วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 10 รู้จักคนที่คุณสามารถประกาศได้ดีที่สุด

แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่าเราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว
ยอห์น 1:41

เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกายหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่น ๆ หลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์
มัทธิว 9:10

เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ใหม่อย่างคราว ๆ ก็จะเห็นว่า ข่าวประเสริฐแพร่กระจายโดยทางความสัมพันธ์เป็นหลัก ทันทีที่อันดรูว์ได้ยินถึงพระคริสต์ ท่านไปบอกซีโมนเปโตรพี่ชายของท่าน ฟิลิปติดต่อนาธานเอลเพื่อนของท่านทันที มัทธิวคนเก็บภาษีจัดเลี้ยงอาหารเพื่อประกาศกับคนเก็บภาษีอื่น ๆ ผู้หญิงที่บ่อน้ำบอกทุกคนในหมู่บ้านของเธอเกี่ยวกับพระคริสต์ และยังมีอีกมากมาย

ผมเชื่อว่า ยุทธวิธีประกาศข่าวประเสริฐที่ได้ผลที่สุดคือ พยายามประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่คุณมีบางสิ่งเหมือนกับเขาอยู่แล้ว หลังจากที่คุณค้นพบทุกกลุ่มที่อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณแล้ว คุณควรจะมุ่งเน้นที่กลุ่มไหนก่อน คำตอบคือ มุ่งเน้นกลุ่มที่เป็นไปได้มากที่สุดที่คุณจะนำเขามาเชื่อ

ดังที่เราได้คุยกันแล้วว่า ทุกคริสตจักรเหมาะกับการเข้าถึงคนบางกลุ่ม คริสตจักรของคุณอาจประกาศกับคนประเภทหนึ่งได้ง่ายกว่าคนอีกประเภทหนึ่ง และจะมีคนบางกลุ่มที่คริสตจักรคุณไม่มีวันจะประกาศได้ เพราะพวกเขาต้องการรูปแบบที่ต่างจากคริสตจักรคุณอย่างสิ้นเชิง

หลายปัจจัยทำให้คนต่อต้านการมาคริสตจักรของคุณ เช่น กำแพงทางศาสนศาสตร์ กำแพงทางความสัมพันธ์ กำแพงทางอารมณ์ กำแพงทางวิถีชีวิต กำแพงทางวัฒนธรรม แม้ว่ากำแพง 4 ประเภทแรกจะชัดเจนมาก แต่ในบทนี้ผมอยากจะเน้นที่กำแพงทางวัฒนธรรม คนที่คริสตจักรคุณน่าจะประกาศได้ดีที่สุด คือ คนที่เหมาะกับวัฒนธรรมของคริสตจักรคุณ

คนที่มาร่วมคริสตจักรอยู่แล้วคือใคร

คุณจะรู้จักวัฒนธรรมของคริสตจักรคุณได้อย่างไร ก็โดยถามตัวเองว่า "คนประเภทไหนที่มาคริสตจักรของเราอยู่แล้ว" นี่อาจทำให้ศิษยาภิบาลท้อใจ แต่มันเป็นความจริง ไม่ว่าคุณจะมีคนประเภทใด คนประเภทนั้นแหละที่คริสตจักรคุณมีโอกาสดึงดูดเข้ามาอีก คริสตจักรคุณมีโอกาสน้อยที่จะดึงดูดและรักษาคนที่แตกต่างมาก ๆ จากคนที่มาร่วมคริสตจักรของคุณอยู่แล้ว

เมื่อแขกเดินเข้ามาในคริสตจักร คำถามแรกที่พวกเขาถามไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับศาสนา แต่เกี่ยวกับวัฒนธรรม เมื่อเขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า พวกเขาก็กำลังถามโดยไม่รู้ตัวว่า "ที่นี่มีใครเหมือนฉันบ้างไหม" สามีภรรยาที่ปลดเกษียณแล้วจะมองหาว่ามีคนสูงอายุในห้องประชุมไหม ทหารจะมองหาคนที่ใส่เครื่องแบบหรือตัดผมทรงทหาร คู่สมรสใหม่ที่มีสามีภรรยาพาทารกหรือเด็ก ๆ มาหรือไม่ ถ้าแขกพบคนที่คล้ายพวกเขาในคริสตจักรคุณ พวกเขาก็มีโอกาสกลับมาอีกมากกว่า

คริสตจักรที่เต็มไปด้วยคนปลดเกษียณมีโอกาสมากแค่ไหนในการประกาศกับวัยรุ่น น้อยมาก แล้วคริสตจักรที่เต็มไปด้วยนายทหารมีโอกาสแค่ไหนในการประกาศกับผู้เรียกร้องสันติภาพ น้อยมาก หรือคริสตจักรที่สมาชิกส่วนมากเป็นคนงานโรงงานมีโอกาสมากแค่ไหนในที่จะประกาศกับผู้บริหาร มันก็เป็นไปได้ แต่ไม่มากเลย

แน่นอนในฐานะผู้เชื่อ เราต้องต้องการและต้อนรับคนทุกประเภท ยิ่งกว่านั้นเราต่างก็เหมือนกันในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ขอให้จดจำข้อเท็จจริงที่ว่า การที่คริสตจักรไม่ประสบความสำเร็จในการประกาศกับคนบางประเภทไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่เป็นการยอมรับความหลากหลายอันน่าอัศจรรย์ของมนุษย์ที่พระเจ้าให้อยู่ในโลกนี้

เรามีผู้นำแบบไหน

คำถามที่ 2 เพื่อจะค้นหาว่าคริสตจักรคุณจะประกาศกับใครได้ดีที่สุด คือ "ผู้นำของเรามีเบื้องหลังทางวัฒนธรรมและบุคลิกลัษณะอย่างไร" ลักษณะส่วนตัวของผู้นำทั้งที่รับเงินเดือนและที่เป็นสมาชิกมีผลกระทบต่อพันธกิจของคริสตจักรคุณอย่างมาก การวิจัยหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า เหตุผลอันดับแรกที่คนเลือกคริสตจักรคือพวกเขายอมรับศิษยาภิบาล แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ศิษยาภิบาลไม่ได้ดึงดูดคนที่มาครั้งแรก แต่ศิษยาภิบาลเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขากลับมา (หรือไม่กลับมา) เมื่อผู้มาใหม่ยอมรับศิษยาภิบาล โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาย่อมมีมากกว่า

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล คุณต้องถามตัวเองตรง ๆ ว่า "ผมเป็นคนแบบไหนเบื้องหลังทางวัฒนธรรมของผมเป็นอย่างไร คนประเภทที่ผมเข้ากับเขาได้ง่ายและประเภทไหนที่ผมเข้าใจยาก" คุณต้องวิเคราะห์อยงตรงไปตรงมาว่าคุณเป็นคนแบบไหน และคนประเภทใดที่คุณเข้ากับเขาได้ดีที่สุด

เมื่อผมเป็นนักศึกษา ผมเป็นผู้รับใช้ในฐานะศิษยาภิบาลชั่วคราวในคริสตจักรเล็ก ๆ ซึ่งมีแต่คนขับรถบรรทุกและช่างซ่อมรถ เนื่องจากผมไม่มีเบื้องหลังหรือความสามารถทางช่างเลย ผมจึงมีปัญหามากที่จะสนทนาอย่างเข้าใจกับสมาชิก แม้เขาสุภาพมากกับนักเทศน์หนุ่มคนนี้ แต่ผมไม่ใช่คนที่คริสตจักรต้องการเลย พวกเขาต้องการผู้นำที่เหมาะกับพวกเขา

แต่อีกด้านหนึ่ง ผมรู้สึกเป็นกันเองมากกับนักธุรกิจ ผู้จัดการ และพนักงาน ที่จริง ผมสังเกตว่า พวกเขาสนใจพันธกิจของผม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมกำหนด แต่พระเจ้าทรงสร้างผมมาเช่นนี้

ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า พระเจ้าทรงเรียกและสร้างเราแต่ละคนในลักษณะที่ต่างกันเพื่อจะประกาศกับคนประเภทต่าง ๆ คุณสามารถเข้าถึงคนที่ผมไม่มีวันเข้าถึงได้ และผมคงจะเข้าถึงบางคนที่คุณไม่มีวันเข้าถึงได้ นี่คือเหตุผลที่เราต้องการซึ่งกันและกันในพระกายของพระคริสต์

ถ้าพระเจ้าทรงเรียกคุณให้รับใช้ ความเป็นตัวคุณก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้นด้วย คุณไม่รับใช้โดยขัดกับตัวคุณเอง แต่รับใช้โดยบุคลิกที่พระเจ้าประทานแก่คุณพระเจ้าทรงสร้างคุณมาโดยมีวัตถุประสงค์ ถ้าพระเจ้าเรียกคุณให่เป็นศิษยาภิบาล นั่นก็หมายความว่า มีคนกลุ่มหนึ่งในโลกที่คุณสามารถเข้าถึงพวกเขาโดยที่ไม่มีคนอื่นทำได้

มีหลัการ 2 ประการที่ต้องจำไว้เมื่อคุณแสวงหาการทรงนำสำหรับพันธกิจของคุณ

คุณจะประกาศข่าวประเสริฐได้ดีที่สุดกับคนที่คุณเข้ากับเขาได้ คนที่คุณจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ คนที่คล้ายคุณมากที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณ ไม่สามารถเข้าถึงคนที่ไม่เหมือนคุณ แน่นอน คุณทำได้ เพียงแต่มันยากกว่า ศิษยาภิบาลบางคนเข้ากับคนที่มีการศึกษาสูงได้ดี แต่คนอื่นเข้ากับชาวบ้านธรรมดา ๆ ได้ดีกว่า คนทั้ง 2 กลุ่มต้องการพระคริสต์ คุณจะเป็นประโยชน์ที่สุดเมื่อคุณเข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้ดี แล้วคุณก็จะมีอิทธิพลต่อเขาโดยการเป็นตัวคุณเอง

ประการที่ 2 ในฐานะผู้นำ คุณจะดึงดูดคนที่เหมือนคุณ ไม่ใช่คนที่คุณต้องการเมื่อผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมอายุ 26 ปี ไม่ว่าผมพยายามมากแค่ไหน ผมไม่สามารถได้สักคนเดียวที่อายุมากกว่า 45 ปี สมาชิกไม่น้อยมีอายุใกล้เคียงกับผม เราไม่ได้เริ่มต้นเข้าถึงคนสูงอายุ จนกระทั่งผมเพิ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งที่มีอายุมากกว่าผม ตอนนี้ผมเข้าสู่วัยกลางคน ผมต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่อายุน้อยกว่าเพื่อเข้ากับกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่าผม

บางครั้งเนื่องจาก ศิษยาภิบาลต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้ดูว่าพวกเขาเป็นใคร ผมรู้จักศิษยาภิบาลที่มีอายุกว่า 50 ปีมีเบื้องหลังเป็นเกษตรกรที่ต้องการตั้งคริสตจักรที่ประกาศกับคนวัยยี่สิบตอนปลาย เพราะเขาไม่เห็นคริสตจักรอื่นทำ และมันดูน่าตื่นเต้น คริสตจักรนี้ล้มเหลวอย่างน่าเศร้า เขาปรับทุกข์ว่า "ผมไม่สามารถเข้ากับคนพวกเขานี้ได้"

มีข้อยกเว้นสำหรับหลักการทั้งสองนี้ ถ้าคุณได้รับสิ่งที่เรียกว่า "ของประทานการเป็นมิชชันนารี" การรับใช้ข้ามวัฒนธรรมต้องใช้ของประทานพิเศษ และเป็นความสามารถจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสื่อสารกับคนที่มีเบื้องหลังแตกต่างจากคุณอย่างมาก

อัครทูตเปาโลมีของประทานการเป็นมิชชันนารีอย่างแน่นอน ท่านได้รับการเลี้ยงดูที่ทำให้ท่าน "เป็นชาติฮีบรู" (ฟีลิปปี 3:5) แต่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ท่านตั้งคริสตจักรสำหรับคนต่างชาติ ผมรู้ว่าศิษยาภิบาลที่เกิดในภาคใต้ซึ่งพระเจ้าใช้ให้เกิดผลมากในเมืองทางเหนือ ศิษยาภิบาลที่มีของประทานเหล่านี้ถือเป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฏ

การเติบโตอย่างพุ่งทะยานนั้นเกิดขึ้นเมื่อคนในชุมชนคุณเป็นประเภทที่เหมาะกับสมาชิกของคุณ และคนทั้งสองกลุ่มก็เหมาะกับศิษยาภิบาลแบบเดียวกัน แต่ถ้าสมาชิกและศิษยาภิบาล เข้ากันไม่ได้ ก็จะมีแต่ปัญหาและไม่มีการเติบโต หลายครั้งความขัดแย้งในคริสตจักรเกิดขึ้นจากผู้นำที่ไม่เหมาะกับสมาชิก การมีผู้นำที่ไม่เหมาะกับคริสตจักรก็เหมือนการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ผิดขั้ว เดี๋ยวจะได้เห็นประกายไฟแน่

หลายครั้งผมเห็นศิษยาภิบาลที่ทำงานลำบากยากเย็นกับคนในชุมชนของเขาเพราะพวกเขาเข้ากันทางวัฒนธรรมไม่ได้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทุ่มเท แต่ปัญหาอยู่ที่เบื้องหลังชีวิต คนที่รักพระเจ้าแต่อยู่ผิดสถานที่จะเกิดผลเพียงปานกลางเท่านั้น

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สงสัยเลยว่า มีหลายภาคในประเทศของเราที่ผมจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในฐานะศิษยาภิบาล เพราะผมไม่เหมาะกับวัฒนธรรมที่นั่น พระเจ้าสร้างผมเพื่อรับใช้ในที่ที่ผมอยู่โดยเฉพาะ ชีวิตคนมากมายที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในคริสตจักรเราคือ เครื่องพิสูจน์

บางครั้ง สิ่งที่ฉลาดที่สุดที่ศิษยาภิบาลจะทำได้คือ ยอมรับว่าเขาไม่เหมาะกับคริสตจักรหรือชุมชนนั้น แล้วย้ายไปที่อื่น หลายปีก่อนคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ได้มีการเริ่มตั้งคริสตจักรใหม่ในเมืองใกล้ ๆ ที่ชื่อเออร์วิน รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนของผมย้ายจากแอตแลนต้าเพื่อเป็นศิษยาภิบาล เขาได้ตั้งคริสตจักรที่แอตแลนต้าซึ่งเติบโตขึ้นจนมีคนมานมัสการ 200 คน ดังนั้น ผมรู้ว่าเขามีของประทานที่จำเป็นสำหรับการตั้งคริสตจักร แต่หลังจากประมาณ 8 เดือน คริสตจักรใหม่ในเออร์วินก็ยังไปไม่ถึงไหน

ผมถามจอห์นว่า เขาคิดว่าปัญหาคืออะไร เขาบอกว่า "เห็นได้ชัดว่า ผมไม่เหมาะกับที่นี่ แถบเออร์วินนี้มีแต่ครอบครัววัยกลางคนที่ร่ำรวย และมีลูกเป็นวัยรุ่น"

ผมจึงถามเขาว่า "แล้วคุณคิดว่า คุณเข้าถึงคนประเภทไหนได้ดีที่สุด"

จอห์นตอบว่า "ผมคิดว่า ผมสามารถเข้าถึงครอบครัวหนุ่มสาวที่มีลูกก่อนวัยเรียน และคนโสดหนุ่มสาวซึ่งย้ายออกจากบ้านไปหาที่อยู่เองเป็นครั้งแรก ผมเข้าใจปัญหาของพวกเขา"

ผมบอกจอห์นว่า "งั้นเราต้องย้ายคุณไปแถบฮันติงตัน บีช" เราย้ายจอห์นไปฮันติงตัน บีช เพื่อเริ่มต้นคริสตจักรใหม่อีกครั้งหนึ่ง และภายในปีเดียวก็มีคนมาร่วมนมัสการกว่า 200 คน

ผมมีเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรอัฟริกัน-อเมริกัน (คนผิวดำ) ที่ลองบีช แคลิฟอร์เนีย วันหนึ่งเขามาหาผม เขาท้อใจมากที่คริสตจักรไม่เติบโต ไม่นานผมก็พบว่า เขาไม่เหมาะกับระดับการศึกษาของสมาชิกของเขา เขามีปริญญาสูง ๆ หลายใบ และมีคำศัพท์ที่ซับซ้อนมาก แต่คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรของเขาและชุมชนนั้นเรียนจบแค่มัธยมเท่านั้น วิธีการพูดของเขาทำให้คนไม่สนใจ หลักจากพบว่ามีชุมชนอัฟริกัน-อเมริกันที่ทำงานบริษัทอยู่ห่างออกไป 4 ไมล์ ผมจึงเสนอให้เขาลาออกจากคริสตจักรปัจจุบัน และเริ่มคริสตจักรใหม่ในอีกส่วนของลองบีช เขาทำอย่างนั้นและ 2 ปีต่อมา เขารายงานว่าคริสตจักรมีคนร่วมนมัสการกว่า 300 คนทุกสัปดาห์

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาลที่กำลังดิ้นรนกับพันธกิจที่ "ไม่เหมาะ" และคุณก็ไม่เหมาะกับแถบนั้น คุณรู้ดีว่า ผมกำลังพูดถึงคุณ คุณคงรู้สึกลึก ๆ เช่นนั้นมานานแล้วอย่ารู้สึกผิด มันไม่ใช่ความบาปที่คุณไม่เหมาะกับแถบนั้น แต่ให้ย้ายออกไป ถ้าพระเจ้าประทานของประทานแก่คุณและทรงเรียกคุณให้รับใช้ ก็ย่อมทีที่ใดที่หนึ่งซึ่งเหมาะกับคุณโดยเฉพาะ

แล้วถ้าคริสตจักรคุณ
ไม่เหมาะกับชุมชนล่ะ

ชุมชนมักจะเปลี่ยน แต่คริสตจักรไม่เปลี่ยน คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณกำลังรับใช้ในคริสตจักรที่ไม่เหมาะกับชุมชน

สร้างคริสตจักรบนจุดแข็งของคุณ

อย่าพยายามทำสิ่งที่ไม่ใช่คุณ ถ้าคริสตจักรคุณมีคนสูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ก็จงตัดสินใจทำพันธกิจกับคนสูงอายุให้มีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าพยายามเป็นคริสตจักรของคนวัย 30 ตอนปลาย เสริมสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วให้แข็งแกร่ง และอย่ากังวลในสิ่งที่คุณทำไม่ได้ ทำส่วนที่เป็นจุดแข็งต่อไป แต่ทำให้ดีขึ้น อาจมีคนกลุ่มหนึ่งในชุมชน ที่คริสตจักรคุณเท่านั้นจะสามารถเข้าถึงได้

วางรากคริสตจักรของคุณใหม่

การวางรากใหม่เกิดขึ้นเมื่อคุณจงใจเปลี่ยนลักษณะคริสตจักรของคุณเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ คุณทดแทนรายการ โครงสร้าง และรูปแบบการนมัสการเดิมทั้งหมดด้วยสิ่งใหม่

ผมอยากพูดให้ชัดเจนว่า ผมไม่แนะนำวิธีนี้ เพราะมันเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดและอาจต้องใช้เวลาหลายปี คนจะออกจากคริสตจักรเนื่องจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคุณนำกระบวนการนี้ สมาชิกเก่าแก่อาจตราหน้าคุณว่าเป็นซาตานมาเกิด เว้นแต่ว่าคุณอยู่ที่นั่นนานกว่าคนอื่น ผมเคยเห็นคนทำสิ่งนี้สำเร็จ แต่มันต้องอาศัยความอุตสาหะและความเต็มใจที่จะรับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ต้องอาศัยศิษยาภิบาลที่มีความรัก ความอดทน และของประทานที่จะนำคริสตจักรให้วางรากใหม่อีกครั้ง

ถ้าคริสตจักรมีคนมานมัสการเกินกว่า 100 คน คุณอย่าแม้แต่คิดถึงวิธีนี้เด็ดขาด เว้นแต่ว่าพระเจ้าตรัสให้คุณทำ มันเป็นเส้นทางสู่การพลีชีพ อย่างไรก็ตามถ้าคุณ อยู่ในคริสตจักรที่มี 50 คนหรือน้อยกว่านั้น นี่อาจเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับคุณ ข้อดีของคริสตจักรเล็ก คือ สามารถเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดโดยมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่จากไป และก็จะมีครอบครัวใหม่มาร่วม แต่ยิ่งคริสตจักรใหญ่มากเท่าไรโอกาสที่คุณจะทำเช่นนี้ได้ก็น้อยลงเท่านั้น

เริ่มต้นคริสตจักรใหม่

ทางเลือกที่ 3 นี้คือทางเลือกที่ผมอยากแนะนำ มีสองวิธีที่จะเริ่มต้นคริสตจักรใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในชุมชนของคุณ วิธีแรก คุณอาจเพิ่มการนมัสการอีกรอบหนึ่งที่มีรูปแบบการนมัสการแตกต่างจากเดิม เพื่อเข้าถึงคนกลุ่มที่รูปแบบการนมัสการในปัจจุบันเข้าไม่ถึง ทั่วอเมริกา มีคริสตจักรที่กำลังเริ่มต้นนมัสการรอบที่ 2 และ 3 เพื่อเพิ่มทางเลือก และพัฒนาการประกาศ

วิธีที่ 2 คือการเริ่มต้นภารกิจใหม่ ซึ่งคุณตั้งใจจะให้เป็นคริสตจักรที่เลี้ยงตนเอง การเริ่มต้นคริสตจักรใหม่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้มหาบัญชาสำเร็จ

คุณอาจจำสิ่งที่เรียนในวิชาชีววิทยาได้ว่า ลักษณะสำคัญของการเติบโตเต็มที่ทางชีวภาพคือ ความสามารถในการขยายพันธุ์ ผมเชื่อว่าคริสตจักรก็เป็นเช่นนั้น พระคัมภีร์เรียกคริสตจักรว่าเป็น "ร่างกาย" สิ่งที่แสดงว่าคริสตจักรเติบโตจริง ๆ คือ คริสตจักรมีทารก คือ ตั้งคริสตจักรอื่น ๆ

คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคริสตจักรใหญ่แล้วถึงจะตั้งคริสตจักรใหม่ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเริ่มต้นคริสตจักรลูกแห่งแรกเมื่ออายุเพียง 1 ปี ตั้งแต่นั้นมา ทุก ๆ ปีเราเริ่มต้นคริสตจักรใหม่อย่างน้อย 1 แห่ง พอครบ 15 ปี เราตั้งคริสตจักรได้ 25 แห่ง

รับรู้การตอบสนอง
ฝ่ายวิญญาณของชุมชนของคุณ

พระเยซูทรงสอนในคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิด (มัทธิว 13:3-23) ว่า การตอบสนองฝ่ายวิญญาณของผู้คนนั้นแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับดินที่มีหลายชนิด คนก็ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐแตกต่างกัน บางคนเปิดใจมาก และบางคนก็ใกล้มาก ในคำอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูทรงอธิบายว่า มีใจที่แข็งกระด่าง ใจที่ฉาบฉวย ใจที่วอกแวกและใจที่ยอมรับ

ถ้าเราจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการประกาศ เราต้องหว่านเมล็ดลงในดินดีดินที่จะเกิดผลร้อยเท่า ไม่มีชาวนาสติดีคนไหนจะทิ้งเมล็ดพันธุ์อันมีค่าไปกับดินที่ไม่มีธาตุอาหาร ทำนองเดียวกัน การประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่วางแผนหรือไม่ใส่ใจก็คือการเป็นผู้อารักขาที่ไม่ดี เรื่องราวของพระคริสต์นั้นสำคัญเกินกว่าที่จะเสียเวลา เงินทอง พลังงานกับวิธีการ และดินที่ไม่เกิดผล เราต้องมีกลยุทธ์ในการประกาศข่าวประเสริฐกับโลก มุ่งเน้นกำลังของเราในที่ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากที่สุด

แม้แต่ในกลุ่มเป้าหมายของคุณเองก็ยังมีความแตกต่างของการยอมรับ การยอมรับฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและหายไปเหมือนคลื่นในทะเล ในบางช่วงของชีวิต คนจะมีแนวโน้มที่จะเปิดต่อความจริงฝ่ายวิญญาณมากกว่าในช่วงเวลาอื่น พระเจ้าทรงใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อทำให้จิตใจอ่อนโยนและเตรียมคนให้รับความรอด

ใครคือคนที่ตอบสนองดีที่สุด ผมเชื่อว่า มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ คนที่อยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลง และคนที่อยู่ภายใต้ความกดดัน พระเจ้าทรงใช้ทั้งการเปลี่ยนแปลงและความเจ็บปวดเพื่อจับความสนใจของคน และทำให้เขายอมรับข่าวประเสริฐ

คนที่อยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลง

ทุกครั้งที่คนพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ดูเหมือนมันจะทำให้เขาโหยหาความมั่นคงฝ่ายวิญญาณ เวลาเช่นนี้คนจะสนใจเรื่องฝ้ายวิญญาณมาก เนื่องจาการเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกของเราทำให้คนรู้สึกกลัวและไม่มั่นคงนี่คือคลื่นที่คริสตจักรต้องเกาะไป

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราพบว่าคนจะตอบสนองต่อข่าวประเสริฐมากกว่าเมื่อพวกเขาพบการเปลี่ยนแปลง เช่น แต่งงาน มีลูกคนใหม่ มีบ้านใหม่ ได้งานใหม่ หรือเข้าโรงเรียนใหม่ นี่คือเหตุผลที่โดยทั่วไปคริสตจักรในชุมชนใหม่ ซึ่งมีคนย้ายเข้ามาตลอดเวลา จะเติบโตเร็วกว่าในชุมชนเก่าแก่ซึ่งตั้งมั่นคงมานาน 40 ปี

คนที่อยู่ภายใต้ความกดดัน

พระเจ้าทรงใช้ความเจ็บปวดทางอารมณ์ทุกประเภทเพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บปวดจาการหย่าร้าง คนที่รักเสียชีวิต การตกงาน ปัญหาการเงิน ปัญหาครอบครัว ความว้าเหว่ ความคับแค้นใจ ความรู้สึกผิด และความกดดันอื่น ๆ คนที่กลัวหรือกังวลมักจะมองหาสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และเติมเต็มความว่างเปล่าที่พวกเขารู้สึก

ผมไม่อ้างตนเป็นคนที่เข้าใจผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่จากการเป็นศิษยาภิบาลมา 15 ปี ผมเสนอรายการต่อไปนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่เปิดใจมากที่สุด 10 กลุ่มจากการประกาศที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค

1. แขกที่มาคริสตจักรเป็นครั้งที่ 2
2. เพื่อนสนิทและญาติของผู้เชื่อใหม่
3. คนที่กำลังจะหย่าร้าง
4. คนที่รู้สึกต้องการการบำบัด (จากการติดเหล้า ยาเสพติด เรื่องเพศหรืออื่น ๆ)
5. คนที่มีลูกคนแรก
6. คนที่ป่วยใกล้ตายและครอบครัวของเขา
7. คู่ครองที่มีปัญหาใหญ่ในครอบครัว
8. พ่อแม่ที่ลูกมีปัญหา
9. คนที่เพิ่งตกงานหรือมีปัญหาการเงินรุนแรง
10. คนที่ย้ายมาใหม่ในชุมชน

เป้าหมายที่เป็นไปได้สำหรับคริสตจักรของคุณอาจจะเป็นการมีรายการหรือการประกาศเฉพาะสำหรับคนแต่ละประเภทที่ตอบสนองดีในชุมชนของคุณ แน่นอนถ้าคุณเริ่มต้นทำสิ่งนี้ จะมีคนบอกว่า "อาจารย์ ผมคิดว่า ก่อนที่เราจะเริ่มประกาศกับคนใหม่เหล่านี้ เราควรจะพยายามติดตามสมาชิกเก่าที่หายหน้าไปเสียก่อน" นั่นเป็นกลยุทธ์ที่รับรองได้ว่าจะทำให้คริสตจักรถดถอย มันไม่ได้ผล การตามสมาชิกที่ไม่พอใจหรืออยู่ฝ่ายเนื้อหนังนั้น มันต้องใช้พลังงาน 5 เท่าเมื่อเทียบกับการนำคนไม่เชื่อที่ตอบสนองดี

ผมเชื่อว่าพระเจ้าเรียกศิษยาภิบาลให้จับปลาและเลี้ยงแกะ ไม่ใช่จับแพะเข้าคอก สมาชิกของคุณที่หายหน้าไปน่าจะไปร่วมคริสตจักรอื่นด้วยเหตุผลหลายประการ ถ้าคุณต้องการเติบโต ให้มุ่งเน้นที่การประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ตอบสนอง

เมื่อคุณรู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ ใครคือคนที่คุณน่าจะประกาศข่าวประเสริฐได้ดีที่สุด และใครเป็นคนที่ตอบสนองดีในกลุ่มเป้าหมายของคุณ คุณก็พร้อมสำหรับก้าวต่อไป นั่นคือ การกำหนดกลยุทธ์การประกาศข่าวประเสริฐสำหรับคริสตจักรของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น