบ็ค คุณจะเห็นว่า คริสตจักรคุณก็มีสมาชิกอยู่ในระดับเหล่านี้ด้วย
วงกลมแห่งการอุทิศชีวิต
เป้าหมายของคริสตจักรคุณคือการนำคนจากวงนอก (อุทิศตัวน้อยและไม่เป็นผู้ใหญ่) มาสู่วงกลมใน (อุทิศตัวมาก เป็นผู้ใหญ่) ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การนำคนจากชุมชนสู่กลุ่มแกน"
ชุมชน
ชุมชนคือจุดเริ่มต้นของคุณ มันเป็นศูนย์ร่วมของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า หรือคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคริสตจักรของคุณ พวกเขาไม่ได้อุทิศตัวให้แก่พระเยซูคริสต์ หรือคริสตจักรของคุณเลย พวกเขาคือ คนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ซึ่งคุณต้องการจะเข้าถึง ชุมชนของคุณคือ ที่ซึ่งคุณจะทำตามวัตถุประสงค์แห่ง การประกาศ มันเป็นวงกลมใหญ่ที่สุด เพราะมันมีผู้คนมากที่สุด
เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเติบโตขึ้น เราจำกัดคำนิยามของชุมชนให้แคบลงว่า "คนที่ไม่เป็นคริสเตียน ผู้มานมัสการเป็นครั้งคราว" ถ้าคุณมาเยี่ยมคริสตจักรแซดเดิลแบ็คอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง (และลงชื่อในบัตร หรือซองถวายทรัพย์) ชื่อของคุณจะอยู่ในฐานข้อมูล "ชุมชน" ในคอมพิวเตอร์ของเรา คนกลุ่มนี้คือคนที่เราจะทำการประกาศมากที่สุด ขณะที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ เรามีรายชื่อคนมานมัสการเป็นครั้งคราวกว่า 31,000 ชื่อ คิดเป็นประมาณ 10% ของคนในแถบนี้ แน่นอน เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ เจาะเข้าถึงชุมชนทั้งหมดของเรา ให้ทุกคนมีโอกาสได้ยินเรื่องของพระคริสต์
ฝูงชน
วงต่อมาแสดงถึงกลุ่มที่เราเรียกว่า "ฝูงชน" ฝูงชนหมายถึงทุกคนที่มานมัสการในเช้าวันอาทิตย์ พวกเขามานมัสการประจำ ฝูงชนประกอบด้วยทั้งผู้ที่เชื่อพระคริสต์และผู้สนใจ แต่สิ่งที่ทุกคนเหมือนกัน คือ สัญญาว่าจะมาร่วม นมัสการ ทุกสัปดาห์นั่นไม่ใช่การอุทิศตัวมากมายอะไร แต่อย่างน้อยก็เป็นพื้นฐานบางอย่างให้คุณสร้างต่อไปได้ เมื่อคนหนึ่งย้ายจากชุมชนเข้ามาเป็นฝูงชน คุณก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าครั้งสำคัญในชีวิตของเขา ปัจจุบันคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมี "ฝูงชน" ประมาณ 10,000 คนที่มานมัสการแต่ละสัปดาห์
แม้ผู้ที่สนใจจะไม่สามารถนมัสการได้จริง ๆ แต่เขาสามารถดูคนอื่นนมัสการได้ ผมมั่นใจว่า การนมัสการที่แท้จริงเป็นคำพยานที่มีพลังที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจ ถ้าเรานมัสการในรูปแบบที่เขาเข้าใจได้ ผมจะบอกรายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 13 ถ้าคนที่สนใจสัญญาว่าจะมานมัสการประจำที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมเชื่อว่า ในที่สุดเขาจะต้อนรับพระคริสต์ เมื่อคนหนึ่งต้อนรับพระคริสต์ เป้าหมายของเราก็คือนำเขาสู่ระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้นคือ "สมาชิก"
สมาชิก
สมาชิกคือกลุ่มสมาชิกอย่างเป็นทางการของคริสตจักรคุณ พวกเขารับบัพติศมาและสัญญาจะเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรคุณ ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เป็นแค่คนที่มาร่วม พวกเขาอุทิศตัวเพื่อวัตถุประสงค์แห่งการ สามัคคีธรรม นี่เป็นการอุทิศตัวที่สำคัญมาก ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เรื่องของการเชื่อเท่านั้น แต่มันรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรด้วย เมื่อคนตัดสินใจมอบชีวิตให้พระคริสต์ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการหนุนใจให้ก้าวต่อไปและอุทิศตัวเพื่อพระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คนที่ต้อนรับพระคริสต์ ได้รับบัพติศมา ได้เรียนชั้นสมาชิกใหม่ (ชั้น 101 "ค้นพบการเป็นสมาชิกคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค") และได้ลงนามในสัญญาสมาชิกเท่านั้นที่จะเป็นสมาชิกได้
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราไม่เห็นประโยชน์ของการมีรายชื่อสมาชิก แต่เจ้าตัวไม่มานมัสการ ดังนั้นเราคัดชื่อสมาชิกออกปีละเป็นร้อย ๆ ชื่อ เราไม่สนใจในจำนวนสมาชิกที่มาก แต่สนใจเฉพาะสมาชิกที่แท้จริงซึ่งกระตือรือร้นและมีส่วนจริง ๆ ปัจจุบันคริสตจักรเรามีสมาชิกกระตือรือร้นประมาณ 5,000 คน
ผมเคยเทศนาในคริสตจักรซึ่งมีสมาชิกในทะเบียนกว่า 1,000 คน แต่มีคนมานมัสการน้อยกว่า 200 คน สมาชิกประเภทนี้จะมีค่าอะไร ถ้าคุณมีสมาชิกในทะเบียนมากกว่าคนที่มาร่วมนมัสการ คุณก็ควรไตร่ตรองถึงการเปลี่ยนความหมายของคำว่าสมาชิกเสียใหม่
การมีคนมาร่วมนมัสการมากกว่าจำนวนสมาชิก หมายความว่าคริสตจักรนั้นมีประสิทธิภาพในการดึงดูดคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และสร้างแหล่งรวมเพื่อการประกาศตัวบ่งชี้ที่ดีถึงประสิทธิภาพการประกาศของคริสตจักรคือ เมื่อคุณมีคนที่มาร่วมมากกว่าจำนวนสมาชิกอย่างน้อย 25% ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีสมาชิก 200 คน คุณควรจะมีคนมาร่วมนมัสการเป็นประจำอย่างน้อย 250 คน ถ้าคุณไม่มี ก็หมายความว่าแทบไม่มีใครในคริสตจักรของคุณเชิญคนไม่เป็นคริสเตียนมาคริสตจักร ในปัจจุบันที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีฝูงชนมากกว่าสมาชิก 100% สมาชิก 5,000 คนของเรานำเพื่อนที่ไม่เชื่อมา ดังนั้นเราจึงมีผู้ร่วมนมัสการประมาณ 10,000 คน
ผู้อุทิศตัว
คริสตจักรของคุณมีคนที่รักพระเจ้าและเติบโต แต่ไม่ได้รับรับใช้อย่างกระตือรือร้นหรือไม่ พวกเขาจริงจังในความเชื่อ แตจะเป็นเหตุใดก็ตามที่ทำให้เขาไม่ได้รับใช้ เราเรียกคนเหล่านี้ว่า "ผู้อุทิศตัว" พวกเขาอธิษฐาน ถวายทรัพย์ และอุทิศตัวเพื่อการเติบโตในกระบวนการสร้างสาวก พวกเขาเป็นคนดี แต่ยังไม่เข้าร่วมในการรับใช้
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราถือว่า คนที่ได้เรียนวิชา 201 "ค้นพบความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ" และลงนามในบัตรพันธสัญญาการเติบโต เราจัดอยู่คนเหล่านี้ในกลุ่มผู้อุทิศตัว บัตรพันธสัญญาการเติบโตแสดงถึงการอุทิศตัวเพื่อฝึกฝนอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ 3 ประการ (1) เฝ้าเดี่ยวทุกวัน (2) ถวายสิบลดของรายได้ และ (3) เข้ากลุ่มย่อยสม่ำเสมอ เราถือว่านิสัยทั้ง 3 อย่างนี้จำเป็นต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่ผมเขียนเล่มนี้ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีประมาณ 3,500 คนที่ลงนามในบัตรพันธสัญญาการเติบโต และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม "ผู้อุทิศ"
กลุ่มแกน
"กลุ่มแกน" คือ กลุ่มที่เล็กที่สุด เพราะพวกเขามีระดับการอุทิศตัวมากที่สุด พวกเขาคือคนส่วนน้อยที่เป็นคนงานและผู้นำที่ทุ่มเท พวกเขาถวายตัวเพื่อ รับใช้ คนอื่น พวกเขาคือคนที่นำและรับใช้ในพันธกิจต่าง ๆ ในคริสตจักร เป็นครูสอนวรีวารศึกษา มัคนายก ผู้ดูแลกลุ่มอนุชน และอื่น ๆ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ คริสตจักรของคุณจะหยุดนิ่ง กลุ่มแกนของคุณรวมตัวกันเป็นหัวใจของคริสตจักรของคุณ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีกระบวนการที่มีเจตนาโดยตรงในการช่วยให้สมาชิกได้ค้นพบงานรับใช้ที่เหมาะสมกับเขาที่สุด มันรวมถึงการเรียนวิชา 301 "ค้นพบพันธกิจของฉัน" การกรอกประวัติ SHAPE ผ่านการสัมภาษณ์พันธกิจส่วนตัว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้ฆราวาสในคริสตจักร และเข้าร่วมการฝึกฝนประจำเดือนที่จัดไว้สำหรับกลุ่มแกนโดยเฉพาะ ปัจจุบัน เรามีคนในกลุ่มแกน 1,500 คนผมจะทำทุกอย่างเพื่อคนเหล่านี้ พวกเขาเป็นเคล็ดลับแห่งพลังของเรา ถ้าจู่ ๆ ผมเสียชีวิตลงคริสตจักรแซดเดิลแบ็คจะเติบโตต่อไปเพราะฐานสมาชิกที่เป็นผู้รับใช้ 1,500 คนนี้
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนหนึ่งเดินมาถึงกลุ่มแกนแล้ว เราก็จะนำพวกเขากลับไปที่ชุมชนเพื่อทำพันธกิจต่อไป
พระเยซูทรงยอมรับ
ระดับการอุทิศชีวิตที่แตกต่างกัน
พระเยซูทรงทราบว่าทุกคนมีระดับการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณที่ต่าางกัน ผมมักประหลาดใจเสมอกับคำสนทนาของพระเยซูกับผู้แสวงหาคนหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย ไม่ไกล จากแผ้นดินพระเจ้า" (มาระโก 12:34) ไม่ไกลเหรอ ผมเข้าใจว่านี่หมายความว่าพระเยซูทรงยอมรับว่า มีระดับความเข้าใจและการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณแม้แต่ในคนที่ไม่เชื่อ
พันธกิจของพระเยซูครอบคลุมถึงการรับใช้ชุมชน เลี้ยง ฝูงชน รวบรวม สมาชิก ท้าทาย ผู้อุทิศตัว และสร้างสาวก กลุ่มแกน งานทั้ง 5 เห็นได้ชัดเจนในพระกิตติคุณและเราต้องทำตามตัวอย่างของพระองค์ พระเยซูเริ่มต้นที่ระดับการอุทิศตัวของแต่ละคน บ่อยครั้งพระองค์เพียงแค่จับความสนใจของพวกเขา และสร้างความต้องการให้อยากรู้จักมากขึ้น แล้วเมื่อประชาชนติดตามพระองค์ต่อไป พระเยซูจะทรงอธิบายอย่างช้า ๆ และอ่อนสุภาพให้เขาเข้าใจแผ่นดินของพระเจ้าอย่างชัดเจน และจะทรงเรียกร้องการอุทิศชีวิตที่ลึกซึ้งกว่าเดิมต่อแผ่นดินของพระเจ้า แต่พระองค์ทำเช่นนี้ก็ต่อเมื่อผู้ติดตามพระองค์ได้มาถึงระดับก่อนหน้านั้นแล้ว
ครั้งแรกที่พระเยซูพบกับยอห์นและอันดรูว์ พระองค์ตรัสเพียงว่า "มาดูเถิด…" (ยอห์น 1:39) พระองค์มิได้เรียกร้องอะไรมากกับผู้ติดตามแรกเริ่มเหล่านี้ พระองค์เชิญให้พวกเขามาดูเท่านั้น พระองค์อนุญาตให้พวกเขาดูพันธกิจของพระองค์โดยไม่ทรงเรียกร้องการอุทิศตัวมากมายอะไร นี่ไม่ใช่การตัดทอนข่าวประเสริฐ แต่พระองค์แค่สร้างความสนใจ
เมื่อกลุ่มผู้ติดตามรุ่นแรกเพิ่มขึ้นเป็นฝูงชน พระเยซูเริ่มปรับให้ยากขึ้น และในที่สุดหลังจาก 3 ปีของการรับใช้ท่ามกลางพวกเขา หกวันก่อนการจำแลงพระกายพระเยซูทรงเปิดเผยให้ฝูงชนรู้ถึงการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "พระองค์จึงทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสแก่เขาว่า "ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" (มาระโก 8:34)
พระเยซูสามารถเรียกร้องให้ฝูงชนอุทิศชีวิตขนาดนั้นได้ก็ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงสำแดงความรักต่อพวกเขา และได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาแล้ว สำหรับคนแปลกหน้า หรือคนที่มาเยี่ยมคริสตจักรครั้งแรก ผมเชื่อว่าพระเยซูจะทรงตรัสในทำนองนี้ว่า "บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก" (มัทธิว 11:28-29)
พระเยซูทรงตระหนักว่า ประชาชนมีเบื้องหลังทางวัฒนธรรม ความเข้าใจ และระดับการอุทิศตัวฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างกัน พระองค์ทราบว่าการใช้ชีวิตเดียวกันกับทุกคนนั้นไม่ได้ผล แนวคิดเดียวกันนี้อยู่เบื้องหลังวงกลมของการอุทิศชีวิต ซึ่งมันเป็นกลยุทธ์ง่าย ๆ ที่บอกให้รู้ว่า เราทำพันธกิจกับผู้คนตามระดับการอุทิศชีวิตที่แตกต่างกัน คนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคน พวกเขาแตกต่างกันในควาใต้องการ ความสนใจและปัญหาฝ่ายวิญญาณ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาอยู่ ณ จุดไหนบนเส้นทางฝ่ายวิญญาณของพวกเขา เราอย่าปะปนสิ่งที่เราทำกับชุมชนและฝูงชนกับสิ่งที่เราทำกับกลุ่มแกน แต่ละกลุ่มต้องใช้วิธีการที่ต่างกัน ฝูงชนไม่ใช่คริสตจักร แต่ฝูงชนสามารถเปลี่ยนเป็นคริสตจักรได้
โดยการจัดโครงสร้างคริสตจักรคุณตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 และจัดประเภทคนในคริสตจักรของคุณตามระดับการอุทิศตัวของพวกเขา ให้เข้ากับวัตถุประสงค์แต่ละอย่าง คุณก็จะเดินไปบนเส้นทางสู่พันธกิจที่สมดุลและสร้างคริสตจักรที่มีสุขภาพแข็งแรง เวลานี้คุณก็พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนสุดท้ายในการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ นั่นคือการนำเอาวัตถุประสงค์ของคุณมาประยุกต์ใช้ในทุกส่วนของคริสตจักร นั่นคือประเด็นสำคัญของบทต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น