วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 1 เรื่องราวของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค

คนชั่วอายุหนึ่งจะสรรเสริญพระราชกิจของพระองค์
ให้คนอีกชั่วอายุหนึ่งฟัง และประกาศกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์
สดุดี 145:4

"พระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง พระองค์ผู้ทรงปิติยินดีในสวัสดิภาพของผู้รับใช้ของพระองค์"
สดุดี 35:27

ในเดือนพฤศจิกายน 1973 ผมและเพื่อนพากันโดดเรียนและขับรถ 350 ไมล์เพื่อไปฟัง ดร. ดับเบิลยู. เอ. คริสเวลล์ เทศนาที่โรงแรม แจ็ค ทาร์ ในเมืองซานฟรานซิสโก อาจารย์คริสเวลล์เป็นศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงของคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ คริสตจักรแบ๊บติสต์ที่หนึ่งแห่งเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส สำหรับผมในฐานะคนหนุ่มคณะเซาเธิร์น แบ๊บติสต์ การมีโอกาสฟังอาจารย์คริสเวลล์ด้วยตัวเองก็เหมือนกับชาวคาธอลิกได้ฟังสันตะปาปา ผมตั้งใจจะฟังจากตำนานที่มีชีวิตคนนี้

ผมสัมผัสถึงการทรงเรียกของพระเจ้าให้รับใช้พระองค์เมื่อ 3 ปีก่อนหน้านั้น ผมเริ่มต้นเทศนาในฐานะผู้ประกาศเมื่อยังเรียนชั้นมัธยมปลาย แม้ว่าผมมีอายุเพียง 19 ปี ผมก็ได้เทศนาในการประชุมฟื้นฟูในคริสตจักรประมาณ 50 แห่ง ผมไม่สงสัยเลยว่า พระเจ้าทรงเรียกผมให้รับใช้ แต่ผมไม่แน่ใจว่า พระเจ้าต้องการให้ผมเป็นศิษยาภิบาล

ผมเชื่อว่าดับเบิลยู. เอ. คริสเวลล์ เป็นศิษยาภิบาลชาวอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศควรรษที่ 20 ท่านเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรแบ๊บติสต์ที่หนึ่งเป็นเวลา 50 ปี เขียนหนังสือ 53 เล่ม และสร้างรูปแบบคริสตจักรที่มีคนเลียนแบบมากที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่เพียงท่านจะเป็นนักเทศน์และผู้นำที่มีพลังเท่านั้น ท่านยังเป็นอัจฉริยะในการบริหารด้วย เมื่อคิดถึงคริสเวลล์คนส่วนใหญ่คิดถึงประเพณี แต่ที่จริง การรับใช้ของท่านั้นมีแนวคิดใหม่ ๆ ชนิดไม่น่าเชื่อ แต่มันกลายเป็นประเพณีหลังจากที่ทุกคนเลียนแบบท่าน

เรามักจะได้ยินถึงศิษยาภิบาลที่โด่งดังเป็นดาวจรัสแสงอยู่ไม่กี่ปีแล้วก็ดับวูบไป มันง่ายที่จะเริ่มต้นอย่างน่าประทับใจ แต่การรับใช้ของคริสเวลล์นั้นอยู่นานถึงครึ่งศตวรรษในคริสตจักร เดียว ทั้งที่ไม่ใช่งานหวือหวา แต่เป็นงานที่ยืนหยัดผ่านการทดสอบด้วยกาลเวลา สำหรับผม นี่เป็นความสำคัญที่แท้จริง คือ การรักและนำอย่างต่อเนื่องและจบลงอย่างดี การรับใช้เป็นการแข่งมาราธอน สิ่งสำคัญไม่ใช่คุณเริ่มต้นอย่างไรแต่สำคัญที่คุณจบอย่างไร ในตอนท้ายคุณเป็นอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความรักไม่มีวันสูญสิ้น" (1 โครินธ์ 13:8) ถ้าคุณรับใช้ด้วยความรัก ก็ไม่มีใครสามารถบอกว่าคุณล้มเหลวได้

ผมได้ฟังคนของพระเจ้าคนนี้เทศนา พระเจ้าตรัสกับผมเป็นส่วนตัว และบอกอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเรียกผมให้เป็นศิษยาภิบาล ผมสัญญากับพระเจ้าที่นั่นและเดี๋ยวนั้นว่า ผมจะให้ชีวิตทั้งหมดของผมในการเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งเดียวถ้านั่นเป็นน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับผม

หลังจากการนมัสการ ผมและเพื่อนยืนเข้าแถวเพื่อจับมือกับ ดร. คริสเวลล์ เมื่อท่านเดินมาถึงผมก็มีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น คริสเวลล์มองผมด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรักเมตตา และกล่าวอย่างหนักแน่นว่า "พ่อหนุ่ม ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงนำให้ผมวางมือบนศีรษะคุณและอธิษฐานเผื่อคุณ" ท่านวางมือบนศีรษะผมทันทีและอธิษฐานในสิ่งที่ผมไม่มีวันลืม "พระบิดา ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณเป็นสองเท่าของคริสตจักรดัลลัส โปรดอวยพระพรเขาอย่างใหญ่หลวง โอ พระเจ้า"

เมื่อผมเดินออกไปด้วยน้ำน้ำตา ผมถามแดนนี่เพื่อนของผมว่า "ท่านอธิษฐานสิ่งที่ผมคิดว่าท่านอธิษฐานจริง ๆ เหรอนี่" แดนนี่บอกว่า "แน่นอน" เขาเองก็น้ำตาไหลด้วย ผมไม่มีทางคิดว่าพระเจ้าจะสามารถใช้ผมเหมือนที่ ดร. คริสเวลล์อธิษฐาน แต่ประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นยืนยันในใจผมว่า พระเจ้าทรงเรียกผมให้เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรท้องถิ่น

เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังวิธีการ

ทุกศาสนศาสตร์มีบริบท คุณไม่สามารถเข้าใจศาสนศาสตร์ของลูเธอร์โดยไม่เข้าใจถึงชีวิตของลูเธอร์ และการทำงานของพระเจ้าในโลกสมัยนั้น เช่นเดียวกัน คุณไม่สามารถชื่นชมศาสนศาสตร์ของคาลวินโดยไม่มีความเข้าใจสถานการณ์ซึ่งทำให้ท่านคิดค้นความเชื่อของท่าน

ทำนองเดียวกัน วิธีการ ทุกอย่างก็มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลัง หลายคนมองที่ "คริสตจักรขนาดยักษ์" และคิดว่า คริสตจักรเหล่านั้นใหญ่โตตลอดมา พวกเขาลืมไปว่า คริสตจักรใหญ่ทุกแห่งเริ่มต้นจากคริสตจักรเล็ก ๆ และไม่มีคริสตจักรใดที่เติบโตใหญ่โดยไม่ผ่านช่วงเวลาการต่อสู่ที่ยาวนาน นั่นคือการเผชิญปัญหา ความผ่ายแพ้และความล้มเหลว ยกตัวอย่างเช่น คริสตจักรแซดเดิลแบ็คใช้เวลาในการประชุมและวางแผนกันยาวนานถึง 15 ปี ก่อนที่เราจะสามารถสร้างอาคารหลังแรกของเรา เพียงปัจจัยนี้อย่างเดียวก็มีผลต่อยุทธวิธีที่เราใช้ในการประกาศ การรักษาและเลี้ยงดูผู้เชื่อในพระคริสต์ มันทำให้เราจดจ่อที่คน และสร้างวัฒนธรรมของคริสตจักรที่สามารถเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง

ถ้าจะเข้าใจวิธีการต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ คุณจำเป็นต้องเข้าใจบริบทซึ่งทำให้เกิดวิธีการเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นคุณก็จะพยายามเลียนแบบสิ่งที่เราทำโดยไม่พิจารณาบริบท โปรดอย่าทำอย่างนั้น แต่ให้คุณมองลึกลงไป มองผ่านวิธีการไปสู่หลักการที่ถ่ายทอดต่อไปได้ เพราะวิธีการต่าง ๆ ตั้งอยู่บนหลักการที่เป็นรากฐาน ผมจะชี้ให้เห็นหลักการเหล่านั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักประวัติของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คสักนิดก่อน

พันธกิจของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีน้อยมากที่ได้ผ่านการวางแผนไว้ล่วงหน้าในขณะที่ผมเริ่มต้นคริสตจักรนี้ ผมไม่มีกลยุทธ์ระยะยาวใด ๆ ผมเพียงแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกผมให้ตั้งคริสตจักรใหม่ตามเป้าหมาย 5 ประการในพระคัมภีร์ใหม่ และผมมีความคิดหลายอย่างที่อยากจะลองทำดู ความคิดใหม่แต่ละอย่างที่เรามีเป็นเพียง การตอบสนอง ต่อสถานการณ์ซึ่งเราประสบ ผมไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เมื่อพูดถึง "นิมิต" คนส่วนใหญ่คิดถึงความสามารถในการมองเห็นอนาคต แต่โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ นิมิตยังหมายถึงความสามารถที่จะประเมินการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและฉวยโอกาสจากสิ่งเหล่านั้น นิมิต คือ การตื่นตัวต่อโอกาส

เนื่องจากคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเป็นคริสตจักรใหม่ และผมเป็นศิษยาภิบาลผู้ก่อตั้ง เราจึงสามารถทดลองใช้แนวคิดต่าง ๆ ได้มากกว่าคริสตจักรทั่วไป เพราะเราไม่ต้องจัดการกับประเพณีดั้งเดิมที่อยู่มานานนับสิบ ๆ ปี (อย่างไรก็ตาม เรามีปัญหาอื่น อีกมากมายที่คริสตจักรเก่าแก่ไม่มี) ในปีแรก ๆ เราไม่มีอะไรจะสูญเสีย ดังนั้นจึงทดลองแนวคิดทุกรูปแบบ แนวคิดบางอย่างของเราล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และผมเองก็อยากจะอ้างได้ว่า ความสำเร็จทั้งหมดของเราเกิดขึ้นตามที่เราวางแผนเอาไว้ แต่นั่นย่อมไม่เป็นความจริง ผมไม่ฉลาดขนาดนั้น ความสำคัญส่วนใหญ่ของเราเกิดจากการลองผิดลองถูก และบางสิ่งที่เราพบนั้นก็ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

ภาพยนตร์ที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ภาคหนึ่งในฉากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน มีคนถามอินเดียน่าโจนส์ว่า "จะทำยังไงดี" โจนส์ตอบว่า "จะไปรู้เรอะ อั๊วะทำไป นึกไปว่ะ" ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นหลายครั้ง ในฐานะของศิษยาภิบาลที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราลองทำบางอย่าง และถ้ามันได้ผล เราทำเหมือนกับว่าเราได้วางแผนเอาไว้แล้ว

ครั้งหนึ่ง มาร์ค ทเวนกล่าวว่า "ผมรู้จักชายคนหนึ่งที่คว้าเอาหางแมว และเขาได้เรียนรู้เรื่องแมวมากกว่าคนอื่น 40%" เราก็คว้าหางแมวตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และเราก็มีรอยขีดข่วนและรอยแผลเป็นเป็นเครื่องพิสูจน์

ความจริงก็คือ วิธีการที่เราทดลองแล้วใช้การไม่ได้ มีมากกว่าวิธีการที่ใช้การได้ เราไม่เคยกลัวความล้มเหลว แต่เราเรียกมันว่า "การทดลอง" ผมสามารถเอาความล้มเหลวของเรามาเขียนหนังสือได้อีกเล่มหนึ่ง แล้วให้ชื่อว่า หนึ่งพันวิธีในการสร้างคริสตจักรที่ไม่เติบโต

การค้นหาหลักการของผม

ในปี 1974 ผมเป็นนักศึกษาไปทำงานรับใช้ที่ญี่ปุ่น ผมได้พักที่บ้านมิชชันนารีเซาเธิร์นแบ๊บติสต์คู่หนึ่งในเมืองนางาซากิ วันหนึ่ง ขณะที่ผมเดินลัดเลาะผ่านห้องสมุดของเขา ผมหยิบนิตยสาร ฮิส ฉบับเก่าขึ้นมาฉบับหนึ่ง มันเป็นนิตยสารสำหรับนักศึกษาคริสเตียน

เมื่อผมพลิกอ่าน ก็ไปสะดุดตากับภาพชายแก่ที่ไว้เคราแพะและมีดวงตาเป็นประกาย หัวเรื่องรองของบทความนี้เขียนว่า "ทำไมชายคนนี้จึงอันตราย" เมื่อผมนั่งอ่านบทความเรื่อง โดแนลด์ แม็คกาฟแรนที่นั่น ผมไม่รู้เลยว่า มันจะมีผลต่อทิศทางการรับใช้ของผมมากพอ ๆ กับการพบกับ ดร. คริสเวลล์

บทความนั้นบรรยายถึงวิธีที่แม็คกาฟแรน ผู้เป็นมิชชันนารีเกิดในอินเดีย ใช้เวลาศึกษาว่าอะไรทำให้คริสตจักรเติบโต ในที่สุดการค้นคว้าเป็นเวลาหลายปีของท่านก็นำให้ท่านเขียนหนังสือชื่อ The Bridges of GOD (สะพานของพระเจ้า) ในปี 1955 และเขียนหนังสือมากกว่า 10 เล่ม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงใช้ ดร. ดับเบิลยู. เอ. คริสเวลล์ ช่วยให้ขอบเขตการรับใช้ของผมชัดเจนขึ้น จากการเป็นผู้รับใช้ทั่ว ๆ ไปมาสู่การเป็นศิษยาภิบาล พระเจ้าทรงใช้ข้อเขียนของโดแนลด์ แม็คกาฟแรน ทำให้ขอบเขตของผมชัดเจนขึ้นอีก คือ จากการเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรที่ตั้งอยู่แล้วมาสู่การตั้งคริสตจักรที่ผมจะเป็นศิษยาภิบาล เหมือนอย่างที่เปาโลประกาศไว้ในโรม 15:20 ว่า "อันที่จริงข้าพเจ้าได้ตั้งเป้าไว้อย่างนี้ว่า จะประกาศข่าวประเสริฐ ในที่ซึ่งไม่เคยมีใครออกพระนามพระคริสต์มาก่อน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว

แม็คกาฟแรนคัดค้านสิ่งที่คนทั่วไปในสมัยนั้นยอมรับในสิ่งที่ทำให้คริสตจักรเติบโต แม็คกาฟแรนชี้ให้เห็นจากพื้นฐานพระคัมภีร์และเหตุผลที่เรียบง่าย แต่เร่าร้อนว่า พระเจ้าต้องการให้คริสตจักรของพระองค์เติบโต พระองค์ต้องการให้เราพบแกะของพระองค์ที่หลงหาย

ประเด็นที่แม็คกาฟแรนยกขึ้นมานั้น ผมเห็นว่าเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างมาก เมื่อผมสังเกตการเติบโตของคริสตจักรต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งช้าอย่างน่าทรมาน ผมจึงได้เขียนคำถาม 8 ข้อขึ้น

๐ ในบรรดาพันธกิจที่คริสตจักรทำอยู่ มีพันธกิจที่ถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์มากเท่าไหร่
๐ ในบรรดาพันธกิจที่เราทำนั้น มีพันธกิจที่เป็นวัฒนธรรมมากเท่าไหร่
๐ ทำไมบางคริสตจักรเติบโตหยุดเติบโต หยุดอยู่กับที่ แล้วก็ถดถอย
๐ มีปัจจัยร่วมในทุกคริสตจักรที่เติบโตหรือไม่
๐ มีหลักการที่ใช้ได้ในทุกวัฒนธรรมหรือไม่
๐ อะไรเป็นอุปสรรคของการเติบโต
๐ อะไรเป็นความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับคริสตจักรที่เติบโต ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกต่อไป (หรือไม่เคยเป็นจริงเลย)

วันท่ีผมอ่านบทความเรื่องแม็คกาฟแรน ผมรู้สึกว่า พระเจ้ากำลังนำผมให้ลงทุนชีวิตที่เหลือกับการค้นหาหลักการตามพระคัมภีร์ หลักการตามวัฒนธรรม และหลักการสำหรับการเป็นผู้นำ ซึ่งก็คือ หลักการที่ทำให้เกิดคริสตจักรที่แข็งแรงและเติบโต นี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ปี 1979 ขณะที่ผมกำลังจะจบปีสุดท้ายที่วิทยาลัยพระคริสธรรมเซาธ์เวสเทิร์น ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท๊กซัส ผมตัดสินใจทำการศึกษาเกี่ยวกับคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุด 100 แห่งในสหรัฐฯ ในเวลานั้น ขั้นแรก ผมต้องกำหนดรายชื่อคริสตจักรเหล่านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผม ขณะนั้นผมยังได้ทำงานเป็นผู้ให้คะแนนของ ดร. รอย ฟิช ศาสตราจารย์ด้านการประกาศที่วิทยาลัยแห่งนี้ ท่านเป็นทั้งพี่เลี้ยงและเพื่อนของผม ท่านช่วยผมกำหนดรายชื่อคริสตจักรหลายแห่ง ส่วนคริสตจักรที่เหลือผมได้จากการค้นคว้ารายงานประจำปีของคณะต่าง ๆ และนิตยสารคริสเตียน

แล้วผมก็เขียนจดหมายถึงคริสตจักรแต่ละแห่ง และถามคำถามที่ผมเตรียมไว้ แม้ผมพบว่า คริสตจักรที่ใหญ่และเติบโตมีความแตกต่างอย่างมากในเรื่องยุทธวิธีโครงสร้างและรูปแบบที่ใช้ แต่มีองค์ประกอบบางอย่างที่เหมือนกันด้วย การศึกษาของผมยืนยันสิ่งที่ผมรู้จากการรับใช้ของ ดร. คริสเวลล์ คือ คริสตจักรใหญ่ที่แข็งแรงนำโดยศิษยาภิบาลที่อยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ผมได้พบตัวอย่างมากมาย แม้การอยู่เป็นศิษยาภิบาลนาน ๆ ไม่ได้ รับประกัน ว่าคริสตจักรจะเติบโจ แต่กสรเปลี่ยนศิษยาภิบาลทุก ๆ 2-3 ปีรับประกันได้ว่าคริสตจักร จะไม่ เติบโต

คุณลองนึกภาพเด็กที่มีพ่อใหม่ทุก ๆ สองถึงสามปีสิครับ พวกเขาคงมีปัญหาทางอารมณ์อย่างรุนแรง ในทำนองเดียวกัน การเป็นศิษยาภิบาลนาน ๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการสุขภาพและการเติบโตของคริสตจักร การเป็นศิษยาภิบาลทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เต็มด้วยความไว้วางใจ และเอาใจใส่ ศิษยาภิบาลไม่สามารถทำอะไรที่มีผลระยะยาวได้มากนัก ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ลักษณะนี้

คริสตจักรที่เปลี่ยนศิษยาภิบาลทุก 2-3 ปีจะไม่มีการเติบโตที่สม่ำเสมอ ผมเชื่อว่านี่คือเหตุผลหนึ่งที่บางคณะเสื่อมถอยลง เพราะพวกเขาได้สร้างผู้รับใช้ที่ "ไม่สมประกอบ" โดยการจำกัดระยะเวลาการทำหน้าที่ของศิษยาภิบาล น้อยคนนักที่อยากติดตามผู้นำซึ่งในปีหน้าก็จะไม่อยู่แล้ว ศิษยาภิบาลอาจจะอยากเริ่มโครงการใหม่ ๆ หลายอย่าง แต่สมาชิกจะสงวนท่าทีเพราะว่าพวกเขา คือ ผู้ที่ต้องรับผลไปอีกนานหลังจากที่ศิษยาภิบาลคนนั้นย้ายไปอยู่คริสตจักรอื่นแล้ว

เมื่อรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ผมจึงอธิษฐานว่า "พระบิดา ข้าพระองค์เต็มใจจะไปทุกแห่งในโลก ตามที่พระองค์ทรงประสงค์จะส่งข้าพระองค์ไป แต่ข้าพระองค์ทูลขอสิทธิพิเศษในการลงทุนชีวิตทั้งหมดของข้าพระองค์ในที่แห่งเดียว ข้าพระองค์ไม่สนใจว่า พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์อยู่ที่ไหน แต่ข้าพระองค์อยากจะอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต

ในโลกนี้ จะให้ผมไปที่ไหน

หลังจากคำอธิษฐานนั้น ผมติดแผนที่โลกบนกำแพงห้องรับแขกของเราและเริ่มต้นอธิษฐานร่วมกับเคย์ ซึ่งเป็นภรรยาของผม ขอการทรงนำว่าเราควรอยู่ที่ไหนหลังจากเรียนจบ นี่เป็นก้าวแรกที่ต้องทำสำหรับผู้ที่ต้องการตั้งคริสตจักรใหม่ คือ อธิษฐานของการทรงนำ สุภาษิต 28:26 กล่าวว่า "บุคคลที่วางใจในความคิดของตัวเป็นคนโง่แต่บุคคลที่ดำเนินในปัญญาจะได้รับการกู้" ก่อนสิ่งอื่นใด คุณต้องเข้าใจมุมมองของพระเจ้าสำหรับสถานการณ์ของคุณ

ผมและภรรยาคิดในตอนแรกว่า พระเจ้าทรงเรียกเราให้เป็นมิชชันนารี เนื่องจากผมเคยรับใช้ที่ญี่ปุ่นตอนเป็นนักศึกษา เราจึงสนใจประเทศในเอเชียเป็นพิเศษ แต่เมื่อเราอธิษฐานขอการทรงนำประมาณ 6 เดือน พระเจ้าทำงานในใจเราว่า พระองค์ไม่ได้นำเราไปรับใช้ในต่างประเทศ แต่ให้เราตั้งคริสตจักรใหม่ในแถบเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา

แทนที่เราจะเป็นมิชชันนารีเอง ผมและเคย์สัมผัสถึงการทรงนำของพระเจ้าให้ตั้งคริสตจักรที่ ส่งมิันนารี พระเจ้าจะทรงใช้เราชักนำและฝึกฝนคนอื่นในสหรัฐอเมริกาให้เป็นมิชชันนารีในต่างประเทศ เรื่องนี่เป็นความผิดหวังสำหรับผม แต่เมื่อผมมองย้อนกลับไป เวลานี้ผมจึงเข้าใจในสติปัญญาและแผนการของพระเจ้า มิชชันนารีหลายคนที่แซดเดิลแบ็คส่งออกไปมีอิทธิพลมากกว่าการที่ผมไปเป็นมิชชันนารีเอง

ผมเชื่อว่า สุขภาพหรือความแข็งแรงของคริสตจักรนั้นวัดโดยความสามารถใน การส่งคน ไม่ใช่ความสามารถของ การจุคน คริสตจักรทำงานส่งออก คำถามหนึ่งที่เราต้องถามในการประเมินสุขภาพของคริสตจักร คือ "เรากำลังระดมกำลังคนเพื่อพระมหาบัญชามากแค่ไหน"

ด้วยความมั่นใจซึ่งมีมาตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ทำให้ผมวางแผนงาน และกระบวนการที่จะทำให้สมาชิกกลายเป็นผู้รับใช้และมิชชันนารีซึ่งจะกล่าวต่อไปในหนังสือเล่มนี้

มุ่งเน้นที่สหรัฐอเมริกา

เมื่อเรารู้ว่าเราจะไม่ไปรับใช้ในต่างประเทศ ผมและเคย์เริ่มต้นอธิษฐานว่าเราจะเริ่มต้นคริสตจักรที่ไหนในสหรัฐฯ เนื่องจากผมไม่มีผู้สนับสนุน ดังนั้นมันอาจเป็นที่ไหนก็ได้ ผมจึงติดแผนที่บนกำแพงห้องรับแขกอีกครั้งหนึ่ง (คราวนี้เป็นแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา) และเขียนวงกลมรอบเมืองใหญ่ทุกแห่งที่ไม่อยู่ในภาคใต้

ภูมิหลังของผมเป็นเซาเธิร์น แบ๊บติสต์มาสี่ชั่วอายุคน ผมมีญาติพี่น้องอยู่ทั่วภาคใต้ แต่ความคิดของผมคือว่า ผมจะไปในที่ซึ่งเพื่อนในวิทยาลัยพระคริสตธรรมของผมส่วนใหญ่ไม่เต็มใจไป ผมอธิษฐานสำหรับการเริ่มต้นคริสตจักรในเมืองดีทรอยต์ นิวยอร์ค ฟิลาเดลเฟีย ชิคาโก อัลเบอเคอร์กี้ ฟีนิกซ์และเดนเวอร์ แล้วผมก็พบว่าสามรัฐที่มีคริสตจักรน้อยที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ วอชิงตัน ออเรกอน และแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น ผมมองแคบลงมาเหลือบริเวณสี่แห่งทางฝั่งตะวันตก คือ เมืองซีแอตเติล ซานฟรานซิสโก ซานดิเอโก และออเรนจ์ เคาน์ตี้ เมืองใหม่ทั้งสี่นี้กำลังเติบโตในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 และเรื่องนี้ทำให้ผมสนใจ

ช่วงฤดูร้อนปี 1979 ผมใช้ชีวิตอยู่ในห้องสมุดของวิทยาลัยเพื่อค้นคว้าข้อมูลสำมะโนครัวและสติประชากรของบริเวนทั้งสี่นี้ สุภาษิต 13:16 กล่าวว่า "คนที่หยั่งรู้กระทำทุกอย่างด้วยความรู้" สำหรับผม นี่หมายความว่าผมควรจะหาข้อมูลทุกอย่างที่หาได้เกี่ยวกับบริเวนนั้นก่อนที่ผมจะอุทิศชีวิตที่เหลือทั้งหมดที่นั่น ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญทุกครั้ง ผมจำเป็นต้องถามว่า "ผมต้องรู้อะไรก่อน"

สุภาษิต 18:13 กล่าวว่า "ถ้าคนหนึ่งคนใดตอบก่อนที่เขาได้ยิน ก็เป็นความโง่เขลาและความอับอายของเขา" เหตุผลที่คริสตจักรใหม่หลายแห่งล้มเหลวก็เพราะว่าพวกเขาเริ่มต้นด้วยความกระตือรือร้นโดยขาดข้อมูล ถ้าคุณจะตั้งคริสตจักร คุณต้องมีมากกว่าความกระตือรือร้น คุณต้องมีสติปัญญา การมีความเชื่อไม่ได้หมายความว่าให้คุณละเลยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชุมชนที่คุณเลือก

ขณะผมอายุ 25 ปี กำลังจะจบวิทยาลัยพระคริสตธรรมในอีก 5 เดือน และเคย์กำลังท้องลูกคนแรก 9 เดือน ผมโทรศัพท์ไปหาเธอจาห้องสมุดวันละหลายครั้งเพื่อดูว่าเธอเจ็บท้องคลอดหรือยัง

บ่ายวันหนึ่ง ผมพบว่าแซดเดิลแบ็ควาลลีย์ ในออแรนจ์ เคาน์ตี้ ภาคใต้ของแคลิฟอร์เนียเป็นบริเวณที่ขยายตัวเร็วที่สุด อยู่ในมณฑลที่ขยายตัวเร็วที่สุดในสหรัฐฯ ระหว่างทศวรรษที่ 1970 ความจริงนี้ทำให้ผมสนใจมากและทำให้ใจผมเต้นแรง ผมรู้ว่าที่ใดก็ตามที่ชุมชนใหม่เกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ ที่นั่นก็จะมีความต้องการคริสตจักรใหม่ด้วย

ขณะที่ผมนั่งอยู่ในห้องใต้ดิน เปิดไฟสลัว และเต็มไปด้วยฝุ่นของห้องสมุดภายในวิทยาลัย ผมได้ยินพระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า "นั่นคือที่ซึ่งเราต้องการส่งเจ้าไปตั้งคริสตจักร" ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเพราะความตื่นเต้น และน้ำตาเริ่มเอ่อล้น ผมได้ยินเสียงพระเจ้า นับตั้งแต่นั้น มันไม่สำคัญเลยว่า ผมไม่มีเงิน ไม่มีสมาชิก และไม่เคยเห็นสถานที่แห่งนั้น เพราะจุดหมายของเราแน่นอนแล้ว พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้ผมรู้ว่าพระองค์จะทรงสร้างคลื่นที่ไหน ผมจะไปโลดแล่นบนคลื่นเหล่านั้นตลอดชีวิต

สิ่งต่อไปที่ผมทำ คือ หาชื่อของผู้อำนวยการเขตของคณะเซาเธิร์นแบ๊บติสต์ที่ออแรนจ์ เคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาชื่อว่า เฮอร์แมน วูเทน ผมเขียนจดหมายถึงเขาว่า "ผมชื่อริค วอร์เรน ผมเป็นนักศึกษาวิทยาลัยพระคริสตธรรมในเท็กซัส ผมตั้งใจจะย้ายไปทางตอนใต้ของออแรนจ์ เคาน์ตี้และครั้งคริสตจักร ผมไม่ขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากคุณ ผมเพียงต้องการรู้ว่าคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับบริเวนนั้น และที่นั่นต้องการคริสตจักรใหม่หรือไม่

เรื่องน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้นโดยการจัดเตรียมของพระเจ้า แม้ว่าเราไม่เคยพบกัน แต่เฮอร์แมน วูเทนเคยได้ยินเรื่องของผมและความต้องการตั้งคริสตจักรใหม่หลังจากเรียนจบ ในเวลาเดียวกันกับที่ผมเขียนถึงเขา เขาก็เขียนถึงผมว่า "คุณวอร์เรนผมได้ยินว่าคุณอาจสนใจตั้งคริสตจักรใหม่ในแคลิฟอร์เนียหลังจากเรียนจบ คุณเคยคิดจะมาที่แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ในตอนใต้ของออแรนจ์ เคาน์ตี้หรือเปล่า" จดหมายของเราสวนทางกัน เมื่อผมเปิดตู้จดหมายสองวันต่อมา และเห็นจดหมายจากชายคนเดียวกับที่ผมเขียนถึงนั้น ผมเริ่มร้องไห้ ผมและเคย์ต่างรู้ว่าพระเจ้าทรงเตรียมการที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง

สองเดือนต่อมา ในเดือนตุลาคม ผมบินไปออแรนจ์ เคาน์ตี้และใช้เวลา 10 วันชมบริเวณนั้นเป็นครั้งแรก ช่วงกลางวัน ผมคุยกับทุกคนที่คุยได้ ผมปรึกษาบริษัทค้าที่ดิน สมาคมหอการค้า นายธนาคาร เจ้าหน้าที่วางแผนของมณฑล คนที่นั่น และศิษยาภิบาลคนอื่น ๆ ในบริเวณนั้น ผมบันทึกทุกสิ่งที่ผมได้รู้ ผมกำลังอ้างพระสัญญาในสุภาษิต 20:18 "แผนงานดำรงอยู่ได้ด้วยการปรึกษาหารือ"

ช่วงกลางคืน ผมดูแผนที่ท้องถิ่นและใบโฆษณา กางไปทั่วห้องรับแขกของ ดร. เฟรด ฟิชเชอร์ ศาสตราจารย์ของวิทยาลัยพระคริสตธรรมโกลเดนเกท ซึ่งเกษียณแล้ว ท่านเชิญผมให้พักกับท่านทางตอนเหนือของออแรนจ์ เคาน์ตี้ ขณะที่ผมศึกษาเอกสารที่รวบรวมมา ผมท่องจำชื่อถนนสายสำคัญทุกเส้นในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ผมให้เคย์ภรรยาของผมบินมาดูบริเวณนั้นเป็นครั้งแรก ผมพึ่งการสังเกตวิญญาณของภรรยาเสมอในการยืนยันการทรงนำของพระเจ้าในชีวิตของผม ถ้าหากเคย์รู้สึกลังเลในการย้ายมาแม้แต่เล็กน้อย ผมจะถือว่านั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยจากพระเจ้า การตอบสนองด้วยความสุขของเคย์ คือ "ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว แต่ฉันเชื่อว่านี่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า และฉันเชื่อคุณ ลงมือกันเถอะค่ะ" ตามที่เปาโลกล่าวในโรม 8:31 ว่า "ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา" เราขึ้นไปบนภูเขาสูงที่สุดที่เราพบ มองลงไปที่แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ซึ่งเต็มไปด้วยบ้านนับพัน ๆ หลัง และเราก็ถวายตัวเพื่อลงทุนชีวิตในการสร้างคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ คอมมิวนิตี้

แคลิฟอร์เนีย เรามาแล้ว

ผมเรียนจบจากวิทยาลัยในเดือนธันวาคม ปลายปี 1979 ผมและเคย์เก็บสิ่งของเล็กน้อยที่เรามีใส่ในรถบรรทุก เฟอร์นิเจอร์ของเราเป็นของตกทอดมาจากคู่แต่งงานใหม่ เราเป็นคู่ที่ 5 ที่ใช้ของเหล่านี้ มันดูน่าเวทนา แต่เราก็มีเพียงเท่านั้นตอนเราเก็บของเหล่านี้ มันดูไม่น่าเชื่อว่า หนุ่มสาวยากจนคู่นี้จะย้ายไปอยู่ในชุมชนที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา

เรามาถึงภาคใต้ของแคลิฟอร์เนียพร้อมด้วยความหวัง ทศวรรษใหม่รอคอยเราอยู่ เราจะมีงานรับใช้ใหม่ เรามีทารกอายุ 4 เดือน และเรามีพระสัญญาของพระเจ้าที่จะทรงอวยพระพรแก่เรา แต่เราก็มาถึงโดยไม่มีเงิน สถานที่ตั้งคริสตจักร สมาชิกและบ้าน เราไม่รู้จักใครสักคนในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ มันเป็นก้าวแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยก้าวในเวลานั้น

เรามาถึงออแรนจ์ เคาน์ตี้บ่ายวันศุกร์ ทันเวลารถติดที่โด่งดังของแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียกการจราจรที่ช้าที่สุดว่า "ชั่วโมงเร่งด่วน" เราค่อย ๆ คืบคลานไปบนทางด่วน ทั้งหิวทั้งเหนื่อย แถมยังมีเด็กทารกที่กำลังร้องไห้มากับเราด้วย

เนื่องจากผมโตมาในเมืองชนบทที่มีประชากรน้อยกว่า 500 คน ผมจึงไม่พร้อมเอาเสียเลยสำหรับการจราจรแบบนี้ เมื่อผมมองไปที่รถติดยาวเป็นไมล์ ๆ ซึ่งหยุดสนิทบนทางด่วน ผมคิดว่า นี่ผมเอาตัวเข้ามาพัวพันกับอะไรนี่ พระเจ้า งานนี้พระองค์ทรงเลือกคนผิดแล้วกระมัง ผมว่าผมทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว

ในที่สุด 5 โมงเย็น เราก็มาถึงแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ผมออกจากทางด่วนและจอดที่สำหรับงานบ้านและที่ดินแห่งแรกที่เห็น ผมเดินเข้าไปและแนะนำตัวกับนายหน้าคนแรกที่พบ เขาชื่อ ดอน เดล ผมพูดด้วยรอยยิ้มกว้างว่า "ผมชื่อริค วอร์เรน ผมมาที่นี่เพื่อตั้งคริสตจักร ผมต้องการที่พัก แต่ไม่มีเงินเลย" ดอนยิ้มจนเห็นฟันและหัวเราะเสียงดัง ผมก็หัวเราะด้วย ผมไม่รู้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ดอนพูดว่า "เอาล่ะ ดูชิว่าจะทำอะไรได้บ้าง" ภายใน 2 ชั่วโมง ดอนหาคอนโดมิเนียมให้เราเช่า เดือนแรกอยู่ฟรีและตกลงเป็นสมาชิกคนแรกของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค พระเจ้าทรงจัดเตรียมจริง ๆ

ขณะที่ขับรถไปที่คอนโดมิเนียม ผมถามดอนว่าเขาไปคริสตจักรไหนหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ ผมเลยบอก "เยี่ยม งั้นคุณก็เป็นสมาชิกคนแรกของคนแรกของผม" และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็คด้วยครอบครัวนายหน้าหาบ้านและครอบครัวของผม สองสัปดาห์ต่อมา เราศึกษาพระคัมภีร์ครั้งแรกในคอนโดมิเนียมโดยมีคนมาร่วม 7 คน

หลังจากที่เราเริ่มดำเนินด้วยความเชื่อ เราก็ตื่นเต้นเมื่อได้เห็นความจำเป็นของเราได้รับการตอบสนองด้านการเงินอย่างเป็นรูปธรรม ศิษยาภิบาลจอห์น แจ็คสันนำคริสตจักรเครสเซนท์ในเมืองแอนนาไฮม์ แคลิฟอร์เนีย มาสนับสนุนเราอย่างเป็นทางการ ด้วยเงิน 600 เหรียญต่อเดือน แล้วคริสตจักรที่หนึ่ง แบ๊บติสต์เมืองลัฟคินเท็กซัส กับ คริสตจักรที่หนึ่ง แบ๊บติสต์เมืองนอร์วอล์ค แคลิฟอร์เนีย ต่างสัญญาจะถวายเงินเดือนละ 200 เหรียญ

เช้าวันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งที่ผมไม่เคยพบ เขาเสนอตัวจ่ายค่าเช่าบ้านให้เรา 2 เดือน เราได้ยินถึงคริสตจักรใหม่และอยากจะช่วย อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเงินใกล้จะหมดบัญชี เคย์และผมออกไปซื้อของใช้มือสองสำหรับเด็กอ่อนสำหรับการนมัสการครั้งแรก เราได้รับสิ่งที่ต้องการและเขียนเช็คโดยรู้ว่า เรากำลังใช้เงินค่ากับข้าวมื้อสุดท้ายไป เมื่อถึงบ้าน ผมเปิดตู้จดหมายและพบเช็คจากหญิงเท็กซัสคนหนึ่งซึ่งเคยฟังผมเทศนา เธอตามหาเราถึงแคลิฟอร์เนีย เช็คนั้นเท่ากับที่เราเพิ่งจ่ายไปสำหรับอุปกรณ์ห้องเด็กอ่อน คือ 37.50 เหรียญ

ผมต้องการตั้งคริสตจักรใหม่โดยมีความพร้อมด้านการเงิน ก่อน ย้ายมาที่แคลิฟอร์เนีย แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราดำเนินโดยความเชื่อ ผมสัมผัสถึงการทรงเรียกได้อย่างชัดเจน จนผมอยากจะเริ่มทันที ผมชอบคำถอดความปัญญาจารย์ 11:4 ที่ว่า "ถ้าท่านคอยสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบ ท่านจะไม่มีวันทำอะไรเสร็จเลย" ถ้าคุณยืนกรานที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างก่อนจะตัดสินใจ คุณจะไม่รู้ถึงความตื้นเต้นของการใช้ชีวิตด้วยความเชื่อ พระเจ้าทรงใช้คนที่ไม่สมบูรณ์ในสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์เพื่อทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จเสมอ

เมื่อเราเห็นพระเจ้าทรงรับรองการตัดสินใจของเราด้วยหลาย ๆ วิธีในช่วงแรก เราก็ได้เรียนที่สำคัญ คือ ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงนำไป พระองค์จะทรงจัดเตรียม ถ้าคุณเป็นผู้ตั้งคริสตจักร ให้ขีดเส้นใต้ประโยคก่อนหน้านี้ มันจะเป็นที่มาแห่งการปลอบใจและกำลังอันยิ่งใหญ่ในวันยากลำบากของคุณ ไม่ว่าพระองค์ทรงเรียกให้ทำอะไร พระองค์จะทรงช่วยเหลือและเตรียมคุณให้ทำได้ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและพระองค์รักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ

เราจะเป็นคริสตจักรแบบไหน

ผมมาอยู่แคลิฟอร์เนียใต้ ไม่นานก็รู้ว่า ที่นี่เป็นบริเวณที่มีคริสตจักรที่เข้มแข็งและเชื่อตามพระคัมภีร์หลายแห่ง ศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดหลายคนในอเมริกาอยู่ไม่ห่างจากคริสตจักรใหม่ของเรา ในเช้าวันอาทิตย์ คุณสามารถฟังชัค สวินดอลล์, ชัค สมิธ, โรเบิร์ต ชูลเลอร์, จอห์น แม็อาเธอร์, อี. วี. ฮิลล์, จอห์น วิมเบอร์, แจ็ค เฮย์ฟอร์ด, ลอยด์ โอกิลวี่, ชารล์ส เบลด, เกรก ลอรี่, เรย์ ออตลันด์ หรือ จอห์น ฮัฟแมน ได้ถ้าคุณจัดเวลาเก่ง คุณก็อาจฟังคนเหล่านี้ สอง หรือ สามคนได้ในเช้าวันอาทิตย์เดียวและพวกเขาส่วนใหญ่ออกอากาศทางวิทยุ หรือ โทรทัศน์ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้

ยิ่งกว่านั้นทมีคริสตจักรที่สอนพระคัมภีร์อย่างดีมากกว่า 20 แห่งในแถบแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ ผมรีบสรุปว่า คริสเตียนทุกคนในบริเวณนี้มีความสุขดีอยู่แล้วได้อยู่ในคริสตจักรที่ดี หรือ อย่างน้อยก็มีทางเลือกมากมาย

ผมตัดสินใจว่า เราจะไม่พยายามดึงดูดคริสเตียนจากคริสตจักรอื่นเลย เราจะไม่แม้แต่ยืมตัวคนจากคริสตจักรอื่นเพื่อเริ่มต้นแซดเดิลแบ็ค เนื่องจากผมสัมผัสได้ถึงการทรงเรียกให้ประกาศกับคนไม่เชื่อ ผมตั้งใจจะ เริ่มต้น กับคนไม่เชื่อ แทนที่จะเริ่มด้วยกลุ่มแกนของคริสเตียนที่ทุ่มเท นี่ไม่ใช่วิธีที่หนังสือเรื่องการตั้งคริสตจักรทั้งหลายสอนไว้ แต่ผมรู้สึกแน่ใจว่า นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำ ความสนใจของเราจะจำกัดที่การประกาศกับคนไม่เป็นคริสเตียน คือ คนที่ไม่ไปร่วมคริสตจักรอื่นไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม

เราไม่สนับสนุนให้ผู้เชื่อคนอื่นย้ายมาเป็นสมาชิกคริสตจักรของเรา ที่จริงเราคัดค้านเขาอย่างเปิดเผย เราไม่ต้องการเติบโตโดยการย้ายสมาชิกภาพ ในชั้นเรียนสมาชิกใหม่ ทุกครั้งเราพูดว่า "ถ้าคุณมาจากคริสตจักรอื่น คุณต้องรู้ตั้งแต่ต้นว่า "ที่นี่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อคุณ เราเน้นที่การประกาศกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ถ้าคุณย้ายมาจากอีกคริสตจักร เราต้อนรับคุณที่นี่ก็ต่อเมื่อคุณต้องการรับใช้ ถ้าคุณตั้งใจจะมาร่วมนมัสการเท่านั้น เราอยากเก็บที่นั่งของคุณไว้สำหรับคนอื่นที่ไม่เป็นคริสเตียน ยังมีคริสตจักรดี ๆ ที่สอนตามพระคัมภีร์หลายแห่งในบริเวณนี้ที่เราสามารถแนะนำให้คุณได้"

จุดยืนนี้อาจฟังดูแข็งกร้าว แต่ผมเชื่อว่าเรากำลังทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ พระองค์ทรงกำหนดกลุ่มเป้าหมายการรับใช้ของพระองค์โดยกล่าวว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรมแต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต" (มาระโก 2:17) ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเตือนตัวเองในเรื่องนี้เสมอ มันทำให้เรายังคงซื่อตรงต่อจุดสนใจหลักของคริสตจักรคือ นำคนไม่เป็นคริสเตียน ไม่เคร่งศาสนาในชุมชนของเรามาถึงพระคริสต์

ผมใช้เวลาสองสัปดาห์แรกหลังจากย้ายมาที่แซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ แวะไปตามบ้าน คุยกับผู้คนเพื่อจะเข้าใจโลกทัศน์ของคนภาคใต้ของแคลิฟอร์เนียที่ไม่ไปคริสตจักร แม้ผมจะรู้ว่าสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการมากที่สุด อย่างแท้จริง คือ ความสัมพันธ์กับพระคริสต์ ผมต้องการฟังสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นความต้องการเฉพาะหน้าของเขาก่อน นี่ไม่ใช่การตลาด แต่เป็นความสุภาพ

ผมเรียนรู้ว่า คนส่วนใหญ่จะไม่รับฟังจนกว่าเราจะฟังพวกเขาก่อน คนไม่สนใจว่าเรารู้มากแค่ไหนจนกว่าเขาจะรู้ว่าเราใส่ใจเขามากเพียงไร การสนทนาที่ฉลาดและแสดงความสนใจ คือ วิธีเปิดประตูสำหรับการประกาศที่เร็วกว่าวิธีอื่นใดที่ผมเคยใช้ การใช้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือ จำเป็น ไม่ใช่ หน้าที่คริสตจักร แต่วิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างสะพานก็คือ การแสดงออกว่าคุณสนใจพวกเขาและเข้าใจปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ ความต้องการเฉพาะหน้า คือ จุดเริ่มต้นที่เราแสดงความรักต่อผู้อื่น

ผมไม่รู้มากพอที่จะเรียกการสำรวจชุมชนของผมว่าเป็นการศึกษาทาง "การตลอด" สำหรับผม มันเป็นเพียงการพบปะกับคนที่ผมต้องการประกาศ คนที่มาร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ของผมก็ช่วยผมทำการสำรวจด้วย และหลายคนในกลุ่มนี้ก็ยังไม่เชื่อพระเจ้า

กำหนดวัน - อีสเตอร์

ต่อมา เราตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นประชุมนมัสการในเช้าวันอาทิตย์อีสเตอร์เป็นเวลา 12 สัปดาห์หลังจากที่ผมและเคย์ย้ายมาที่ออแรนจ์ เคาน์ตี้ ผมไม่คิดว่าจะใช้บ้านนานกว่า 3 เดือน ผมต้องการเริ่มประชุมนมัสการสำหรับคนทั่วไปให้เร็วที่สุดและผมก็ไม่ต้องการพลาดโอกาสที่จะเริ่มต้นคริสตจักรในวันอีสเตอร์ด้วย

ผมให่เหตุผลว่า ถ้าครอบครัวที่ไม่เคยไปคริสตจักรจะไปนมัสการปีละครั้งมันก็น่าจะเป็นวันอีสเตอร์ มันเป็นวันที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้นการนมัสการเพื่อดึงดูดคนที่ไม่เคยไปคริสตจักร ผมรู้ว่าพวกเขาอาจไม่กลับมาอีกในอาทิตย์ต่อไป แต่อย้างน้อยเราก็มีคนมากในการนมัสการครั้งแรก และผมก็จะได้รายชื่อไว้ติดต่อ

ในช่วงก่อนวันอีสเตอร์ กลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านในคืนวันศุกร์โตขึ้นเป็นประมาน 15 คน ทุกสัปดาห์ผมสอนพระคัมภีร์ แล้วเราก็เตรียมงานสำหรับการนมัสการครั้งแรกของเรา เราคุยกันถึงสิ่งที่เราได้รู้จากการสำรวจชุมชนด้วย หลังจาก 8 สัปดาห์ ผมสรุปสิ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับคนที่ไม่เคยไปคริสตจักร และปัญหาที่เขามีต่อคริสตจักร และเขียนเป็นแถลงการณ์ปรัชญาในการรับใช้ของเรา และมันก็กลายเป็นพิมพ์เขียนสำหรับกลยุทธ์การประกาศข่าวประเสริฐของเรา

ต่อมา ผมเขียนจดหมายเปิดผนึกให้คนที่ไม่เคยไปคริสตจักรโดยอาศัยสิ่งที่เราได้รู้ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการขายตรงทางไปรษณีย์ การตลาดหรือการโฆษณา ผมเพียงแค่เห็นว่า จดหมายเปิดผนึกคงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการกระจายข่าวของคริสตจักรใหม่ออกไป และผมรู้ว่า คนจำนวนมากในแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์อาศัยอยู่เบื้องหลัง "ประตูบ้าน" และไม่มีทางที่ผมจะพบกับคนเหล่านี้ที่บ้านโดยไม่รู้จักกันก่อน

จดหมายฉบับนั้น ผมเขียนแล้วเขียนอีกกว่า 10 ครั้ง ในใจก็คิดเสมอว่า ผมจะพูดอะไร ถ้าผมมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะพูดกับคนที่ไม่เคยไปคริสตจักรในชุมชนนี้ ผมจะพูดอย่างไรจึงจะขจัดอคติและข้ออ้างที่เขาไม่มาคริสตจักร

ประโยคแรกของจดหมายนั้นกล่าวชัดเจนถึงความสนใจ และจุดยืนของเรา มันเขียนว่า "เกิดขึ้นแล้ว คริสตจักรใหม่สำหรับคนที่ไม่ต้องการนมัสการตามประเพณีเดิม ๆ" แล้วก็อธิบายต่อไปถึงคริสตจักรที่เราจะเริ่มขึ้น เราจ่าหน้าซองและติดแสตมป์จดหมาย 15,000 ฉบับด้วยมือ และส่งออกไป 10 วันก่อนอีสเตอร์ ผมเดาว่าถ้าเราได้รับการตอบสนองเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้ 150 คนในวันอีสเตอร์

การนมัสการครั้งแรกของเรา

ผมรู้ว่า ถ้าคริสตจักรของเราจะดึงดูดและชักจูงคนที่ไม่เคยไปคริสตจักร ต้องเป็นการนมัสการที่แตกต่างจากแบบที่ผมคุ้นเคย แล้วการนมัสการ ลักษณะใด ล่ะที่จะเป็นพยานที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เราใช้เวลายาวนานในการคิดทุกรายการอย่างละเอียด เราวางแผนแม้กระทั่ง "การซ้อมใส่ชุดจริง" สำหรับการนมัสการวันอีสเตอร์

ผมพูดกับ 15 คนที่มาร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ว่า "วันอาทิตย์ที่จะมาถึง เราจะพบกันที่โรงเรียนมัธยมและซ้อมการนมัสการของเรา เราจะซ้อมร้องเพลง ผมจะเทศนาเหมือนกับมีคน 150 คน และเราจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องรายการ นี่จะทำให้มั่นใจได้ว่า ในสัปดาห์หน้าอย่างน้อยก็จะ ดูเหมือนว่า เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร"

เมื่อวันอาทิตย์ก่อนอิสเตอร์มาถึง เราคาดหวังเพียงสิบห้าคนที่มาร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่จะมา "ซ้อม" การนมัสการของเรา แต่พระเจ้ามีแผนการอื่น จดหมายที่เราส่งไป 15,000 ฉบับไปถึงที่หมายเร็ว เราคาดว่าเขาจะได้รับก่อนอีสเตอร์ไม่กี่วันแต่เนื่องจากประสิทธิภาพของไปรษณีย์ ก็เลยมี 60 คนมาในการซ้อม และมี 5 คนต้อรับพระคริสต์

ในการซ้อมนมัสการนั้น ผมบอกถึงนิมิตที่ผมเชื่อว่าพระเจ้าประทานแก่ผมสำหรับคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค งานแรกของผู้นำ คือ พูดถึงพันธกิจให้ชัดเจน ดังนั้น ผมจึงพยายามวาดภาพให้ดึงดูดความสนใจและชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมเห็น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ไปทบทวนแถลงการณ์นิมิตครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อปรับทิศทางให้ถูกต้องระหว่างดำเนินการ นิมิตของเราไม่เคยเน้นที่การซื้อหรือสร้างอาคารใหญ่โตแต่นิมิตของเรา คือ การสร้างสาวกของพระเยซูคริสต์

ผมจำได้ว่า ผมกลัวแค่ไหนหลังจากบอกนิมิตในการซ้อมนมัสการวันนั้น ผมเต็มไปด้วยความกลัวความล้มเหลว แล้วถ้ามันไม่เกิดขึ้นล่ะ นิมิตนี้มาจากพระเจ้าจริงหรือ หรือมันเป็นเพียงฝันเฟื่องของคนคลั่งอุดมการณ์อายุ 26 เท่านั้น การฝันกับตัวเองว่า เราคาดหวังให้พระเจ้าทำอะไรนั้น มันต่างกับการกล่าวความฝันให้คนอื่นได้รับรู้ ในความคิดของผม ผมหมายถึงจุดเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว แม้ผมกลัว แต่ตอนนี้ผมต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดความเร็ว ผมตัดสินใจจะไม่หันหลังกลับ เพราะมั่นใจว่าความฝันของผมจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า

นิมิตของแซดเดิลแบ็ค
จากคำเทศนาครั้งแรกของอาจารย์ริค วันท่ี 30 มีนาคม 1980

มันเป็นความฝันถึงสถานที่ซึ่งคนที่เจ็บปวด หดหู่ ผิดหวังและสับสนสามารถพบความรัก การยอมรับ ความช่วยเหลือ ความหวัง การยกโทษ คำแนะนำ และการหนุนใจ

มันเป็นความฝันถึงการบอกเล่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์กับคนนับแสนที่อยู่ในออแรนจ์ เคาน์ตี้ตอนใต้

มันเป็นความฝันถึงการต้อนรับสมาชิก 20,000 คนเข้ามาอยู่ในสามัคคีธรรมของครอบครัวคริสตจักรเรา ที่มีความรัก การเรียนรู้ เสียงหัวเราะและการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปรองดอง

มันเป็นความฝันถึงการสร้างคนให้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณโดยการศึกษาพระคัมภีร์ กลุ่มย่อย ค่ายอบรม และโรงเรียนพระคัมภีร์สำหรับสมาชิกของเรา

มันเป็นความฝันถึงการส่งมิชชันนารี และคนทำงานในคริสตจักรร้อย ๆ คนไปทั่วโลก และมอบอำนาจกับสมาชิกทุกคนในการทำตามพันธกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นส่วนตัวในโลกนี้ มันเป็นความฝันถึงการส่งสมาชิก 1,000 คนออกไปทุกทวีปเพื่อทำพันธกิจระยะสั้น มันเป็นความฝันถึงการเริ่มต้นคริสตจักรลูกแห่งใหม่อย่างน้อย 1 แห่งต่อปี

มันเป็นความฝันถึงที่ดินอย่างน้อย 50 เอเคอร์ ซึ่งจะใช้สร้างคริสตจักรสำหรับภาคใต้ของออแรนจ์ เคาน์ตี้อย่างสวยงามแต่เรียบง่าย สถานที่จะประกอบด้วยศูนย์นมัสการจุคนนับพัน ๆ ศูนย์ให้คำปรึกษาและอธิษฐาน ห้องเรียนสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์และการอบรมผู้รับใช้ฆราวาส และบริเวณพักผ่อน ทั้งหมดนี้จะถูกออกแบบเพื่อรับใช้คนในทุกด้าน คือ จิตวิญญาณ อารมณ์ ร่างกายและสังคม และตั้งอยู่บนสวนที่งดงาม

ผมยืนอยู่ต่อหน้าคุณในวันนี้และกล่าวด้วยความมั่นใจว่า ความฝันเหล่านี้จะเป็นจริง ทำไมหรือ เพราะว่าความฝันนี้ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

คริสตจักรแซดเดิลแบ็คจัดการนมัสการครั้งแรกในวันอาทิตย์ต่อมา ซึ่งเป็นวันอีสเตอร์ 6 เมษายน 1980 มีคนมา 250 คน เราเกาะคลื่นได้แล้ว ผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกที่มองดูคนเหล่านี้ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเดินเข้ามาตามทางเดินของโรงละครของโรงเรียนมัธยมลากูน่าฮิลล์ ผมพูดกับเคย์ด้วยความตื่นเต้น กลัวและเกรงกลัวว่า "มันจะไปได้สวยแน่ ๆ"

มันเป็นการประชุมที่ไม่ธรรมดาสำหรับการเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ การประชุมครั้งนั้นมีคริสเตียนไม่เกิน 10 คน แต่มันก็เต็มไปด้วยชาวแคลิฟอร์เนียใต้ที่ไม่เคยไปคริสตจักร เรายิงถูกเป้าเผงเลย

เมื่อมีคนไม่เป็นคริสเตียนจำนวนมากทำให้การนมัสการนั้นดูน่าขบขัน เมื่อผมบอกให้เปิดพระคัมภีร์ ไม่มีใครมีพระคัมภีร์เลย เมื่อเราพยายามร้องเพลงบางเพลงไม่มีใครร้องเพราะไม่มีใครรู้จัก เมื่อผมบอกว่า "ให้เราอธิษฐาน" บางคนก็ได้แต่มองไปรอบ ๆ ผมรู้สึกเหมือนกับยืนอยู่หน้าที่ประชุมของสโมสรโรตารี่

แต่ผมแปลกใจว่า คนเหล่านี้ยังกลับมาเรื่อย ๆ แต่ละครั้งก็มีคนมอบชีวิตให้กับพระคริสต์เพิ่มขึ้น 2-3 คนเมื่อถึงสัปดาห์ที่ 10 หลังจากเราเริ่มต้นนมัสการ มีคนไม่เป็นคริสเตียนซึ่งได้มาร่วมเมื่ออีสเตอร์มอบชีวิตให้พระคริสต์ 82 คน เรากำลังโลดแล่นอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้บนคลื่นของพระวิญญาณพระเจ้า การเตรียมตัวของเราคุ้มค่า คริสตจักรเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว

ชั้นเรียนสมาชิกใหม่ครั้งแรกมีผู้เรียน 20 คน มี 18 คนไม่เชื่อพระเจ้า ดังนั้น ผมจึงเริ่มโดยสอนพื้นฐานเบื้องต้นที่สุดของชีวิตคริสเตียน เมื่อถึงตอนท้ายของชั้นเรียน 6 สัปดาห์ ทั้ง 18 คนก็ต้อนรับพระคริสต์ รับบัพติศมาและได้รับการต้อนรับเข้าเป็นสมาชิก

บัพติศมาที่แซดเดิลแบ็คก็ไม่เหมือนที่ไหน เราใช้สระน้ำ มหาสมุทรแปซิฟิกและบ่อของคริสตจักรอื่น แต่บ่อยที่สุด คือ บ่อน้ำแร่และอ่างน้ำร้อนซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบ้านจำนวนมากในออแรนจ์ เคาน์ตี้ หลายพันคนได้รับบัพติศมาในสิ่งที่เราชอบเรียกว่าเป็น "อ่างน้ำวนเพื่อพระเยซูคริสต์"

เรากระตุ้นให้คนที่รับบัพติศมาเชิญเพื่อนที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นสักขีพยานการรับบัพติศมาของพวกเขาให้มากที่สุด บางคนส่งบัตรเชิญอย่างสวยหรู บัพติศมาประจำเดือนของเรานั้นเป็นรายการใหญ่เสมอ ครั้งหนึ่งเราบัพติศมา 367 คนในเช้าวันเดียว ผิวหนังของพวกเราเหี่ยวเมื่อทั้งผมและศิษยาภิบาลอื่น ๆ ออกจากสระน้ำโรงเรียนมัธยมที่เติมคลอรีนมากเกินไป ผมจำที่เราพูดเล่นกันได้ว่า ถ้าเราไม่ใช่คณะแบ๊บติสต์ เราคงใช้สายดับเพลิงฉีดน้ำใส่ทุกคน

ความเจ็บปวดที่เกิดจากการเติบโต

คริสตจักรแซดเดิลแบ็คได้พบกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการเติบโตตลอดประวัติศาสตร์อันสั้นของคริสตจักร เราใช้สถานที่ 79 แห่งในช่วง 15 ปีแรก เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา ทุกครั้งที่มีคนมากเกินตัวตึก เราก็ย้ายการประชุม หรือนมัสการไปที่อื่น เรามักพูดกันว่า แซดเดิลแบ็คเป็นคริสตจักรที่คุณสามารถร่วมได้ถ้าคุณสามารถหาเราพบ เราพูดเล่นกันว่า นี่เป็นวิธีที่เราได้เฉพาะคนฉลาดจริง ๆ

เราใช้โรงเรียนมัธยม 4 แห่ง โรงเรียนประถมหลายแห่ง ตึกธนาคาร ศูนย์พักผ่อน โรงละคร ศูนย์ชุมชน ภัตตาคาร บ้านใหญ่ ๆ ตึกสำนักงานและสนามกีฬา และสัปดาห์ก่อนที่เราสร้างอาคารหลังแรกของเรา ผมรู้สึกว่า คริสตจักรส่วนใหญ่สร้างเร็วเกินไปและเล็กเกินไป รองเท้าต้องไม่เป็นตัวกำหนดว่าเท้าจะโตได้ขนาดไหน

มักมีคนถามผมว่า "คริสตจักรที่ไม่มีอาคารจะเติบโตได้แค่ไหน" คำตอบคือ "ผมไม่รู้" คริสตจักรแซดเดิลแบ็คประชุมกันถึง 15 ปีและมีผู้ร่วมประชุม 10,000 คน โดยไม่มีอาคารของเราเอง ดังนั้น ผมรู้ว่าคริสตจักรสามารถโตได้ถึงอย่างน้อย 10,000 คน อย่าให้การมี หรือ ไม่มีอาคารเป็นอุปสรรคขัดขวางคลื่นของการเติบโต คนมีความสำคัญกว่าทรัพย์สิน

ในช่วงสิบห้าปีของแซดเดิลแบ็ค กว่า 7,000 คนได้มอบชีวิตให้พระคริสต์ผ่านทางการประกาซของเรา หากทารกคริสเตียนกำลังท่วมคริสตจักรคุณ คุณ จะทำอย่างไร สุขภาพและความอยู่รอดของคริสตจักรเราขึ้นอยู่กับการสร้างกระบวนการเป็นผู้สนใจให้เป็นธรรมิกชน เปลี่ยนผู้บริโภคเป็นผู้ให้ เปลี่ยนสมาชิกเป็นผู้รับใช้และเปลี่ยนผู้ชมเป็นกองทัพ เชื่อผมเถอะครับ มันเป็นงานที่ยากอย่างเหลือเชื่อที่จะเปลี่ยนที่ลุ่มหลงในการบริโภคและสนใจแต่ตัวเอง ให้เป็นคริสเตียนที่รับใช้ด้วยหัวใจ มันไม่ใช่งานสำหรับผู้รับใช้ใจเสาะ หรือ คนที่ไม่อยากให้เครื่องแบบทางศาสนาของเขายับ หากแต่นี่คือพระมหาบัญชาชนิดเต็มรูปแบบ และมันเป็นพลังผลักดันอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมาจนถึงบัดนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น