วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

การโต้คลื่นฝ่ายวิญญาณ

เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้กวนทะเลและคลื่นก็คะนอง
อิสยาห์ 51:15

ภาคใต้ของแคลิฟอร์เนียมีชื่อเสียงเรื่องชายหาด เป็นภูมิภาคที่ทำให้เพลงของคณะ เดอะ บีชบอย ในภาพยนตร์ที่มีฉากงานปาตี้ชายหาด และการเล่นกระดานโต้คลื่นโด่งดังขึ้น แม้ว่าต่อมาการโต้คลื่นได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นสเก็ตบอร์ดสำหรับเด็กอเมริกันส่วนใหญ่ แต่การโต้คลื่นจริง ๆ ก็ยังมีแพร่หลายในภาคใต้ของแคลิฟอร์เนีย และยังมีโรงเรียนหลายแห่งสอนวิชาโต้คลื่นเป็นวิชาพลศึกษา

ถ้าคุณเรียนวิชาโต้คลื่น คุณจะได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการโต้คลื่นเช่น การเลือกอุปกรณ์ที่ถูกต้อง การใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง การรู้จักคลื่น "ที่โต้ได้" การเกาะคลื่น การโลดแล่นบนคลื่นให้นานที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือ การลงจากคลื่นหรือกระดานโดยไม่พลิกคว่ำ แต่คุณจะไม่มีวันพบวิชาที่สอน "วิธีการสร้างคลื่น"

การโต้คลื่นเป็นศิลปะของการโลดแล่นไปบนคลื่นที่พระเจ้าทรงสร้าง พระเจ้าทรงสร้างคลื่น นักโต้คลื่นเพียงแค่โลดแล่นไปบนนั้น ไม่มีนักโต้คลื่นที่พยายามสร้างคลื่นเอง ถ้าไม่มีคลื่น วันนั้นคุณก็ไม่ได้โต้คลื่น แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้านักโต้คลื่นเห็นคลื่นดี พวกเขาจะรีบฉวยโอกาสโต้คลื่นให้มากที่สุด แม้จะต้องโต้คลื่นกลางพายุก็ตาม

หนังสือและการสัมมนาจำนวนมากเกี่ยวกับการเพิ่มพูนคริสตจักรจัดอยู่ในประเภท "วิธีสร้างคลื่น" พวกเขาพยายามผลิตคลื่นแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าใช้เล่ห์เหลี่ยม รายการ หรือ เทคนิคการตลาดเพื่อทำให้เกิดการเติบโต แต่มนุษย์ไม่สามารถทำให้เกิดการเติบโตได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้คริสตจักรเติบโตได้ พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถระบายลมหายใจเข้าสู่หว่างเขากระดูกแห้ง และพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสร้างคลื่นได้ นั่นเป็นคลื่นแห่งการฟื้นฟู คลื่นแห่งการเติบโต และคลื่นแห่งการเปิดรับฝ่ายวิญญาณ

เปาโลชี้ให้เห็นเรื่องคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ว่า "ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต" (1 โครินธ์ 3:6) สังเกตการร่วมงานกันของเปาโลและอปอลโลที่ต่างทำส่วนของพวกเขา แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต น่าเสียดายที่อำนาจสิทธิขาดของพระเจ้าเป็นปัจจัยที่ถูกมองข้ามในงานเขียน หรือ ในแนวคิดที่เกี่ยวกับการเพิ่มพูนคริสตจักร ซึ่งปรากฏอยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบันนี้

หน้าที่ของเราในฐานะผู้นำคริสตจักรก็เหมือนนักโต้คลื่นที่มีประสบการณ์คือ การรู้จักสังเกตคลื่นของพระวิญญาณและโลดแล่นไปบนนั้น แต่การ สร้างคลื่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรา คือ การสังเกตดูว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรในโลกนี้และร่วมงานกับพระองค์ในสิ่งนั้น

เวลามองนักโต้คลื่นจากชายฝั่ง เราอาจรู้สึกว่าการโต้คลื่นนั้นง่ายดายมากแต่ในความจริง มันยาก ต้องอาศัยความชำนาญและความสมดุลอย่างมาก การเกาะคลื่นฝ่ายวิญญาณแห่งการเติบโตก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน มันต้องอาศัยมากกว่าความปราถนา หรือ การทุ่มเท มันต้องอาศัยความเข้าใจ ความอดทน ความเชื่อ ทักษะ และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ความสมดุล เช่นเดียวกับการโต้คลื่น การเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่เติบโตนั้นอาจดูง่ายดายสำหรับคนที่อยู่ภายนอก หากแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นมันต้องอาศัยความช่ำชองในทักษะบางอย่าง

ทุกวันนี้ พระเจ้าสร้างคลื่นลูกแล้วลูกเล่า คือ ผู้คนเปิดใจต่อข่าวประเสริฐเนื่องจากปัญหามากมายในโลกของเรา ทำให้ผู้คนดูเหมือนจะเปิดต่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์มากยิ่งกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในศตวรรษนี้ น่าเสียดายที่คริสตจักรของเราไม่เรียนรู้ทักษะที่จำเป็น เราพลาดลูกคลื่นฝ่ายวิญญาณลูกแล้วลูกเล่า ซึ่งสามารถนำการฟื้นฟู ความเข้มแข็ง และการเติบโตครั้งใหญ่มาสู่คริสตจักรของเรา

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราไม่เคยพยายามสร้างคลื่น นั่นเป็นงานของพระเจ้า แต่เรา ได้ พยายามสังเกตคลื่นที่พระเจ้าส่งมาหาเรา และเราได้เรียนรู้การเกาะลูกคลื่นเหล่านั้น เราได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมในการโลดแล่นบนคลื่นนั้นและเราได้เรียนรู้ความสำคัญของความสมดุล อีกทั้งยังเรียนรู้วิธีการลงจากลูกคลื่นที่อ่อนแรง เมื่อเราสัมผัสได้ว่าพระเจ้าต้องการทำสิ่งใหม่ สิ่งที่อัศจรรย์ คือ ยิ่งเราชำนาญในการโลดแล่นบนคลื่นแห่งการเติบโตมากเท่าใด พระเจ้าก็ทรงส่งคลื่นมามากเท่านั้น

ในความเห็นของผม เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของคริสตจักร คริสตจักรของเรามีโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว เรามีเทคโนโลยียอดเยี่ยม ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เวลานี้เรากำลังพบเห็นการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณของพระเจ้าในหลายส่วนของโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มีคนมาหาพระคริสต์ในเวลานี้มากกว่าเวลาใดในประวัติศาสตร์

ผมเชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งคลื่นแห่งการเติบโตของคริสตจักรไปยังที่ใดก็ตามที่คนของพระองค์พร้อมจะใช้คลื่นนั้น บรรดาคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริสเตียนก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ คริสตจักรเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในอเมริกา แม้ว่าเรื่องของคริสตจักรเหล่านี้ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ผมเชื่อว่า คริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังไม่เกิดขึ้น และคุณอาจจะเป็นคนนั้นเองที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ให้สร้างคริสตจักรนั้น

พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในคลื่นต่าง ๆ ทั่วโลก คำอธิษฐานของผมเมื่อเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันคือ "พระบิดา ข้าพระองค์รู้ว่า วันนี้พระองค์จะทรงทำสิ่งที่เหลือเชื่อบางอย่างในโลกของพระองค์ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าไปมีส่วนในบางสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำด้วย" หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือผู้นำคริสตจักรควรเลิกอธิษฐานว่า "พระเจ้า ขอทรงอวยพระพรสิ่งที่เรากำลังทำอยู่" และให้เราเริ่มต้นอธิษฐานว่า "พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ทำสิ่งที่พระองค์ทรงอวยพระพร"

ในหนังสือเล่มนี้ ผมบอกหลักการและขั้นตอนบางอย่างที่พระเจ้าทรงใช้ในการนำคนยุคนี้มาถึงพระคริสต์ ผมไม่สอนให้คุณสร้างคลื่นของพระวิญญาณ มันทำไม่ได้ แต่ผม สามารถ สอนคุณให้สังเกตเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ สอนให้รู้วิธีร่วมมือกับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และให้มีทักษะความชำนาญมากขึ้นในการโลดแล่นไปบนคลื่นแห่งพระพรของพระเจ้า

ปัญหาของคริสตจักรจำนวนมาก คือ พวกเขาเริ่มต้นด้วยคำถามที่ผิด พวกเขาถามว่า "อะไรจะทำให้คริสตจักรของเราเติบโต" นี่คือการเข้าใจประเด็นผิดไป มันเหมือนกับการพูดว่า "เราจะสร้างคลื่นได้อย่างไร" แต่คำถามที่เราควรจะต้องถามก็คือ "อะไรทำให้คริสตจักรไม่เติบโต" อะไรเป็น อุปสรรคขัดขวาง คลื่นที่พระเจ้าต้องการส่งมาหาเรา อะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เกิดการเติบโต

สิ่งมีชีวิตทุกอย่างเติบโตตามธรรมชาติอยู่แล้ว คุณไม่ต้อง ทำให้ มันเติบโตเพราะการเติบโตเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตถ้ามันแข็งแรงดี ยกตัวอย่าง ผมไม่ต้องสั่งให้ลูกสามคนของผมเติบโตทพวกเขาโตเอง ตราบใดที่ผมเอาอุปสรรคขัดขวางออกไป เช่น อาหารที่ไม่มีสารอาหารเพียงพอ หรือ สิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย การเติบโตของพวกเขาก็ย่อมจะเกิดขึ้นเอง หากลูกของผมไม่เติบโต ก็ต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติอย่างมาก การไม่เติบโตมักจะชี้ถึงสภาพที่ไม่แข็งแรง อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ

ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากคริสตจักรมีชีวิต คริสตจักรก็ย่อมเติบโตเองตามธรรมชาติ ถ้าคริสตจักรแข็งแรงดี คริสตจักรเป็นร่างกาย ไม่ใช่ธุรกิจ เป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่องค์กร คริสตจักรมีชีวิต ถ้าคริสตจักรไม่เติบโต คริสตจักรกำลังจะตาย

เมื่อร่างกายของมุนษย์ไม่สมดุล เราเรียกอาการนั้นว่า เป็นโรค เช่นเดียวกันเมื่อพระกายของพระคริสต์ไม่สมดุล ก็หมายความว่าเป็นโรค โรคหลายชนิดมีบรรยายไว้ในจดหมายถึงคริสตจักรทั้ง 7 ในพระธรรมวิวรณ์ สุขภาพที่แข็งแรงจะกลับคืนมาก็ต่อเมื่อทุกสิ่งกลับสู่ความสมดุล

หน้าที่ของผู้นำคริสตจักร คือ การตรวจหาและขจัดโรคภัยและอุปสรรคที่จำกัดการเจริญเติบโตเพื่อให้เกิดการเติบโตตามปกติและเป็นธรรมชาติ เมื่อ 70 ปี ก่อน โรแลนด์ อัลเลนเรียกการเติบโตเช่นนี้ในหนังสืออมตะของท่านว่า "การขยายตัวตามธรรมชาติ ของคริสตจักร" นี่เป็นการเติบโตที่กล่าวถึงในพระธรรมกิจการ ส่วนคริสตจักรของคุณเติบโตตามธรรมชาติหรือไม่ ถ้าไม่มีการเติบโตแบบนี้ในคริสตจักรเราก็ต้องถามว่า "ทำไม"

ผมเชื่อว่า ประเด็นสำคัญของคริสตจักรในศตวรรษที่ 21 คือ สุขภาพของคริสตจักร ไม่ใช่การเติบโตของคริสตจักร นี่คือเนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้ การจดจ่อที่การเติบโตอย่างเดียว คือ การหลงประเด็น เมื่อคริสตจักรมีสุขภาพแข็งแรงคริสตจักรก็จะเติบโตอย่างที่พระเจ้าต้องการ คริสตจักรที่แข็งแรงไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อทำให้เติบโต แต่พวกเขาเติบโตตามธรรมชาติ

เปาโลอธิบายเช่นนี้ "ศีรษะ (พระคริสต์) นั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยง และติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่าง ๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น" (โคโลสี 2:19) สังเกตว่าพระเจ้า ต้องการ ให้คริสตจักรของพระองค์เติบโต ถ้าคริสตจักรของคุณมีสุขภาพดีจริง คุณก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการเติบโต

ยี่สิบปีแห่งการเฝ้าดู

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผมศึกษาการเติบโตของคริสตจักรทุกขนาด โดยการเดินทางเยี่ยมคริสตจักรนับร้อย ๆ แห่งทั่วโลก ทั้งในฐานะอาจารย์สอนพระคัมภีร์ ผู้ประกาศ และภายหลังในฐานะผู้ฝึกฝนศิษยาภิบาล ในคริสตจักรแต่ละแห่ง ผมจะบันทึกว่าทำไมบางแห่งจึงแข็งแรงและเติบโต ทำไมบางแห่งจึงอ่อนแอและไม่เติบโตหรือกำลังจะตาย ผมได้คุยกับศิษยาภิบาลนับพัน ๆ คน และสัมภาษณ์ผู้นำคริสตจักร ศาสนาจารย์ และผู้นำคณะนับร้อย ๆ คนถึงสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในคริสตจักร หลายปีก่อนผมเขียนจดหมายถึงคริสตจักรที่ใหญที่สุด 100 แห่งในอเมริกา ใช้เวลา 1 ปีศึกษาค้นคว้าการรับใช้ของพวกเขา ผมอ่านหนังสือเกือบทุกเล่มเรื่องการเพิ่มพูนคริสตจักร

และผมได้ใช้เวลามากกว่านั้นอีกในการอ่านพระคัมภีร์ใหม่ ผมอ่านครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย "สายตาแห่งการเพิ่มพูนศริสตจักร" ผมค้นหาหลักการ รูปแบบ และขั้นตอน พระคัมภีร์ใหม่ คือ หนังสือเพิ่มพูนคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีมา เพราะในส่วนที่สำคัญจริง ๆ นั้น เราไม่สามารถปรับปรุงให้ดีกว่าในพระคัมภีร์ได้ พระคัมภีร์ใหม่เป็นคู่มือสำหรับคริสตจักร ซึ่งเขียนขึ้นโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าของคริสตจักร

ผมชอบอ่านประวัติศาสตร์คริสตจักร ผมรู้สึกขำเพราะแนวคิดหลายอย่างที่เวลานี้เราเรียกว่า "สิ่งใหม่" หรือ "ร่วมสมัย" แท้จริงมันไม่ได้เป็นสิ่งใหม่เลย หากคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ คุณก็จะดูทุกสิ่งเป็นของใหม่ วิธีการหลายอย่างที่เราติดยี่ห่อว่า "การเปลี่ยนแปลง" ก็ได้มีคนเคยใช้มาแล้วในอดีต แต่ต่างกันที่รูปแบบเพียงเล็กน้อย บางวิธีก็ใช้ได้และบางวิธีก็ใช้ไม่ได้ เป็นความจริงที่รู้กันดีว่า ถ้าเราไม่รู้บทเรียนจากอดีต เราก็มักจะลงเอยด้วยการทำผิดพลาดอย่างเดียวกับที่คนอื่นได้ทำไว้ก่อนแล้ว

อย่างไรก็ตาม แหล่งที่ผมเรียนรู้มากที่สุด คือ การเฝ้ามองดูสิ่งที่พระเจ้ากระทำในคริสตจักรที่ผมเป็นศิษยาภิบาล สิ่งนี้ให้ความรู้แก่ผมอย่างที่ไม่มีหนังสือเล่มใด หรือสัมมนาใด หรือ ศาสนาจารย์ท่านใดที่จะให้ผมได้ ผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ คอมมิวนิตี้ ในเมืองออแรนจ์ เคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1980 และใช้เวลานาน 15 ปีในการทดสอบ ใช้ ปละปรับปรุงหลัการ ขั้นตอนและการปฏิบัติที่กล่าวในหนังสือเล่มนี้ เราทำการทดลองเหมือนศูนย์วิจัยและพัฒนา โดยใช้สารพัดวิธีในการนำคนมาหาพระเจ้า สั่งสอน ฝึกฝน และส่งคนของพระเจ้าออกไป แซดเดิลแบ็คทำหน้าที่เหมือนห้องทดลองทุกสิ่งที่เขียนในหนังสือเล่มนี้ ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจมากและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำให้ผมถ่อมใจลงเสมอเมื่อพระองค์ทรงใช้คนธรรมดาอย่างไม่ธรรมดา

ผมรอคอย 20 ปีจึงได้เขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าผมไม่ต้องการเขียนก่อนที่มันจะสุกงอม หากแต่ปล่อยให้แนวคิดได้รับการกลั่นกรอง พัฒนา และเจริญอย่างเต็มที่ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้พูดถึงทฤษฎีใด ๆ เราไม่ต้องการทฤษฎีใหม่ในการเพิ่มพูนคริสตจักรอีกแล้ว สิ่งที่เราต้องการ คือ คำตอบสำหรับปัญหาที่แท้จริง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในสถานการณ์จริงของคริสตจักร

หลักการในหนังสือนี้มีการทดลองใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เพียงในคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเท่านั้น แต่ในคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์หลายแห่ง ซึ่งมีทุกขนาด ทุกสภาพ ทุกทำเล และทุกคณะ แม้ตัวอย่างส่วนมากจะมาจากแซดเดิลแบ็ค นั่นก็เพียงเพราะว่า ผมคุ้นเคยกับคริสตจักรแห่งนี้มากที่สุด ดูเหมือนว่า ทุกวันผมจะได้รับจดหมายจากบรรดาคริสตจักรที่ได้รับแนวความคิดแบบคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ และสามารถโลดแล่นบนคลื่นแห่งการเติบโตซึ่งพระเจ้าส่งมาทางพวกเขา

แด่ศิษยาภิบาลด้วยความรัก

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับใครก็ได้ที่ต้องการช่วยคริสตจักรของเขาเองให้เติบโต แต่เนื่องจากผมเป็นศิษยาภิบาล แน่นอนที่แนวการเขียนของผมเป็นลักษณะการถ่ายทอดจากมุมมองของศิษยาภิบาลคนหนึ่งให้ศิษยาภิบาลอีกคนหนึ่ง คุณทวดของผมกลับใจใหม่จากการเทศนาของชาร์ลส์ สเปอร์เจียนในกรุงลอนดอน และเดินทางมาสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นศิษยาภิบาลที่ขี่ม้าตระเวนเทศนา

ทั้งพ่อและพ่อตาของผมเป็นศิษยาภิบาล ท่านทั้งสองเพิ่งจะฉลองครบ 50 ปีของการรับใช้ พี่สาวของผมก็แต่งงานกับศิษยาภิบาล ผมใช้ชีวิตวัยเด็กช่วงหนึ่งในวิทยาลัยพระคริสตธรรมที่พ่อของผมทำงานอยู่ ผมจึงมีความรักต่อศิษยาภิบาลอย่างมาก ผมชอบอยู่ใกล้พวกเขา ผมเจ็บปวดเมื่อพวกเขาเจ็บปวด ผมเชื่อว่า พวกเขาเป็นผู้นำที่ถูกประเมินค่าต่ำเกินไปในสังคมของเรา

คนที่ผมยกย่องที่สุด คือ ศิษยาภิบาลนับพันที่ ทำงานสองอาชีพ เลี้ยงดูตัวเอง เพื่อจะสามารถดูแลคริสตจักรซึ่งเล็กเกินกว่าจะให้เงินเดือนเต็มเวลาได้ สำหรับผมแล้ว พวกเขาเป็นวีรบุรุษแห่งความเชื่อ พวกเขาจะได้รับเกียรติอย่างมากในสวรรค์เนื่องจากผมมีโอกาสพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนและรับประสบการณ์ที่พวกเขาไม่มี ผมจึงรู้สึกว่า ผมจำเป็นต้องแบ่งปันสิ่งที่ผมเรียนรู้แก่พวกเขาในหนังสือเล่มนี้

ผมยังเชื่อว่า ศิษยาภิบาลก็คือ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในการจัดการกับปัญหาสังคมของเรา แม้แต่นักการเมืองหลายคนก็สรุปว่า การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณเป็นทางเดียวในการแก้ปัญหาของเรา ไม่นานมานี้ ผมอ่านคำพูดของอดีตรัฐมนตรี วิลเลี่ยม เบ็นเน็ท ในนิตยสาร อเมริกันเอนเตอร์ไพรซ์ ว่า "ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดในสังคมของเราในเวลานี้ก็คือ ปัญหาด้านศีลธรรม ความประพฤติ และจิตวิญญาณ ดังนั้น มันจึงต่อต้านการแก้ปัญหาของรัฐอย่างเห็นได้ชัด" ขณะที่นักการเมืองกล่าวว่า เราต้องการการแก้ไข ฝ่ายวิญญาณ แต่คริสเตียนจำนวนมากกลับทำเหมือนกับว่าการเมืองเป็นคำตอบ ไม่ต้องสงสัยว่า ขณะที่ความเสื่อมทางศีลธรรมในสังคมของเรากำลังก่อให้เกิดสนามรบ แต่มันก็สร้างสนามประกาศแก่เราด้วย เราต้องระลึกเสมอว่าพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคนเหล่านั้นที่อยู่อีกฝ่ายในสงครามทางวัฒนธรรมด้วย

นับเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ และเป็นความรับผิดชอบอย่างสูงในฐานะเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรท้องถิ่น ถ้าผมไม่เชื่อว่าศิษยาภิบาล คือ คนที่มีโอกาสมากที่สุดในการทำให้โลกนี้ดีขึ้น ผมก็คงไปทำอย่างอื่นแล้ว เพราะผมไม่ต้องการที่จะเสียเวลา ปัจจุบันนี้งานของศิษยาภิบาลซับซ้อนยิ่งกว่าสมัยคนรุ่นก่อนถึง 100 เท่า แม้แต่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด การรับใช้ในฐานะศิษยาภิบาลก็ยังยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมีแหล่งความช่วยเหลือมากมายที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งเหล่านี้ได้ กุญแจสำคัญ คือ อย่าหยุดเรียนรู้

ถ้าคุณเป็นศิษยาภิบาล คำอธิษฐานของผม คือ ให้หนังสือเล่มนี้หนุนใจคุณ ผมหวังว่ามันจะให้ความรู้ และ แรงบันดารใจ หนังสือที่ช่วยผมมากที่สุดก็คือ หนังสือที่ผสมผสานข้อเท็จจริงเข้ากับไฟ ความต้องการของผม คือ คุณจะไม่เพียงเข้าใจในหลักการที่ผมแบ่งปัน แต่ยังจะได้รับความร้อนรนที่ผมมีต่อพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรของพระองค์ด้วย

ผมรักคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ด้วยสุดใจของผม แม้จะมีความผิดพลาดในคริสตจักร (เนื่องจากความบาป ของเรา) แต่คริสตจักรก็ยังเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่มีมา คริสตจักรเป็นเครื่องมือแห่งพระพรที่พระเจ้าทรงเลือกตลอด 2,000 กว่าปี คริสตจักรรอดพ้นจาการทำร้ายอย่างต่อเนื่อง การข่มเหงที่น่ากลัว รวมทั้งการละเลย องค์การและกลุ่มคริสเตียนอื่น ๆ เกิดขึ้นและผ่านพ้นไป หากแต่คริสตจักรจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ คริสตจักรมีค่าพอที่เราจะให้ชีวิต และควรจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเราด้วย

ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว

เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมแน่ใจว่า คุณจะพบกับแนวความคิดบางอย่าง และจะคิดว่า ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว ผมก็หวังว่า คุณเคย หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยหลีกการหลายอย่างที่ได้สอนในสัมมนาคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งผมได้สอนศิษยาภิบาลกว่า 22,000 คนในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งผู้นำคริสเตียนจาก 42 ประเทศและ 60 คณะได้สั่งเทปของการสัมมนานั้น ดังนั้น ความคิดบางอย่างจึงมารู้จักกันดีในเวลานี้

บนหิ้งหนังสือของผมมีหนังสือกว่า 20 เล่มที่เขียนโดยคนที่ผมสอน ซึ่งได้นำความคิดของผมไปพิมพ์ก่อนผม นั่นไม่เป็นไร เราต่างก็อยู่ฝ่ายเดียวกัน ตราบใดที่ศิษยาภิบาลได้รับความช่วยเหลือ ผมก็พอใจ เหตุผลหนึ่งที่ผมคอย 20 ปีก่อนเขียนหนังสือเล่มนี้ก็เพราะผมยุ่งอยู่กับการช่วยศิษยาภิบาล

มีวิทยานิพนธ์กว่า 100 ชิ้นเขียนถึงการเติบโตของแซดเดิลแบ็ค เราได้รับการผ่าตัด ไต่สวน วิเคราะห์ และสรุปโดยมันสมองที่เหนือกว่าผม คุณอาจะถามว่า "ยังมีหนังสือไม่พออีกหรือ ทำไมต้องมี อีก เล่มหนึ่งด้วย" สิ่งที่ผมหวังว่าจะให้แก่คุณในหนังสือเล่มนี้มคือ มุมมองจากคนภายใน สิ่งที่คนภายนอกสังเกตเกี่ยวกับการเติบโตของคริสตจักรแทบจะไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุแท้จริงของการเติบโต

คุณคงเคยได้ยินว่า "คนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์" แต่คนที่ฉลาดกว่า คือ คนที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น มันเจ็บปวดน้อยกว่าด้วย ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าจะเรียนทุกอย่างด้วยตัวเอง คุณสามารถประหยัดเวลาและพลังงานได้มากมายโดยการรวบรวมจากบทเรียนที่คนอื่นเรียนมาด้วยความลำบาก นั่นคือจุดมุ่งหมายของหนังสือเช่นหนังสือเล่มนี้ ถ้าผมสามารถช่วยให้คุณไม่ต้องพบความเจ็บปวดที่เราเผชิญขณะที่เราเรียนหลักการเหล่านีเโดยการลองผิดลองถูก ผมก็พอใจ

เมื่อนักโต้คลื่นโดนคลื่นซัดจนหงายท้องเพราะเขาไม่ได้แล่นบนคลื่นอย่างถูกต้อง แต่เขาก็ยังไม่เลิกโต้คลื่น เขาว่ายกลับไปในมหาสมุทรเพื่อคอยคลื่นใหญ่ลูกต่อไปที่พระเจ้าทรงส่งเข้ามา สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นจากนักโต้คลื่นที่ประสบความสำเร็จ คือ พวกเขายืนหยัด

คุณอาจมีประสบการณ์ "โดนคลื่นซัดหงายท้อง" ในการรับใช้ของคุณ และแน่นอน ผมเองก็มี คุณอาจพลาดคลื่นบางลูก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรเลิก มหาสมุทรไม่ได้เหือดแห้ง ตรงกันข้าม เวลานี้พระเจ้ากำลังสร้างคลื่นที่ดีที่สุดในโลกที่ผมเคยเห็น มันเป็นความหวังของผม ในฐานะเพื่อนนักโต้คลื่น ที่จะได้แบ่งปันคำแนะนำบางอย่างในการโลดแล่นไปบนสิ่งที่พระเจ้ากำลังกระทำในโลกของพระองค์มาโต้คลื่นฝ่ายวิญญาณกันเถอะครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2565 เวลา 16:39

    Borgata Hotel Casino & Spa - JTR Hub
    Located https://febcasino.com/review/merit-casino/ in Atlantic City, kadangpintar Borgata Hotel Casino https://access777.com/ & Spa offers the finest in amenities and entertainment. It also provides a seasonal www.jtmhub.com outdoor casino-roll.com swimming

    ตอบลบ