วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 9 กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร

ตอนที่ 3
เข้าถึงชุมชนของคุณ

พระเยซูตรัสว่า "เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล"
มัทธิว 15:24

เปาโลพูดว่า "ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้นที่เป็นคนต่างชาติเช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยิว"
กาลาเทีย 2:7

ครั้งหนึ่งผมเห็นการ์ตูนสนูปปี้ที่บรรยายวิธีประกาศของหลาย ๆ คริสตจักร ชาลี บราวน์กำลังซ้อมยิงธนูใส่รั้วบ้าน แล้วเดินไปเขียนเป้าล้อมรอบที่ ๆ ลูกธนูปัก ลูซี่เดินมาถามว่า "ทำไมเธอทำอย่างนี้ ชาลี บราวน์" เขาตอบอย่างไม่อายเลยว่า "ทำแบบนี้ฉันจะยิงไม่พลาดเลย"

น่าเศร้าที่เหตุผลเดียวกันนี้อยู่เบื้องหลังวิธีการประกาศข่าวประเสริฐของคริสตจักรจำนวนมาก เรายิงธนูแห่งข่าวประเสริฐเข้าไปในชุมชน และถ้ามันเกิดถูกใครเข้า เราก็บอกว่า "นั้นไงเล็งไว้นานแล้ว" สิ่งที่เราทำมีการวางแผนและวางกลยุทธ์กันน้อยเหลือเกิน เราไม่ได้เล็งที่เป้าหมายอย่างเจาะจง เราเพียงแค่เขียนเป้าหมายไว้ที่คนที่เราเข้าถึงได้ และยอมรับเช่นนั้น วิธีประกาศแบบนี้ขาดความใส่ใจอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ การนำคนมาหาพระคริสต์เป็นงานที่สำคัญเกินกว่าที่เราจะมีท่าทีสบาย ๆ เช่นนี้

คริสตจักรจำนวนมากมีความคิดซื่อ ๆ เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าคุณถามสมาชิกว่า "คริสตจักรของคุณพยายามนำใครมาเชื่อพระเจ้า" คำตอบคงจะเป็น "ทุกคน" เราพยายามนำทั้งโลกมาถึงพระคริสต์" แน่นอน นี่คือเป้าหมายของพระมหาบัญชา และมันควรเป็นคำอธิษฐานของคริสตจักร แต่ในภาคปฏิบัติ ไม่มีคริสตจักรท้องถิ่นแห่งใดสามารถประกาศกับทุกคนได้

เพราะมนุษย์มีความแตกต่างมาก ไม่มีคริสตจักรแห่งใดสามารถเข้าถึงทุกคนได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอาศัยคริสตจักรทุกประเภท คริสตจักรเดียว ยุทธวิธีเดียวหรือรูปแบบเดียวไม่อาจทำให้สำเร็จได้ เราต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถทำสำเร็จ

ถ้าคุณนั่งเล่นที่สนามบินสักครึ่งวัน คุณจะเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าชอบความหลากหลาย พระองค์สร้างมนุษย์ที่หลากหลายทั้งความสนใจ ความชอบ ภูมิหลัง และบุคลิก การเข้าถึงคนทุกประเภทเพื่อพระคริสต์ก็ต้องอาศัยรูปแบบการประกาศที่หลากหลายด้วย ข่าวประเสริฐนั้นคงเดิม แต่วิธีการและรูปแบบของการสื่อสารข่าวประเสริฐมีหลากหลาย

ผมปฏิเสธที่จะโต้เถียงว่าวิธีการระกาศแบบใดดีที่สุด เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณพยายามประกาศกับใคร เหยื่อต่างชนิดก็จะล่อปลาต่างชนิด ผมชอบวิธีประกาศที่นำคนมาถึงพระคริสต์ได้อย่างน้อย 1 คน ตราบใดที่มันไม่ผิดจรรยาบรรณ ผมคิดว่า วันหนึ่งคนที่คัดค้านวิธีประกาศแบบใดแบบหนึ่ง จะอับอายมากเมื่อได้เห็นคนจำนวนมากเข้าสู่สวรรค์เพราะวิธีการนั้น ๆ เราไม่ควรตำหนิวิธีการใด ๆ ที่พระเจ้าทรงอวยพร

ถ้าคุณต้องการให้คริสตจักรมีประสิทธิภาพสูงสุดในการประกาศ คุณต้องตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณ จงค้นหาว่ามีคนประเภทใดบ้างที่อยู่ในละแวกคริสตจักรคุณ ตัดสินใจว่าคนกลุ่มไหนที่คริสตจักรคุณพร้อมจะประกาศมากที่สุด และหาว่ารูปแบบการประกาศใดที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แม้คริสตจักรคุณจะไม่สามารถเข้าถึงทุกคนได้ แต่คริสตจักรคุณก็เหมาะกับการนำคนประเภท เมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังพยายามประกาศกับใคร ก็จะทำให้การประกาศง่ายขึ้นมาก

ลองนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานีวิทยุที่พยายามดึงดูดนักฟังเพลงทุกประเภท สถานีที่เปลี่ยนแนวดนตรีจากแนวหนึ่งไปสู่อีกแนวหนึ่งจะไม่เหมาะกับใครสักคน ไม่มีใครจะฟังสถานีนั้น

บรรดาสถานีวิทยุที่ประสบความสำเร็จล้วนเลือกกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาทำวิจัยบริเวณที่พวกเขาออกอากาศ ค้นหาว่ากลุ่มใดที่ยังไม่มีสถานีใดเข้าถึง แล้วเลือกแนวดนตรีที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 2 ที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค หลังจากที่รู้ว่า คริสตจักรของเราเหมาะสมที่สุดในการประกาศกับใคร เราก็จงใจมุ่งไปหาคนเหล่านั้น เมื่อเราวางแผนการประกาศเรามีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในความคิดเสมอ พระคัมภีร์ได้กำหนดข่าวประเสริฐที่เราประกาศ แต่กลุ่มเป้าหมายจะกำหนดว่าเราจะสื่อสารเมื่อไร ที่ไหน และอย่างไร

คุณต้องไม่ คิด ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร จนกว่าคุณจะมีวัตถุประสงค์คริสตจักรที่ชัดเจนเสียก่อน ต้องวางรากฐานพระคัมภีร์ก่อน ผมเคยเฝ้าดูบางคริสตจักรที่เริ่มต้นกำหนดยุทธวิธีการประกาศด้วยกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่วางฐานแห่งวัตถุประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าเสียก่อน ผลก็คือได้คริสตจักรที่ไม่มั่นคงและไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ เคลื่อนไปด้วยกำลังทางการตลาด แทนที่จะเป็นพระวจนะของพระเจ้า ข่าวประเสริฐไม่อาจประกาศอย่างประนีประนอมได้

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศ
เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงเพื่อการประกาศนั้น เป็นหลักการตามพระคัมภีร์สำหรับการทำพันธกิจ มันเก่าแก่เท่ากับพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงมีกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพระองค์ เมื่อหญิงคานาอันขอให้พระองค์ช่วยลูกสาวของนางที่ถูกผีเข้า พระองค์กล่าวอย่างเปิดเผยว่า พระบิดาบัญชาให้พระองค์จดจ่อที่ "แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล" (มัทธิว 15:22-28) แม้พระเยซูทรงรักษาลูกสาวของนางเพราะความเชื่อของนาง แต่พระองค์ก็บอกอย่างเปิดเผยว่า พันธกิจของพระองค์มุ่งที่คนยิว พระเยซูไม่ยุติธรรมหรือมีอคติหรือเปล่า ไม่ใช่อย่างแน่นอน พระเยซูทรงกำหนดกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพระองค์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อแบ่งแยก

ก่อนหน้านั้น พระเยซูบัญชาเหล่าสาวกให้มีกลุ่มเป้าหมายในพันธกิจของพวกเขาด้วย มัทธิว 10:5-6 กล่าวว่า "สิบสองคนนี้ พระเยซูทรงใช้ให้ออกไปและสั่งเขาว่า "อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า" เปาโลมุ่งเป้าพันธกิจของท่านที่คนต่างชาติและเปโตรมีกลุ่มเป้าหมายคือคนยิว (กาลาเทีย 2:7) พันธกิจทั้งสองมีความจำเป็น ทั้งสองสำคัญ และทั้งสองมีประสิทธิภาพ

แม้แต่พระกิตติคุณสี่เล่มก็เขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมพระเจ้าทรงใช้ผู้เขียน 4 คนและหนังสือ 4 เล่มเพื่อสื่อสารชีวิตของพระคริสต์ผู้เดียว เรื่องราวและคำสอนเกือบทั้งหมดในมาระโกก็มีอยู่ในมัทธิวด้วย แล้วทำไมเราถึงต้องการหนังสือ 2 เล่ม ก็เพราะพระกิตติคุณมัทธิวมุ่งที่ผู้อ่านชาวฮีบรู ส่วนมาระโกมุ่งที่ผู้อ่านต่างชาติ พวกเขามีเรื่องราวเดียวกัน แต่เนื่องจากพวกเขาเขียนสำหรับผู้อ่านที่ต่างกัน รูปแบบการสื่อสารจึงแตกต่าง การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศเป็นวิธีที่พระเจ้าสร้างขึ้น พระองค์คาดหวังให้เราเป็นพยานกับผู้อื่นตามลักษณะของเขา

แนวคิดเรื่องการมีกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศผนวกอยู่ในพระมหาบัญชาด้วย เราต้องสอน "ชนทุกชาติ" ให้เป็นสาวก คำกรีก "ta ethne" (รากศัพท์ของคำอังกฤษ ethnic - เผ่าพันธ์) ถ้าแปลตามตัวอักษรก็คือ "กลุ่มชนทั้งหมด" กลุ่มชนที่แตกต่างต้องอาศัยยุทธวิธีการประกาศที่สามารถสื่อสารข่าวประเสริฐในลักษณะที่คนในวัฒนธรรมนั้นสามารถเข้าใจได้

เดือนมีนาคม 1995 งานของบิลลี่ แกรแฮมในเปอร์โตริโก มีการออกอากาศ 116 ภาษาสู่ผู้ฟังทั่วโลก เรื่องราวเดียวกัน แต่ต้องแปลเป็นภาษาของแต่ละประเทศและมีเพลงและคำพยานที่เหมาะกับแต่ละวัฒนธรรม คนกว่า 1,000 ล้านได้ยินข่าวประเสริฐในภาษา ทำนองและคำพยานที่เหมาะกับกลุ่มพวกเขา นี่เป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ในการประกาศตามกลุ่มเป้าหมาย

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศนั้นมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับคริสตจักรเล็ก ๆ ในคริสตจักรเล็กซึ่งมีทรัพยากรจำกัด มันสำคัญมากที่คุณต้องใช้สิ่งที่คุณมีให้คุ้มค่าที่สุด ให้คุณทุ่มทรัพยากรของคุณเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่คริสตจักรคุณสามารถสื่อสารได้ดีที่สุด

คริสตจักรเล็ก ๆ ต้องตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ เช่น เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดคนทุกประเภทด้วยดนตรีรูปแบบเดียวในการนมัสการครั้งเดียว และคริสตจักรเล็กก็ไม่สามารถมีการนมัสการหลายรอบ ดังนั้นจึงต้องเลือกกลุ่มเป้าหมาย ถ้าหากคุณเปลี่ยนรูปแบบทุก ๆ สัปดาห์ คุณก็จะได้ผลเหมือนกับสถานีวิทยุที่ผสมทุกแนวเพลงคือไม่มีใครพอใจซักคน

ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของคริสตจักรใหญ่ คือ คุณมีทรัพากรพอที่จะมุ่งกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่ม ยิ่งคริสตจักรของคุณใหญ่เท่าไร คุณก็ยิ่งมีทางเลือกด้านรายการ รายการพิเศษและรูปแบบการนมัสการได้มากขึ้น เมื่อคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเริ่มต้น เรามุ่งเน้นเพียงกลุ่มเดียว คือ คู่สมรสใหม่ คนชั้นกลางที่ไม่เป็นคริสเตียน เรามุ่งเน้นที่พวกเขาเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในแซดเดิลแบ็ควาลลีย์ และเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่ผมสร้างความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด แต่เมื่อคริสตจักรเราเติบโตขึ้นเราสามารถทำพันธกิจและรายการประกาศเพื่อเข้าถึงผู้ใหญ่ตอนต้น คนโสด นักโทษ คนสูงอายุ พ่อแม่ที่ลูกมีปัญหา และคนที่พูดภาษาสเปน เวียดนาม และเกาหลี รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายอีกหลายกลุ่ม

คุณจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างไร

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนของคุณให้มากที่สุด คริสตจักรคุณต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงโดยคำนึง 4 ด้าน คือ ภูมิศาสตร์ (ที่อยู่) ลักษณะประชากร (เช่น เพศ อายุ) วัฒนธรรม และสภาพจิตวิญญาณ

เมื่อผมเรียนวิชาการตีความพระคัมภีร์ ธรรมเนียม วัฒนธรรม และศาสนาของคนในสมัยนั้นเสียก่อน แล้วผมถึงจะสามารถกลั่นกรองความจริงนิรันดร์ของพระเจ้าออกมาจากบริบทได้ กระบวนการนี้เรียกว่า "ธรรมกถา" นักเทศน์ที่ยึดมั่นในพระคัมภีร์ทุกคนต้องใช้มัน

น่าเสียดาย ไม่มีวิชาไหนสอนผมว่า ก่อนที่ผมจะสื่อสารความจริงนิรันดร์นี้กับคนในสมัยนี้ ผมต้อง "ธนนมกถา" (ทำความเข้าใจ) ชุมชนของผมเสียก่อน ผมต้องสนใจภูมิศาสตร์ ธรรมเนียม วัฒนธรรม และภูมิหลังของชุมชนของผม เหมือนที่ผมต้องทำกับคนที่อยู่ในสมัยพระคัมภีร์ ถ้าผมต้องการสัตย์ซื่อในการสื่อสารพระวจนะของพระเจ้า

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามภูมิศาสตร์

พระเยซูมีแผนการสำหรับการประกาศกับทั้งโลก ในกิจการ 1:8 พระองค์บอกให้สาวกรู้ถึงกลุ่มเป้าหมายทาวภูมิศาสตร์ว่า "แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" นักวิชาการพระคัมภีร์หลายคนชี้ว่า นี่คือรูปแบบการเติบโตที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในพระธรรมกิจการ ข่าวประเสริฐไปถึงคนยิวในเยรูซาเล็มก่อน แล้วไปถึงแคว้นยูเดีย แล้วก็แคว้นสะมาเรีย และในที่สุดก็แพร่ไปทั่วยุโรป

ในพันธกิจของคุณ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางภูมิศาสตร์หมายความว่าคุณกำหนดว่าคุณต้องการประกาศคนที่อยู่บริเวณไหน เอาแผนที่เมืองหรือจังหวัดของคุณออกมากาง และทำเครื่องหมายว่าคริสตจักรคุณอยู่ตรงไหน ให้ประมาณรัศมีโดยรอบที่สามารถขับรถถึงใน 15-25 นาที และทำเครื่องหมายพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นขอบเขตพันธกิจหลัก นี่คือ "บ่อตกปลา" ของคุณ หน่วยงานราชการสามารถบอกคุณว่าในพื้นที่รอบ ๆ คริสตจักรนั้นมีคนจำนวนเท่าไร

เรื่องนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคิด ประการแรก "ระยะทางที่ขับรถไปถึงได้" คำ ๆ นี้แต่ละคนเข้าใจไม่เหมือนกัน เวลาเดินทางในแต่ละส่วนของประเทศไม่เหมือนกัน คนชนบทเต็มใจจะขับรถไกลกว่าคนที่อยู่ในเมือง คนอยากใช้ทางหลวงมากกว่าขับผ่านไฟจราจรในเมือง ผมเดาว่า เวลาขับรถไปคริสตจักร คนเรายอมทนเจอไฟจราจรอย่างมากประมาณ 12 จุด

ประการที่ 2 ปัจจุบันคนเลือกคริสตจักรเพราะความสัมพันธ์ และรายการมากกว่าที่ตั้ง การตั้งคริสตจักรให้ใกล้พวกเขาที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเข้าถึงพวกเขาได้โดยอัตโนมัติ คริสตจักรคุณอาจไม่ เหมาะ กับพวกเขาก็ได้ ตรงกันข้าม จะมีคนที่ยอมขับรถผ่านคริสตจักรอื่น 15 แห่งเพื่อมาร่วมคริสตจักรคุณ ถ้าคุณตอบสนองความต้องการของพวกเขา

ประการที่ 3 ยิ่งคริสตจักรคุณใหญ่ขึ้น ก็จะยิ่งขยายออกไปได้ไกลขึ้น เรามีคนประเภทที่ขับรถกว่าชั่วโมงเพื่อมาคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เพราะเรามีรายการหรือกลุ่มสนับสนุนที่พวกเขาหาที่ไหนใกล้กว่านี้ไม่ได้ คนเต็มใจจะขับรถไกลขึ้นเพื่อร่วมคริสตจักรใหญ่ที่มีพันธกิจรอบด้านมากกว่าร่วมคริสตจักรเล็กที่มีพันธกิจจำกัด

อีกวิธีหนึ่งในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายของคุณ คือ เขียนวงกลมรอบคริสตจักรคุณเป็นรัศมี 5 ไมล์ (8 กิโลเมตร) แล้วดูว่ามีคนในวงกลมนั้นจำนวนเท่าไร นี่คือบริเวณ เริ่มต้น พันธกิจของคุณ คนอเมริกันประมาณ 65% ไม่ไปคริสตจักรที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในเขตเมือง ถ้าคุณคำนวณจำนวนประชากรบริเวณนั้น แล้วหา 65% คุณก็จะเห็นว่า "ทุ่งนาพร้อมจะเก็บเกี่ยว" จริง ๆ

เมื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว คุณก็จะรู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรในบ่อตกปลาของคุณ นี่สำคัญมาก เนื่องจากประชากรที่อยู่ในบริเวณของคุณเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ที่คุณจะนำพวกเขาเข้ามา ส่วนในบริเวณที่มีประชากรมาก เป็นไปได้ที่คุณจะทำให้คริสตจักรเติบโตโดยการมุ่งเน้นที่กลุ่มเดียว แต่ในบริเวณที่ประชากรน้อยคุณต้องประกาศกับคนหลายกลุ่มเพื่อจะได้คริสตจักรขนาดใหญ่

การไม่สนใจบทบาทของจำนวนประชากรในการคำนวณว่าคริสตจักรจะใหญ่เพียงไรนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา ไม่ว่าคริสตจักรจะทุ่มเทเพียงไร ถ้าบริเวณพันธกิจมีคนเพียง 1,000 คน คริสตจักรจะไม่มีวันใหญ่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของศิษยาภิบาล และไม่ใช่เพราะคริสตจักรขาดการทุ่มเท แต่มันเป็นหลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ

ผมเคยไปคริสตจักรใหญ่บางแห่งในเมืองใหญ่ พวกเลือกกลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจงมากเพื่อจะเข้าถึงประชากรเพียง 0.5% แต่เนื่องจากบริเวณนั้นมีประชากร 200,000 คน คริสตจักรนั้นจึงมีคนมานมัสการ 1,000 คน คุณจะเข้าใจผิดและผิดหวัง ถ้าคุณจะเลียนแบบกลยุทธ์ของพวกเขา คริสตจักรคุณซึ่งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ จะใหญ่เหมือนคริสตจักรนั้น คุณจำเป็นต้องจดจ่อที่ค่าเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เข้าถึงได้จริง ๆ แต่ไม่ใช่จำนวนตัวเลข กลยุทธ์ที่เข้าถึงคน 1,000 คนในเมืองที่มี 200,000 คน ก็เหมือนการเข้าถึง 50 คนในเมืองที่มี 1,000 คน

ไม่ฉลาดนักและก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบจำนวนคนที่มาร่วมนมัสการของคริสตจักรต่าง ๆ เพราะทุกคริสตจักรต่างมีบ่อตกปลาที่ไม่เหมือนที่อื่น และแต่ละบ่อก็มีจำนวนและชนิดของปลาที่แตกต่างกัน คริสตจักร 2 แห่งอาจดูคล้ายกันมาก แต่เมื่อพิเคราะห์ดูใกล้ ๆ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยอาศัยข้อมูลประชากร

ไม่เพียงแค่คุณจำเป็นต้องหาว่า มีกี่คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของคุณ คุณยังต้องรู้ด้วยว่า คนที่อยู่นั่นมีลักษณะแบบไหน แต่ก่อนอื่น ผมขอเตือนคุณว่า อย่าทำการวิจัยข้อมูลประชากรมากเกินไป เพราะคุณจะเสียเวลามากมายไปกับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนในส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับคริสตจักร ผมรู้จักผู้ก่อตั้งคริสตจักรบางคนที่ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เตรียมแฟ้มอย่างสวยงามซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลประชากรในพื้นที่ของพวกเขา มันแค่น่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์ต่อวัตถุประสงค์ของคริสตจักร

มีข้อมูลประชากรเพียงไม่กี่อย่างที่มีประโยชน์และจำเป็น ผมถือว่าปัจจัยสำคัญ ๆ ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศคือ
๐ อายุ - แต่ละช่วงอายุมีคนจำนวนเท่าไร
๐ สถานภาพสมรส - มีผู้ใหญ่โสดจำนวนเท่าไร คู่สมรสจำนวนเท่าไร
๐ รายได้ - ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเท่าไร
๐ การศึกษ - ระดับการศึกษาในชุมชนเป็นอย่างไร
๐ อาชีพ - อาชีพส่วนใหญ่คืออะไร

แต่ละปัจจัยเหล่านี้ต่างมีอิทธิพลต่อวิธีการทำพันธกิจ และการสื่อสารข่าวประเสริฐของคุณ

ตัวอย่างเช่น คนที่เพิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีความหวังและความกลัวแตกต่างจากคนท่่เกษียณแล้ว การเสนอพระกิตติคุณซึ่งเน้นเรื่องความรอดในสวรรค์คงจะไม่ได้ผลเพราะพวกเขายังมีชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล เขาไม่สนใจชีวิตหลังความตาย เขาเพียงแต่กระหายอยากรู้ว่า ชีวิต นี้ มีความหมายหรือเป้าหมายหรือไม่ การสำรวจระดับประเทศครั้งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า คนอเมริกันน้อยกว่าท1% สนใจคำถามว่า "ผมจะไปสวรรค์ได้อย่างไร"

วิธีที่ได้ผลดีกว่านั้นในการประกาศกับคนที่เพิ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือ ชี้ให้เห็นว่า เวลานี้ เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยทางพระคริสต์ได้อย่างไร ตรงข้าม ผู้สูงอายุจะสนใจมากในเรื่องการเตรียมตัวเพื่อนิรัดร์กาล เพราะพวกเขารู้ว่า เวลาของพวกเขาอาจหมดลงเมื่อไหร่ก็ได้

คู่สมรสมีความสนใจต่างจากคนโสด คนยากจนเผชิญปัญหาที่แตกต่างจากคนชั้นกลาง คนมั่งมีมีความวิตกของพวกเขาเอง คนที่จบมหาวิทยาลัยจะมองโลกแตกต่างจากคนที่จบชั้นมัธยม การรู้มุมมองของคนที่เราอยากจะนำมาเชื่อพระคริสต์นั้นมีความสำคัญมาก

ถ้าคุณจริงจังกับการทำให้คริสตจักรคุณมีอิทธิพลจริง ๆ จงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชุมชนของคุณ ศิษยาภิบาลควรรู้จักชุมชนของตนดีกว่าคนอื่น อย่างที่ผมอธิบายในบทที่ 1 ก่อนผมจะย้ายเข้ามาในชุมชนนี้ ผมใช้เวลา 3 เดือนศึกษาสถิติประชากรและข้อมูลประชากร เพื่อผมจะรู้ว่าคนประเภทใดบ้างที่อาศัยอยู่ในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ก่อนผมจะย่างเท้าเข้ามา ผมรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นั่นกี่คน พวกเขาทำงานที่ไหน มีรายได้เท่าไร รวมถึงรู้ระดับการศึกษาและเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณจะรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้จากที่ไหน มีแหล่งข้อมูลมากมาย รวมทั้งห้องสมุดต่าง ๆ สำนักงานหนังสือพิมพ์ หอการค้า นายหน้าค้าที่ดิน บริษัทสาธารณูปโภค คริสตจักรคณะใหญ่ ๆ ก็มีฐานข้อมูลที่คุณจะใช้ได้

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามวัฒนธรรม

การเข้าใจข้อมูลประชากรของชุมชนนั้นสำคัญ แต่การเข้าใจวัฒนธรรมของชุมชนนั้นสำคัญยิ่งกว่า วัฒนธรรม คือสิ่งที่คุณไม่พบในสถิติสำมะโนประชากร ผมใช้คำว่า วัฒนธรรมซึ่งหมายถึง วิถีชีวิตและทัศนคติของคนที่อยู่ใกล้คริสตจักรของคุณ ในเรื่องนี้โลกธุรกิจใช้คำไพเราะว่า ลักษณะทางจิตวิทยา ซึ่งก็หมายถึง ค่านิยม ความสนใจ ความเจ็บปวด และความกลัว มิชชันนารี คริสเตียนรู้จักจำแนกความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมมานานแสนนาน ก่อนที่โลกธุรกิจจะหลงใหลในเรื่อง ลักษณะทางจิตวิทยา

ไม่มีมิชชันนารีคนไหนไปต่างประเทศและพยายามประกาศและรับใช้โดยไม่ทำความเข้าใจวัฒนธรรมของคนที่นั่นเสียก่อน มันโง่เขลาที่จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบัน การเข้าใจวัฒนธรรมที่เราทำพันธกิจอยู่ก็ยังสำคัญเหมือนเดิม เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับวัฒนธรรมของเรา แต่เรา ต้อง เข้าใจมัน

ภายในชุมชนของเรา มีวัฒนธรรมย่อยหรือกลุ่มย่อย ๆ มากมาย การจะเข้าถึงแต่ละกลุ่ม เราจำเป็นต้องค้นหาว่า พวกเขาคิดอย่างไร ความสนใจของพวกเขาคืออะไร พวกเขาให้ความสำคัญกับอะไร พวกเขาเจ็บปวดตรงไหน พวกเขากลัวสิ่งใด ลักษณะเด่นที่สุดของวิถีชีวิตพวกเขาคืออะไร สถานีวิทยุที่พวกเขานิยมที่สุดคือสถานีใด ยิ่งคุณรู้จักพวกเขามากเท่าไร คุณก็ยิ่งเข้าถึงพวกเขาง่ายเท่านั้น

อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของคริสตจักรคือ "การไม่รู้จักผู้คน" คือไม่รู้ถึงความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละกลุ่มคน คนผิวขาวเหมือนกันทั้งหมดหรือเปล่า แน่นอน ไม่ คนผิวดำเหมือนกันทุกคนหรือเปล่า แน่นอน ไม่ คนที่พูดภาษาสเปน หรือคนเอเชียเหมือนกันหมดหรือเปล่า ไม่ สายตาที่ได้รับการฝึกฝนแล้วจะมองเห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างคนที่อยู่ในพื้นที่ของคุณ

วิธีที่ดีที่สุดในการรู้จักวัฒนธรรม ทัศนคติ และวิถีชีวิตของคน คือ การพูดคุยกับพวกเขาเป็นส่วนตัว คุณไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทการตลาด เพียงแค่คุณออกไปและพบปะคนในชุมชนของคุณเป็นส่วนตัว ทำการสำรวจด้วยตัวคุณเอง ถามพวกเขาว่าพวกเขา รู้สึกว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด ฟังความเจ็บปวด ความสนใจ และความกลัวของพวกเขา ไม่มีหนังสือหรือรายงานข้อมูลประชากรใดที่สามารถจะทดแทนการพูดคุยกับคนในชุมชนของคุณ สถิติให้ภาพเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น คุณต้องใช้เวลาส่วนตัวกับคนอื่น เพื่อจะรับรู้ความรู้สึกของชุมชนโดยการพูดคุยกันตัวต่อตัว ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรจะมาทดแทนสิ่งนี้ได้

กำหนดกลุ่มเป้าหมายตามสภาพจิตวิญญาณ

หลังจากที่คุณกำหนดพื้นที่เป้าหมายตามวัฒนธรรมแล้ว คุณต้องหาเบื้องหลังด้านจิตวิญญาณของคนในชุมชนของคุณ ค้นหาว่าคนในพื้นที่ของคุณรู้อะไรเกี่ยวกับพระกิตติคุณแล้วบ้าง เช่น เมื่อผมศึกษาแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ผมพบว่า คนในเขตออเรนจ์ เคาน์ตี้เชื่อในพระเจ้าหรือวิญญาณสากล 94% เชื่อคำนิยามของพระเจ้าในพระคัมภีร์ 75% เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย 70% และเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในโลกนี้เพื่อจุดประสงค์ฝ่ายวิญญาณ 52% นี่เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะทำให้รู้ว่าเวลาเป็นพยานกับพวกเขาควรจะเริ่มต้นตรงไหน

ในการกำหนดบรรยากาศฝ่ายวิญญาณของชุมชน คุณต้องสัมภาษณ์ศิษยาภิบาลคนอื่น ๆ ในแถบนั้น ศิษยาภิบาลที่ได้ทำงานในชุมชนนั้นกว่า 10 ปีควรจะรู้อย่างมากถึงปัญหาท้องถิ่นและแนวโน้มฝ่ายวิญญาณ

ก่อนผมย้ายมาเพื่อตั้งคริสตจักรของเรา ผมติดต่อกับศิษยาภิบาลแต่ละคนในแถบแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์เพื่อฟังการประเมินของพวกเขาเรื่องความต้องการทางฝ่ายวิญญาณของคนแถบนี้ งานนี้ง่ายมาก ผมไปที่ห้องสมุด ค้นสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง หาคำว่า "คริสตจักร" และจดชื่อและที่อยู่ของคริสตจักรทุกแห่งในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ (ประเทศไทยก็สะดวกมากเพราะมีสมุดโทรศัพท์คริสเตียนไทย) แล้วผมก็เขียนจดหมายถึงศิษยาภิบาลแต่ละคน อธิบายว่าผมจะทำอะไร และถามคำถาม 6 ข้อในบัตรตอบรับที่ติดแสตมป์แล้ว ผมได้รับบัตรตอบรับกลับมาประมาณ 30 ใบ ผมได้รับความเข้าใจอย่างมาก และได้เริ่มต้นมิตรภาพที่ยาวนานกับศิษยาภิบาลหลายคน

คำว่า คนที่ไม่ไปคริสตจักร ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ไม่เคยอยู่ในคริสตจักรมาก่อน มันยังรวมถึงคนที่เคยไปคริสตจักร แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์และคนที่ไม่ได้ไปคริสตจักรมานานพอสมควร ซึ่งมักจะเป็นเวลาหลายปี (สำหรับในประเทศไทยน่าจะใช้คำว่าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า หรือคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนน่าจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า - ผู้เรียบเรียง)

คนอเมริกัน 26% อ้างว่ามาจากพื้นเพแบบคาธอลิก ถ้าคุณอยู่ฝั่งตะวันตก คนที่คุณจะพบมากที่สุดคงจะเป็นคนที่เคยเป็นคอธอลิก ถ้าคุณอยู่ทางใต้ แน่นอน คนกลุ่มใหญ่ที่สุดคือคนที่มีพื้นเพแบบแบ๊กติส (30%) ในรัฐนอร์ธ ดาโกต้า คนที่ไม่ไปคริสตจักรที่คุณมีโอกาสคุยด้วยคงมีพื้นเพแบบลูเธอร์แรน (28%) และในรัฐแคนซัสและไอโอว่าคนเหล่านั้นคงมีพื้นเพเมธอดิสต์ (13%) ในรัฐไอดาโฮ ไวโอมิ่ง และยูทาห์ก็คงเป็นลัทธิมอร์มอน ดังนั้น คุณต้องรู้จักพื้นที่ของคุณ

เมื่อผมเป็นพยานกับใครก็ตามที่ไม่รู้จักพระคริสต์เป็นการส่วนตัว ผมจะพยายามหาสิ่งที่เรามีเหมือนกันในเรื่องเบื้องหลังทางศาสนา เช่น ขณะที่ผมคุยกับคนคาธอลิก ผมรู้ว่าพวกเขายอมรับพระคัมภีร์ แต่คงไม่เคยอ่าน และรู้ว่าพวกเขายอมรับตรีเอกนุภาพ การประสูติโดยหญิงพรหมจารีและพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เรามีเรื่องพื้นฐานสำคัญ ๆ บางอย่างที่เห็นตรงกันอยู่แล้ว งานของผม คือ การสื่อสารควรมแตกต่างระหว่างการมีศาสนาที่ตั้งอยู่บนการกระทำ กับการมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์โดยอาศัยพระคุณ (งานของเราต้องเริ่มจากการหาจุดที่เรามีเหมือนกันคนไทยที่เราประกาศ หลังจากนั้นค่อยนำสู่ความแตกต่าง)

เมื่อผมพูดในสัมมนาศิษยาภิบาล มักจะมีศิษยาภิบาลบอกผมว่า คริสตจักรของพวกเขา "เหมือนคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค" พอผมถามว่าเหมือนอย่างไร พวกเขาตอบว่า "เราเน้นที่การประกาศกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน" ผมบอกว่า "เยี่ยมมากแล้วคริสตจักรคุณประกาศกับคนไม่เป็นคริสเตียนประเภทไหนล่ะครับ" คนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่ได้เหมือนกันหมดทุกคน การบอกว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือ "คนไม่เป็นคริสเตียน" เป็นการกล่าวที่ยังไม่สมบูรณ์ คนไม่เป็นคริสเตียนที่ปราดเปรื่องในเบิร์กเล่ย์ (มหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย) ต่างกันมากกับชาวนาในเมืองเฟรสโน หรือคนไม่เป็นคริสเตียนที่อพยพมาอยู่ในลอสแอนเจลิส

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อการประกาศนั้นต้องใช้เวลา และการศึกษาที่จริงจัง แต่เมื่อคุณทำการสำรวจเสร็จแล้ว คุณจะเข้าใจว่า ทำไมวิธีประกาศบางวิธีจึงได้ผลหรือไม่ได้ผลในพื้นที่ของคุณ มันจะช่วยคุณไม่ให้สูญเสียกำลังและทุนทรัพย์อันมีค่าไปกับวิธีประกาศที่ไม่ได้ผล

ในต้นทศวรรษที่ 1980 บางคริสตจักรพยายามใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือเพื่อการประกาศ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คไม่เคยทำตาม ทำไมหรือ เพราะว่าในการสำรวจกลุ่มเป้าหมายของเรา เราได้รู้ 2 สิ่งคือ หนึ่ง เรารู้ว่า คนที่รบกวนชาวออร์เรนจ์ เคาน์ตี้มากที่สุดคือ "คนแปลกหน้าที่โทรศัพท์มาขายของ" อง เรารู้ว่า กว่าครึ่งของคนในชุมชนของเราไม่มีชื่อในสมุดโทรศัพท์ แค่นี้สรุปได้แล้ว ผมประหลาดใจที่คริสตจักรหลายแห่งมักจะใช้เงินมากมายไปกับโครงการประกาศ โดยไม่ได้ถามกลุ่มเป้าหมายเสียก่อนว่า เขาคิดว่ามันใช้ได้หรือไม่

วาดภาพกลุ่มเป้าหมายให้เป็นบุคคล

เมื่อคุณรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับชุมชนของคุณแล้ว ผมหนุนใจให้คุณจัดแฟ้มประวัติรวมลักษณะของบุคคลที่เป็นแบบฉบับของคนไม่เป็นคริสเตียน ซึ่งคริสตจักรคุณต้องการประกาศด้วย การรวบรวมลักษณะของคนในพื้นที่ของคุณให้เป็นบุคคลสมมุติคนเดียว จะทำให้สมาชิกคุณก็จะเห็นว่า บุคคคสมมุติคนนี้คือ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับเขา

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเรียกบุคคลสมมุติคนนี้ว่า "แซดเดิลแบ็คแซม" สมาชิกส่วนใหญ่ของเราสามารถบรรยายลักษณะของแซมได้ เราบรรยายถึงเขาอย่างละเอียดทุกครั้งที่เราสอนชั้นเรียนสมาชิกใหม่

แซดเดิลแบ็คแซม คือ แบบฉบับของคนที่ไม่เป็นคริสเตียนซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเรา อายุของเขาคือปลาย 30 หรือต้น 40 เขาจบปริญญาตรี หรืออาจมีปริญญาที่สูงกว่านั้น (แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์เป็นบริเวณที่มีการศึกษาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา) เขาแต่งงานกับแซดเดิลแบ็คซาแมนธา และมีลูก 2 คนคือ สตีฟและแซลลี่

การสำรวจบอกว่า แซมชอบงานของเขา ชอบที่ที่เขาอยู่ และคิดว่า ตอนนี้เขามีความสุขมากกว่า 5 ปีก่อน เขาพอใจในตัวเอง จนถึงขั้นอิ่มอกอิ่มใจในสถานภาพของตน เขาเป็นมืออาชีพ เป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ แซมอยู่ในกลุ่มคนที่มั่งมีที่สุดในอเมริกา แต่เขามีหนี้สินมาก โดยเฉพาะจากราคาบ้านของเขา

สุขภาพและรูปร่างมีความสำคัญมากสำหรับแซมและครอบครัว คุณมักจะเห็นแซมวิ่งในตอนเช้า ปลซาแมนธาไปเข้าชั้นแอโรบิกสัปดาห์ละ 3 ครั้งที่ศูนย์สุขภาพทั้งสองชอบฟังเพลงป๊อปและคันทรี โดยเฉพาะเวลาพวกเขาออกกำลังกาย

เกี่ยวกับการเข้าสังคม แซมและภรรยาของเขาชอบพบปะคนกลุ่มใหญ่มากกว่ากลุ่มเล็ก ทำไมหรือ เพราะกลุ่มใหญ่ แซมสามารถหลบซ่อน ไม่ปรากฏตัวและปกป้องความเป็นส่วนตัวที่เขาแสนจะหวงแหน แซมมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่ปรากฏในสมุดโทรศัพท์ และอาจอยู่ในชุมชนที่เป็นส่วนตัวมาก (นี่คือเหตุผลหลักที่คริสตจักรของเราทำประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคริสตจักรทางจดหมายในปีแรก มันเป็นวิธีเดียวที่จะติดต่อกับครอบครัวในพื้นที่ของเรา)

ลักษณะสำคัญอีกอย่างของแซมคือ เขาไม่ไว้ใจสิ่งที่เขาเรียกว่า ศาสนา "ที่เป็นแบบแผน" เขามักจะบอกว่า "ผมเชื่อในพระเยซู ผมเพียงแต่ไม่ชอบศาสนาที่เป็นแบบแผน" เรามักจะหยอกกลับว่า "แล้วคุณจะชอบคริสตจักรแซดเดิลเดิลแบ็ค เราเป็นศาสนาที่ไม่เป็นแปบบแผน"

เนื่องจากแซมเป็นคนภาคใต้ของแคลิฟอร์เนีย เขาชอบการประชุมที่ไม่เป็นทางการมากกว่าอะๆรที่เข้มงวดและเป็นระเบียบ เขาชอบแต่งตัวสบาย ๆ เหมาะกับอากาศแคลิฟอร์เนียใต้ เราพิจารณาสิ่งเหล่านี้เมื่อเราวางแผนการนมัสการเพื่อดึงดูดแซม ยกตัวอย่าง ผมไม่เคยใส่สูทผูกเน็คไทเวลาเทศนาในการนมัสการที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมจงใจแต่งตัวสบาย ๆ เพื่อให้เข้ากับความคิดของคนที่ผมพยายามเข้าถึง ผมทำตามกลยุทธ์ของอัครทูตเปาโล 1 โครินธ์ 9:20 "ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นพวกยิวเพื่อจะได้พวกยิว" ในกรณีผม ผมแน่ใจว่าเปาโลจะพูดว่า "ต่อคนแคลิฟอร์เนียใต่ข้าพเจ้าก็เป็นคนแคลิฟอร์เนียใต้ เพื่อจะได้คนแคลิฟอร์เนียใต้" ผมไม่คิดว่าพระเยซูจะถือเรื่องการแต่งกายเป็นเรื่องสำคัญ เราอยากให้คนไม่เชื่อพระเจ้าสวมรองเท้าผ้าใบและกางเกงขาสั้นมาคริสตจักร มากกว่าจะให้พวกเขาไม่มาเพราะไม่มีชุดสูท

แซดเดิลแบ็คยังใช้เวลาและเงินมากเกินตัว เขารูดบัตรเคดิตจนไม่เหลือเงินเลย เขาเป็นวัตถุนิยมมาก แต่ก็ยอมรับอย่างสัตย์ซื่อว่า ความมั่งคั่งของเขาไม่ได้นำความสุขถาวรมาให้

ทำไมเราต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้เพื่อบรรยายลักษณะคนที่เราพยายามจะประกาศด้วย ก็เพราะยิ่งเราเข้าใจคนหนึ่งมากเท่าใด เราก็ยิ่งสื่อสารกับเขาง่ายเท่านั้น

ถ้าคุณจะทำแฟ้มแบบฉบับบุคคลที่อาศัยในพื้นที่ของคุณ คุณจะบอกลักษณะอะไรบ้าง คุณจะเรียกชื่อเขาว่าอะไร มันคุ้มค่าที่จะคิดเรื่องนี้ เมื่อคุณได้กำหนดและตั้งชื่อกลุ่มเป้าหมายการประกาศของคริสตจักรคุณแล้ว โปรดส่งสำเนานั้นให้ผมด้วยงานอดิเรกของผม คือ รวบรวมแฟ้มแบบฉบับบุคคลเพื่อการประกาศของคริสตจักร ผมมีแฟ้มที่พูดถึง ดัลลัสดัก เมมฟิสไมค์ และแอตแลนต้าอัล

คุณคิดว่าช่างภาพถ่ายรูปโดยไม่ได้ปรับโฟกัสได้ไหม พรานล่ากวางที่ไหนจะยืนบนเขาและยิงสุ่มไปในหุบโดยไม่เล็งอะไรสักอย่าง ความพยายามในการประกาศจะเป็นแค่ความอยากเท่านั้น ถ้าเราไม่มีกลุ่มเป้าหมาย แน่นอน มันต้องใช้เวลาปรับโฟกัสและเล็งเป้า และมันก็คุ้มค่า ยิ่งเป้าหมายของคุณชัดเจนเท่าไร คุณก็มีโอกาสยิงถูกมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น