จงซื้อความจริงและอย่าขายไปเสีย
จงซื้อปัญญา วินัย และความรอบรู้
สุภาษิต 23:23
เด็ก ๆ ในอเมริกาได้เรียนรู้ความเชื่อผิด ๆ หลายอย่าง อาทิเช่น ซานตาคลอสนำของขวัญมาโดยมีกวางแรนเดียร์เป็นพาหนะ กระต่ายอีสเตอร์ซ่อนลูกอมและไข่ เมื่อตัวกราวด์ฮอกเห็นเงาของมันเอง อากาศจะไม่ดี หรือดวงจันทร์ทำจากเนยแข็งสวิส เป็นต้น ความเชื่อผิด ๆ บางอย่างไม่เป็นพิษภัย แต่บางอย่างก็เป็นอันตรายมาก
ผมชอบพระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูทรงคัดค้านความเชื่อผิด ๆ ที่แพร่หลาย หรือ "สติปัญญาที่ยอมรับกัน" ในสมัยของพระองค์ช่วงพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูตรัสยี่สิบครั้งว่า "ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า… ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า…" ครั้งหนึ่ง ผมเทศนาต่อเนื่องในหัวข้อ "ความเชื่อผิด ๆ ที่ทำให้เราทุกข์ระทม" เราจะพบ "สัจจะที่ทำให้เราเป็นไท" ได้ก็ต่อเมื่อเราตั้งชีวิตของเราไว้บนรากฐานอันมั่นคงแห่งพระวจนะของพระเจ้า
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับคริสตจักรที่เติบโตได้แพร่หลายในหมู่ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร ขณะที่หลายคนได้ยินถึงสิ่งที่เรียกกันว่า คริสตจักรใหญ่ (คำที่ผมไม่ชอบ) มีคนภายนอกน้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักรเหล่านั้น บางครั้ง ผู้คนตั้งสมมุติฐานที่ไม่ถูกต้องเนื่องจากความอิจฉา บางครั้งเนื่องจากความกลัว และบางครั้งเนื่องจากความไม่รู้
ถ้าคุณจริงจังกับการเติบโตของคริสตจักรของคุณ คุณก็ต้องเต็มใจจะคัดค้านความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับคริสตจักรใหญ่ที่กำลังเติบโตซึ่งคุณได้ยินในเวลานี้
ความเชื่อผิด ๆ ประการแรก
สิ่งเดียวที่คริสตจักรใหญ่สนใจ คือ
จำนวนคนมาร่วมนมัสการ
ความจริงคือ เรา จะไม่ ทำให้คริสตจักรเติบโต ถ้านี่เป็นสิ่งเดียวที่เราสนใจ ตลอดประวัติศาสตร์ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราเคยตั้งเป้าถึงจำนวนคนที่มานมัสการเพียงสองครั้ง ทั้งสองครั้งอยู่ในปีแรกของเรา เราไม่ได้จดจ่อจำนวนคนที่มานมัสการ แต่เราจดจ่อที่การรวบรวมคนที่พระเจ้านำมาหาเรา เพื่อเข้ามาในคริสตจักร
การโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาร่วมนมัสการนั้นอาจนำคนมาสู่คริสตจักรของคุณครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาจะไม่กลับมาอีก เว้นแต่คริสตจักรของคุณจะให้สิ่งที่ดี ถ้าคุณจะให้อัตราเติบโตคงที่สม่ำเสมอ คุณต้องให้สิ่งที่คนไม่สามารถได้รับจากที่อื่น
ถ้าคุณเทศนาข่าวประเสริฐของพระคริสต์ที่เป็นแง่บวกและเปลี่ยนแปลงชีวิต ถ้าสมาชิกของคุณตื่นเต้นกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในคริสตจักรของคุณ ถ้าคุณมีการนมัสการที่เขาสามารถนำเพื่อนมาได้โดยไม่อับอาย และถ้าคุณตั้งใจที่จะสร้าง ฝึกฝนและส่งคนที่คุณนำมาเชื่อออกไป จำนวนคนมาร่วมนมัสการจะเป็นปัญหาที่เล็กที่สุดของคุณ คนจะแห่กันมาที่คริสตจักรแบบนั้น ซึ่งมันกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
การเติบโตที่แข็งแรงและถาวรนั้นมีหลายมิติ ตามนิยามของผม การเติบโตที่แท้จริงของคริสตจักรนั้นมีห้าด้าน ทุกคริสตจักรต้องเติบโตแบบ อบอุ่นขึ้น โดยการสามัคคีธรรม ลึกซึ้งขึ้น โดยการสร้างสาวก แข็งแรงขึ้น โดยการนมัสการ กว้างขึ้น โดยการรับใช้ และ ใหญ่ขึ้น โดยการประกาศ
กิจการ 2:42-47 บรรยายการเติบโตทั้งห้าด้านในคริสตจักรแรกที่เยรูซาเล็ม คริสเตียนรุ่นแรกสามัคคีธรรมกัน เสริมสร้างกันและกัน นมัสการ รับใช้และประกาศ ผลก็คือ ข้อ 47 กล่าวว่า "ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวัน ๆ" ให้สังเกตสองสิ่งในข้อนี้ สิ่งแรก พระเจ้าทรงทำให้เกิดการเติบโต (ส่วนของพระองค์) เมื่อคริสตจักรทำส่วนของตน (ทำเป้าหมายทั้งห้าให้สำเร็จ) สิ่งที่สอง การเติบโตเกิดขึ้นทุกวัน หมายความว่า อย่างน้อยที่สุดคริสตจักรที่แข็งแรงนี้มีคนกลับใจ 365 คนต่อปี หากนี่คือมาตรฐานการประกาศที่ทุกคริสตจักรต้องทำ เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นคริสตจักรที่แข็งแรงตาม "พระคัมภีร์ใหม่" ก็จะมีกี่คริสตจักรที่คุณคิดว่ามีคุณสมบัติเช่นนี้
ตามธรรมชาติของคริสตจักรที่แข็งแรงจะมีผลเป็นการเติบโต สุขภาพดีของคริสตจักรจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อคำสอนของเรา ถูกต้องตามพระคัมภีร์ และ สมดุล ในพันธกิจของเรา เป้าหมายแต่ละอย่างต้องสมดุลกับเป้าหมายอื่น ๆ เพื่อให้เกิดสุขภาพที่แข็งแรง ความสมดุลในคริสตจักรไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่จริง เราต้องมัวแก้ไขการเสียสมดุลอยู่เสมอ มนุษย์เราชอบที่จะเน้นหนักเกินไปในเรื่องที่เรารู้สึกกระตือรือร้น ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ การวางกลยุทธ์และโครงสร้างโดยเจตนาเพื่อบังคับให้เรามีความสนใจในเป้าหมายแต่ละด้านอย่างเท่าเทียมกัน คือ การเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 2
คริสตจักรใหญ่ทั้งหมดเติบโต
จากความสูญเสียของคริสตจักรเล็ก
คริสตจักรใหญ่บางแห่งเติบโตจากความสูญเสียของคริสตจักรเล็ก แต่ไม่ใช่ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คแน่นอน สถิติซึ่งผมพอใจที่สุดสำหรับคริสตจักรแซดเดิลแบ็คคือ 80% ของสมาชิกเราพบพระเยซูคริสต์และรับบัพติศมาที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราไม่ได้โตจากความสูญเสียของคริสตจักรอื่น ในขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้ เรามีสมาชิกผู้ใหญ่ประมาณห้าพันคน ในจำนวนนี้มีสี่พันคนกลับใจและรับบัพติศมาที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค การเติบโตของเราเกิดจากการกลับใจใหม่ ไม่ใช่การโยกย้ายจากคริสตจักรอื่น
การย้ายคริสเตียนจากคริสตจักรหนึ่งไปอีกคริสตจักรหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูทรงคิดไว้ในขณะที่พระองค์ประทานมหาบัญชาแก่เรา พระเจ้าทรงเรียกเราให้เป็นผู้หาคนอย่างหาปลา ไม่ใช่ย้ายปลาจากอ่างหนึ่งไปอีกอ่างหนึ่ง คริสตจักรที่โตโดยอาศัยเพียงการโยกย้าย ก็จะไม่ได้พบการเติบโตที่แท้จริง มันเป็นเพียงการสับไพ่ใหม่เท่านั้น
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 3
คุณต้องเลือกระหว่างปริมาณและคุณภาพ
ในคริสตจักรของคุณ
น่าเสียดายที่เรื่องนี้เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่แพร่หลายมาก แต่มันไม่เป็นความจริง ส่วนหนึ่งของปัญหาคือว่า ไม่มีใครเคยกำหนดความหมายของคำว่า คุณภาพ และ ปริมาณ แต่ผมขอบอกคำนิยามในส่วนของผม
คุณภาพ หมายถึง ชนิด ของสาวกที่คริสตจักรสร้างขึ้น คนได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระคริสต์จริง ๆ หรือไม่ ผู้เชื่อมีรากฐานในพระวจนะหรือไม่ พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์หรือไม่ พวกเขาใช้ตะลันต์ในการรับใช้และทำพันธกิจหรือไม่ พวกเขาประกาศอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ คำถามเหล่านี้เป็นเพียงมาตรวัดบางอย่างที่ใช้วัดคุณภาพของคริสตจักร
ปริมาณ หมายถึง จำนวนสาวก ที่คริสตจักรสร้างขึ้น มีกี่คนที่คริสตจักรนำมาถึงพระคริสต์ มีกี่คนที่คริสตจักรสร้างให้เป็นผู้ใหญ่ และระดมเข้ามาเพื่อทำงานรับใช้และพันธกิจ
เมื่อเราให้ความหมายของสองคำนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่า คุณภาพและปริมาณไม่ได้ขัดแย้งกัน และก็ไม่ได้แยกขาดออกจากกัน คุณไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด ทุกคริสตจักรต้องการทั้งสองอย่าง ที่จริง การเน้นเพียงด้านเดียว อาจเป็นคุณภาพ หรือ ปริมาณ จะทำให้คริสตจักรไม่แข็งแรง อย่าให้ใครหลอกคุณว่าต้องเลือกเพียงอย่างเดียว
เวลาไปตกปลา คุณต้องการปริมาณ หรือ คุณภาพ ผมต้องการทั้งสองอย่าง ผมต้องการได้ปลาใหญ่ที่สุด และต้องการได้ปลามากที่สุดด้วย คริสตจักรทุกแห่งควรปรารถนาที่จะประกาศให้มากที่สุด พร้อมกับช่วยคนเหล่านั้นให้เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณมากที่สุดด้วย
ความจริงที่ศิษยาภิบาลมากมายอยากมองข้ามคือ คุณภาพทำให้เกิดปริมาณ คริสตจักรที่เต็มไปด้วยคนที่รับการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ จะดึงดูดคนอื่นเข้ามา ถ้าคุณศึกษาคริสตจักรต่าง ๆ ที่แข็งแรง คุณจะพบว่าเมื่อพระเจ้าพบคริสตจักรที่มีคุณภาพในการนำคนมาเชื่อ เลี้ยงดู สร้างคน และ ส่งออก พระองค์ก็จะส่งคนมาที่นั่นอีกเป็นจำนวนมาก พูดอีกอย่างคือ ทำไมพระเจ้าต้องส่งคนมากมายไปยังคริสตจักรที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับคนเหล่านั้น
คริสตจักรใดที่มีสมาชิกได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิต ชีวิตสมรสได้รับการช่วยกู้ และความรักหลั่งไหลออกไปอย่างเสรี คุณจะต้องปิดประตูถึงจะกันคนเข้ามาได้ คนจะอยากมาคริสตจักรที่มีการนมัสการ การเทศนา การรับใช้และสามัคคีธรรมที่มีคุณภาพ คุณภาพดึงดูดปริมาณ ศิษยาภิบาลทุกคนต้องถามคำถามยาก ๆ แก่ตัวเองหากสมาชิกส่วนใหญ่ของคริสตจักรไม่เคยนำใครมาคริสตจักรเลยว่า พวกเขากำลังบอกอะไร (ผ่านการกระทำ) เกี่ยวกับคุณภาพในสิ่งที่คริสตจักรหยิบยื่นให้
มันก็เป็นความจริงด้วยว่า ปริมาณทำให่เกิดคุณภาพ ในบางด้านคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ยิ่งคริสตจักรของคุณใหญ่ขึ้น ดนตรีของคุณก็ยิ่งดีขึ้น คุณอยากร้องเพลงร่วมกับ 11 คน หรือ 1,100 คน คุณอยากร่วมกลุ่มคนโสดที่มี 2 คน หรือ 200 คน
บางคริสตจักรแก้ตัวเรื่องการไม่เติบโตยืนยันว่า คริสตจักรยิ่งเล็ก ก็ยิ่งรักษาคุณภาพได้ดี นี่เป็นเหตุผลที่ผิด ถ้าคุณภาพขึ้นอยู่กับขนาดเล็ก ถ้าเช่นนั้นแล้วคริสตจักรที่มีคุณภาพสูงสุด คือ คริสตจักรที่มีปริมาณเพียงคนเดียว ตรงกันข้าม ก่อนที่ผมเริ่มคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมใช้เวลามากมายในคริสตจักรเล็ก ผมสังเกตเห็นว่า เหตุผลหนึ่งที่คริสตจักรจำนวนมากยังคงขนาดเล็ก ก็เนื่องจากการทำงานรับใช้ในคริสตจักรเหล่านี้มีคุณภาพน้อย ขนาดและคุณภาพไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แปรผันกัน
ถ้าพ่อแม่ของคุณใช้ความเข้าใจผิด ๆ เรื่องคุณภาพกับปริมาณนี้ในการมีลูกจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหลังจากมีลูกคนแรก พวกท่านพูดว่า "ลูกคนเดียวพอแล้ว ให้เราเน้นที่การทำให้เด็กคนนี้มีคุณภาพ อย่าไปสนใจเรื่องปริมาณ" ถ้าพวกท่านคิดเช่นนั้นพวกเราส่วนใหญ่คงไม่ได้เกิดมา
คริสตจักรที่ไม่สนใจในการเพิ่มจำนวนคนกลับใจใหม่ ก็กำลังกล่าวกับโลกนี้ว่า "เชิญพวกคุณทั้งหมดไปลงนรกได้เลย" ถ้าลูกสามคนของหลงหายไปในป่า ผมและภรรยาจะทุ่มเทตามหาลูกที่หายไป เมื่อเราพบลูกคนหนึ่ง เรายังจะไม่เลิกค้นหาหรือจดจ่อกับ "คุณภาพ" คือ ลูกคนเดียวที่เราเหลืออยู่ เราจะไม่หยุดหาตราบใดที่ลูกคนหนึ่งยังหลงทางอยู่
ในกรณีคริสตจักร ตราบใดที่ยังมีผู้คนหลงหายในโลก เราต้อง ใส่ใจ ในเรื่องปริมาณเท่า ๆ กับคุณภาพ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรานับจำวนคนเพราะว่าคนมีความสำคัญ ตัวเลขเหล่านั้นแสดงถึงจำนวนคนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่มีคนพูดว่า "คุณไม่สามารถวัดความสำเร็จที่จำนวน" ผมก็จะตอบว่า "มันขึ้นอยู่กับว่าคุณนับอะไร" ถ้าคุณนับชีวิตสมรสที่ได้รับการช่วยกู้ ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง นับคนหัวใจแตกสลายที่ได้รับการรักษา นับคนไม่เชื่อที่กลายเป็นผู้นมัสการพระเยซู และจำนวนสมาชิกที่ได้รับการระดมเพื่อรับใช้และทำพันธกิจ ตัวเลขก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มันมีความหมายสำหรับนิรันดร์กาล
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 4
คุณต้องประนีประนอมข่าวประเสริฐและ
พันธกิจของคริสตจักรเพื่อจะเติบโต
ความเชื่อผิด ๆ ที่แพร่หลายนี้กำลังบอกอ้อม ๆ ว่า ผู้นำในคริสตจักรที่เติบโตต้อง "เทขาย" ข่าวประเสริฐเพื่อจะเติบโต ข้อสันนิษฐานนี้สรุปว่า ถ้าคริสตจักรไหนดึงดูดคน คริสตจักรนั้นย่อมตื้นและขาดการอุทิศชีวิต สรุปว่า การที่มีคนมากแสดงว่าข่าวประเสริฐที่นั่น "ลดความเข้มข้นลง"
แน่นอน มีตัวอย่างของคริสตจักรที่เติบโตโดยศาสนศาสตร์ผิด ๆ การอุทิศตัวตื้น ๆ และเล่ห์เหลี่ยมอย่างโลภ แต่การที่มีคนมากก็ไม่ได้บอกโดยอัตโนมัติว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น มีคริสตจักรไม่กี่แห่งที่ประนีประนอมข่าวประเสริฐและพันธกิจของตน แต่คริสตจักรมากมายที่เหมือนคริสตจักรแซดเดิลแบ็คกลับถูกจัดให้อยู่ในประเภทนั้นอย่างไม่ยุติธรรม เนื่องจากขนาดของเรา
พันธกิจของพระเยซูดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก ทำไมหรือ ก็เพราะข่าวประเสริฐเป็นข่าวดี และเมื่อกล่าวอย่างชัดเจนก็มีพลังดึงดูด พระเยซูตรัสว่า "เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา" (ยอห์น 12.32) ไม่เพียงผู้ใหญ่เท่านั้นที่อยากอยู่ใกล้พระเยซู เด็กเล็ก ๆ ก็เหมือนกัน คริสตจักรที่เป็นเหมือนพระคริสต์ก็จะมีพลังดึงดูดแบบเดียวกัน
พระเยซูทรงดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก แต่พระองค์ไม่เคยลดหย่อนความจริงไม่มีใครกล่าวหาพระองค์ได้ว่าพระองค์ลดความเข้มข้นของข่าวประเสริฐ นอกจากพวกปุโรหิตขี้อิจฉา ซึ่งตำหนิพระองค์ด้วยความริษยา (มาระโก 15:12) พูดตามตรงคือ ผมสงสัยว่า แรงจูงใจที่ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์คริสตจักรที่ดึงดูดคนมากมาย คือ ความอิจฉา
อย่าสับสนกับความคาดหวัง
อีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนคิดว่า คริสตจักรใหญ่ไม่ลึก ก็เพราะเขาสับสนกับสิ่งที่ผู้ร่วมประชุมซึ่งเป็นคนไม่เชื่อคาดหวัง และกับสิ่งที่สมาชิกจริง ๆ คาดหวัง นี่คือคน 2 กลุ่มที่ต่างกัน ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราใช้คำว่า "ฝูงชน" และ "คริสตจักร" เพื่อแยกสองกลุ่มนี้ออกจากกัน
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราไม่ได้คาดหวังว่าคนไม่เชื่อจะต้องทำตัวเหมือนผู้เชื่อจนกว่าเขาจะเชื่อ เราไม่คาดหวังให้ฝูงชนทำตัวเหมือนสมาชิก เราคาดหวังน้อยมากจากคนที่แสวงหาพระคริสต์ เราแค่กล่าวเช่นเดียวกับที่พระเยซูตรัสเมื่อพระองค์พบสาวกสองคนเป็นครั้งแรก คือ "มาดูเถิด" เราเชิญคนที่ไม่เชื่อให้มาลองดูเรา เพื่อให้เขารู้ด้วยตัวเองว่าคริสตจักรเป็นอย่างไร
ตรงกันข้าม เราเรียกร้องการอุทิศตัวอย่างมากจากคนที่ต้องการ เป็นสมาชิกคริสตจักรเรา ผมจะกล่าวถึงรายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 17 ผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกทุกคนต้องเรียนชั้นเรียนสมาชิกใหม่ และต้องลงนามในพันธสัญญาสมาชิก ในสัญญานั้น สมาชิกต้องตกลงที่จะถวายทรัพย์ ทำงานรับใช้ เป็นพยาน ติดตามผู้นำ หลีกเลี่ยงการนินทา รักษาชีวิตในพระเจ้า และอื่น ๆ คริสตจักรแซดเดิลแบ็คมีการลงวินัย ซึ่งเราได้ยินคำนี้น้อยมากในปัจจุบัน ถ้าคุณไม่ทำตามพันธสัญญาสมาชิก คุณก็ต้องออกจากการเป็นสมาชิก เราคัดชื่อออกจากทะเบียนนับร้อย ๆ ชื่อทุกปี
สมาชิกใหม่ต้องตลงที่จะเข้าเรียนเพิ่มขึ้น พวกเขาจะลงนามในพันธสัญญาการเติบโต ซึ่งรวมถึงการถวายสิบลด การเฝ้าเดี่ยวทุกวัน และการเข้าร่วมกลุ่มย่อยทุกสัปดาห์ เหตุผลที่แซดเดิลแบ็คไม่ค่อยจะมีคนย้ายมาก็เพราะเราเรียกร้องจากสมาชิกของเรามากกว่าคริสตจักรส่วนใหญ่
ผมพบว่า การท้าทายให้คนทุ่มเทจริงจัง จะดึงดูดคน ไม่ใช่ไล่คนออกไป ยิ่งเราเรียกร้องมาก เราก็ยิ่งได้รับการตอบสนองมาก คนที่ไม่เชื่อจำนวนมากเบื่อหน่ายกับสิ่งที่โลกเสนอให้ พวกเขามองหาสิ่งที่ใหญ่กว่าตนเอง สิ่งที่มีค่าพอจะมอบชีวิตให้
การเรียกร้องให้คนอุทิศตัวไม่ได้ทำให้คนไม่พอใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจคือ วิธี ที่คริสตจักรใช้เรียกร้อง บ่อยครั้ง คริสตจักรไม่อธิบายเป้าหมาย คุณค่าและประโยชน์ของการอุทิศชีวิต และไม่มีกระบวนการที่ช่วยให้สมาชิกค่อย ๆ ก้าวทีละก้าวในการอุทิศ
ทันสมัยโดยไม่ต้องโอนอ่อน
ใครก็ตามที่จริงจังในการทำพันธกิจ ไม่ใช่แค่พูดทฤษฎี จะต้องเต็มใจใช้ชีวิตภายใต้ความกดดัน ซึ่งบรู๊ซและมาร์แชล เชลลีย์เรียกว่า "การทรงเรียกสองด้านของเรา" ด้านหนึ่ง เราต้องคงสัตย์ซื้อต่อพระวจนะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า อีกด้านหนึ่ง เราต้องรับใช้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น่าเศร้าที่คริสเตียนจำนวนมากไม่เต็มใจจะใช้ชีวิตในความกดดันทั้งสองนี้ และตกขอบไปด้านใดด้านหนึ่ง
บางคริสตจักรกลัวอิทธิพลของโลก จึงหลบและแยกตัวออกจากสังคมปัจจุบันขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถอยหลังไปไกลอย่างพวกอามิช แต่ดูเหมือนคริสตจักรมากมายคิดว่าช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นยุคทอง และตั้งใจจะรักษายุคนั้นไว้ในคริสตจักรสิ่งที่ผมยกย่องพวกอามิชคือ อย่างน้อยพวกเขาก็จริงใจในเรื่องนี้ พวกเขายอมรับอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาได้เลือกที่จะรักษาวิถีชีวิตอย่างทศวรรษที่ 1800 ในทางตรงกันข้าม คริสตจักรที่พยายามรักษาวัฒนธรรมของทศวรรษ 1950 มักจะไม่ยอมรับความตั้งใจของตนเอง หรือไม่ก็พยายามจะหาคำยืนยันจากพระคัมภีร์ว่า พวกเขากำลังทำตามคริสตจักรในยุคพระคัมภีร์ใหม่
แล้วก็มีพวกที่กลัวจะไม่ทันสมัย พวกเขาเลียนแบบแฟนชั่นล่าสุดอย่างโง่เขลา โดยความพยายามที่จะเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมปัจจุบัน พวกเขาลดหย่อนข่าวประเสริฐและสูญเสียความรู้สึกของการแยกออกจากโลก บ่อยครั้ง คริสตจักรเหล่านี้เทศนาโดยเน้นที่ผลประโยชน์ของข่าวประเสริฐ แต่ละเลยความรับผิดชอบและเสียสละในการติดตามพระคริสต์
มีทางที่เราจะรับใช้ในสังคมโดยไม่ประนีประนอมความเชื่อของเราหรือไม่ ผมเชื่อว่ามี และผมจะกล่าวถึงเรื่องนี้ในบทที่ 12 ทางออกนั้นก็คือ การทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ในการรับใช้ผู้อื่น พระเยซูไม่เคยลดมาตรฐาน แต่พระองค์เริ่มต้นจากสภาพที่คนเหล่านั้นเป็นอยู่ พระองค์ทันสมัยโดยไม่ประนีประนอมความจริง
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 5
ถ้าคุณอุทิศตัวพอ คริสตจักรของคุณจะเติบโต
นี่เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่ชอบเผยแพร่กันในงานสัมมนาศิษยาภิบาล วิทยากรพูดอ้อม ๆ อย่างเคร่งศาสนาว่า ถ้าคริสตจักรของคุณไม่เติบโต ปัญหาก็อยู่ที่คุณขาดการทุ่มเท พวกเขาบอกว่า "ถ้าคุณรักษาหลักข้อเชื่อให้ถูกต้อง เทศนาพระวจนะ อธิษฐานมากขึ้น และทุ่มเท คริสตจักรของคุณก็จะระเบิดการเติบโตออกมา" มันฟังดูเรียบง่ายและก๋เป็นฝ่ายวิญญาณมาก แต่มันไม่จริงเลย แทนที่จะได้รับการหนุนใจจากสัมมนาเหล่านี้ ศิษยาภิบาลหลายคนรู้สึกผิดมากขึ้น และรู้สึกทำไม่ได้และผิดหวังมากขึ้น
ผมรู้จักศิษยาภิบาลนับร้อยที่คริสตจักรของเขาไม่เติบโต ทั้งที่พวกเขาสัตย์ซื่อในพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ พวกเขาเทศนาอย่างหนักแน่น และทุ่มเทอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คริสตจักรยังไม่ยอมเติบโต มันเท่ากับดูถูกพวกเขา ถ้าเราบอกว่าปัญหาของเขาคือ เขาขาดการทุ่มเท คำพูดแบบนี้ทำให้ผมโกรธได้ง่าย เพราะคนเหล่านี้เป็นศิษยาภิบาลที่ดี รักพระเจ้าและรับใช้พระองค์สุดใจ
การทำให้คริสตจักรเติบโตต้องใช้มากกว่าการทุ่มเท มันต้องใช้ ทักษะ พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ปัญญาจารย์ 10:10 "ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่สติปัญญาจะช่วยให้บรรลุความสำเร็จ" สังเกตนะครับพระเจ้าบอกว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จต้องใช้ ทักษะ ไม่ใช่แค่การทุ่มเท ถ้าผมต้องผ่าฟืน ผมจะทำได้ดีขึ้น หากผมลับขวานเสียก่อน หมายความว่า ทำงานให้ฉลาดขึ้นไม่ใช่หนักขึ้น
จงใช้เวลาเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการรับใช้ คุณจะประหยัดเวลาในระยะยาวและประสบความสำเร็จมากกว่าหลายเท่า จงลับขวานแห้งการรับใช้ของคุณโดยการอ่านหนังสือ ร่วมสัมมนา ฟังเทป และ สังเกตแบบอย่างที่ได้ผล คุณไม่ได้เสียเวลาเมื่อคุณลับขวานของคุณ เพราะทักษะจะทำให้งานสำเร็จ
คริสตจักรเรามีนักบินอาชีพหลายคน พวกเขาขับเครื่องบินให้สายการบินใหญ่ ๆ พวกเขาบอกผมว่า ไม่ว่าเขาเป็นนักบินมานานแค่ไหน บริษัทกำหนดให้พวกเขาใช้เวลา 1 สัปดาห์เพื่อฝึกใหม่ และพัฒนาทักษะปีละ 2 ครั้ง พอผมถามว่าทำไมต้องทำบ่อยขนาดนั้น คำตอบก็คือ "เพราะชีวิตของผู้โดยสารขึ้นอยู่กับทักษะของเรา" เรื่องนี้ก็จริงสำหรับการรับใช้ด้วย ควรที่เราจะใส่ใจพัฒนาทักษะของเราน้อยกว่าพวกเขาหรือ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราจัดสัมมนาเบื้องต้นสำหรับผู้นำคริสตจักรและศิษยาภิบาลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของเราจะคุ้นเคยกับนิมิต ยุทธวิธีและโครงสร้างของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คดี แต่ผมก็กำหนดให้ทุกคนเข้าร่วมสัมมนา เราทุกคนต้องจุดไฟให้นิมิตเราใหม่ และพัฒนาทักษะให้เฉียบคมอยู่เสมอ
เหตุผลที่อัครทูตเปาโลเกิดผลมากในการตั้งและพัฒนาคริสตจักร ก็เพราะมีเชียวชาญทักษะในงานนี้ ท่านยอมรับเรื่องนี้ใน 1 โครินธ์ 3:10 ว่า "โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ" เปาโลเป็นนายช่างผู้ชำนาญในการสร้างคริสตจักร ท่านไม่ได้เป็นช่างที่สร้างตามอำเภอใจ และได้งานคุณภาพต่ำ ท่านไม่เพียงแต่ทุ่มเทให้กับงานเท่านั้น แต่ท่านชำนาญทักษะการใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง ถ้ากล่องเครื่องมือในงานรับใช้ของคุณมีแต่ค้อน คุณมีแนวโน้มที่จะถือว่าทุกสิ่งเป็นตะปู
พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการรับใช้กับการทำนา อีกอาชีพหนึ่งที่ต้องอาศัยทักษะ ชาวนาไม่เพียงทุ่มเทและทำงานหนัก แต่เขาก็ต้องมีทักษะในการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ถ้าเขาพยายามเก็บข้าวโพดด้วยเครื่องเก็บข้าวสาลี เจาก็จะล้มเหลว ถ้าเขาพยายามเก็บมะเขือเทศด้วยเครื่องเก็บฝ้าย มันก็จะเลอะเทอะมาก งานรับใช้ที่ประสบความสำเร็จก็เหมือนการทำนา คุณต้องมีมากกว่าการทุ่มเทและการทำงานหนัก คุณต้องมีทักษะ จังหวะเวลา และเครื่องมือที่เหมาะสม
หลายครั้งการแก้ปัญหาแบบตื้น ๆ ก็แฝงตัวในคำพูดที่ฟังดูร้อนรน จนคนฟังยากจะคัดค้าน เพราะคัดค้านแล้วจะดูเหมือนไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณทแต่ต้องมีคนกล้าพูดให้ชัดเจนว่า การอธิษฐานเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้คริสตจักรเติบโต ผมได้รู้จักศิษยาภิบาลบางคนที่เป็นนักอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่ แต่สมาชิกของคริสตจักรกำลังจะตาย
แน่นอน การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ทุกย่างก้าวของการสร้างคริสตจักรแซดเดิลแบ็คชุ่มฉ่ำไปด้วยคำอธิษฐาน ที่จริง ผมมีกลุ่มคนที่อธิษฐานเผื่อผม ขณะที่ผมเทศนา ทั้ง 4 รอบทุกสุดสัปดาห์ พันธกิจที่ขาดการอธิษฐานคือ พันธกิจที่ขาดฤทธิ์เดช แต่การทำให้คริสตจักรเติบโตต้องมีมากกว่าการอธิษฐาน มันต้องมีการทำงานด้วยความชำนาญ ครั้งหนึ่ง พระเจ้าบัญชาให้โยชูวาหยุดอธิษฐานเรื่องความล้มเหลวของตน และให้ลุกขึ้นแก้ไขปัญหา (โยชูวา 7) มีเวลาสำหรับการอธิษฐาน และมีเวลาสำหรับการกระทำอย่างมีความรับผิดชอบ
เราต้องระวังไม่ให้ตกขอบไปด้านใดด้านหนึ่งในการรับใช้ ด้านหนึ่งคือ รับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดในการทำให้คริสตจักรเติบโตมาเป็นของตนเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ ปัดความรับผิดชอบทั้งหมด ผมเป็นหนี้ โจ เอลลิส อย่างมาก เพราะเขาบอกถึงการตกขอบสองแบบนี้ ทั้งสองอย่างเป็นอันตรายต่อคริสตจักรมาก
ประการแรก เราต้องหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ว่า การทำให้คริสตจักรเติบโตนั้นอาศัยเพียงการบริหาร การจัดการ และการตลาด คริสตจักรไม่ใช่ธุรกิจ ผมได้คุยกับศิษยาภิบาลบางคนที่ทำราวกับว่าคริสตจักรเป็นเพียงหน่อยงานของมนุษย์ และก็เสริมด้วยการอธิษฐานเล็กน้อยพอเป็นพิธี หลังจากฟังพวกเขาพูด ผมก็สังเกตว่า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวข้องกับงานทั้งหมดนี้ตรงไหน
น่าเสียดายที่หลาย ๆ คริสตจักรมีรวีวารศึกษาที่มีมาตรฐาน มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ และมีสภาพการเงินที่ลงตัว แต่ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในคริสตจักรเหล่านี้ และมีน้อยคนที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
แผนงาน โครงการ และวิธีการทั้งหมดของเราล้วนไร้ค่า หากปราศจากการเจิมของพระเจ้า สดุดี 127 กล่าวว่า "ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อเปล่า" คริสตจักรไม่อาจจะสร้างด้วยกำลังมนุษย์อย่างเดียว เราต้องไม่ลืมว่านี่เป็นคริสตจักรของใคร พระเยซูตรัสว่า "เราจะสร้างคริสตจักรของเรา"
อีกด้านหนึ่ง เราต้องหลีกเลี่ยงคว่มผิดพลาดที่ว่า ไม่มีอะไรเลย ที่เราจะทำได้เพื่อช่วยให้คริสตจักรเติบโต ความเข้าใจผิดนี้แพร่หลายมากในเวลานี้ ศิษยาภิบาลและนักศาสนศาสตร์บางคนเชื่อว่า การวางแผน การบริหาร การประชาสัมพันธ์และความพยายามใด ๆ ล้วนไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณ หรือบางคนถึงบอกว่าเป็นบาป แถมยังบอกว่าบทบาทเดียวสำหรับเราคือ นั่งและคอยดูพระเจ้าทรงทำเอง คุณจะพบคำสอนประเภทนี้มากในวรรณกรรมเกี่ยวกับการฟื้นฟู พวกเขาพยายามด้วยความจริงใจที่จะเน้นการทำงานของพระเจ้า แต่ความพยายามทั้งสิ้นของมนุษย์ถูกดูหมิ่น ความคิดแบบนี้ทำให้เรามีผู้เชื่อที่นิ่งเฉย และมักกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับคริสตจักรที่ล้มเหลวในการเติบโต
พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าประทานบทบาทสำคัญแก่เราในการทำให้น้ำพระทัยของพระองค์ในโลกนี้สำเร็จ การเติบโตของคริสตจักรเป็นการร่วมงานกันระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ คริสตจักรเติบโตโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านทางการทำงานด้วยความชำนาญของมนุษย์ เราไม่สามารถทำงานนี้โดย ปราศจากพระเจ้า แต่พระองค์ก็เจตนาที่จะทำงานนี้โดย ปราศจากเรา พระเจ้าทรงใช้มนุษย์เพื่อทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ
เปาโลชี้ให้เห็นถึงการร่วมงานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เมื่อท่านได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต… เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า" (1 โครินธ์ 3:6,9) พระเจ้าทรงทำส่วนของพระองค์หลังจากที่เปาโลและอปอลโลทำส่วนของพวกเขา
พระคัมภีร์ใหม่เต็มไปด้วยตัวอย่างการเติบโตของคริสตจักร ซึ่งเป็นไปตามหลักการนี้ คือ การปลูกและการดูแลสวนของพระเจ้า (1 โครินธ์ 3:5-9) การสร้างตึกของพระเจ้า (1 โครินธ์ 3:10-13) การเก็บเกี่ยวในทุ่งนาของพระเจ้า (มัทธิว 9:37-38) การเติบโตของพระกายของพระคริสต์ (โรม 12:4-8, เอเฟซัส 4:16)
สำหรับตัวอย่างในพระคัมภีร์เดิม เราสามารถดูในหนังสือกันดารวีถี พระเจ้าบัญชาให้อิสราเอลยึดแผ่นดิน พระองค์ไม่ได้ทำงานให้พวกเขา แต่พระองค์ให้พวกเขามีส่วนและมีบทบาท คนอิสราเอลล้มตายในถิ่นทุรกันดารเพราะความกลัวและไม่รุกหน้าขณะที่เรารอคอยให้พระเจ้าทำงาน เพื่อ เรา พระองค์ก็รอคอยที่จะทำงาน ผ่าน เรา
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 6
มีเคล็ดลับอย่างเดียวที่คริสตจักรจะเติบโต
การเติบโตของคริสตจักรเป็นเรื่องซับซ้อน น้อยครั้งที่เกิดขึ้นโดยปัจจัยเดียว เมื่อไรก็ตามที่คุณได้ยินศิษยาภิบาลอ้างว่าการเติบโตของคริสตจักรของเขานั้นเกิดจากปัจจัยเดียว คุณก็พึงรู้ไว้ว่า เขากำลังมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเกินไป หรือไม่เขาก็มองไม่เห็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้คริสตจักรเติบโต
จากการพูดคุยกับผู้นำคริสตจักรที่มารับการอบรมที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมได้เห็นข้อเท็จจริงพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับคริสตจักร ซึ่งเจ้าหน้าที่ของผมเรียกสิ่งนี้ว่า "กฏการเติบโตของริค"
ประการที่ 1 การทำให้คริสตจักรเติบโตนั้นมีมากกว่าหนึ่งวิธี ผมสามารถชี้ให้เห็นคริสตจักรที่ใช้กลยุทธ์ตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งสองแห่งเติบโต บางคริสตจักรเติบโตผ่านรวีวารศึกษา บางแห่งก็ใช้กลุ่มย่อยตามบ้าน บางแห่งเติบโตโดยการใช้ดนตรีร่วมสมัย บางแห่งเติบโตโดยใช้ดนตรีเก่า บางคริสตจักรมีการเยี่ยมเยียนเป็นระบบ บางแห่งไม่มีเลย
ประการที่ 2 ต้องใช้คริสตจักรที่แตกต่างกันเข้าถึงคนที่แตกต่างกัน ขอบคุณพระเจ้าที่เราทุกคนไม่เหมือนกัน พระเจ้าชอบความหลากหลาย หากทุกคริสตจักรเหมือนกันหมด เราจะเข้าถึงเพียงแค่ส่วนเล็กน้อยของโลกนี้ เฉพาะเรื่องดนตรีอย่างเดียว คุณลองนึกสิครับว่าเราต้องใช้ดนตรีกี่รูปแบบเพื่อจะเข้าถึงคนทั้งโลกซึ่งอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นาน ๆ ครั้งผมจะได้ยินคนพูดว่า ทุกคริสตจักรควรรวมกันอยู่ในคณะเดียวเพื่อเราจะเหมือนกันหมด ผมไม่เห็นด้วยเลย ผมคิดว่าการมีรูปแบบหลากหลายเป็นข้อดี ไม่ใช่ข้อเสีย พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่ต่างกันเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่ต่างกัน
ผมไม่ได้พูดถึงคริสตจักรที่เบี่ยงเบนจากความจริงในพระคัมภีร์ ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หนังสือยูดากล่าวว่า "…หลักคำสอนที่เชื่อกันอยู่ ที่ได้ทรงโปรดมอบไว้แก่ธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอนั้น" (ยูดา 1:3) อย่าสับสนเรื่องวิธีการกับเนื้อหา เนื้อหาต้องไม่มีวันเปลี่ยน แต่วิธีการต้องเปลี่ยนไปตามแต่ละชั่วอายุคน
ประการที่ 3 อย่าตำหนิสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพร แม้ว่ามันจะเป็นรูปแบบการรับใช้ที่คุณรู้สึกอึดอัด มันน่าประหลาดใจที่พระเจ้ามักอวยพรคนที่ผมไม่เห็นด้วยหรือไม่เข้า ดังนั้นผมยึดท่าทีว่า ถ้าชีวิตผู้คนได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซคริสต์ ผมก็จะชอบสิ่งที่คุณทำอยู่
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 7
สิ่งเดียวที่พระเจ้าคาดหวังจากเราคือ ความสัตย์ซื่อ
ประโยคนี้จริงเพียงครึ่งเดียว พระเจ้าคาดหวังทั้งความสัตย์ซื่อและการเกิดผลด้วย การเกิดผลเป็นเรื่องหลักในพระคัมภีร์ใหม่ ลองพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
พระคริสต์ทรงเรียกเราให้เกิดผล "ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่" (ยอห์น 15:16) พระเจ้าต้องการเห็นผลที่คงทนถาวรจากงานรับใช้ของเรา
การเกิดผลเป็นวิธีที่เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า "พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือ เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 15:8) งานรับใช้ที่ไม่เกิดผลไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่การเกิดผลพิสูจน์ได้ว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์
การเกิดผลเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า "เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า" (โคโลสี 1:10)
พระเยซูทรงเตรียมการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับต้นไม้ที่ไม่เกิดผล และพระองค์ทรงสาปต้นไม้เพราะมันไม่เกิดผล "และเมื่อทอดพระเนตรไป ทรงเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ก็ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ เห็นมะเดื่อนั้นไม่มีผลมีแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า "เจ้าจงอย่าผลิผลอีกต่อไป" ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป" (มัทธิว 21:19) พระเยซูมิได้ทำสิ่งนี้เพื่อโอ้อวด แต่เพื่อสอนว่า พระองค์คาดหวังการเกิดผล
อิสราเอลสูญเสียสิทธพิเศษเพราะว่าไม่เกิดผล "เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน ยกให้แก่ชนชาติหนึ่งซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น" (มัทธิว 21:43) หลักการเดียวกันนี้ก็สามารถใช้ได้กับคริสตจักรแต่ละแห่ง ผมเห็นพระเจ้ายกพระหัตถ์แห่งการอวยพรออกจากคริสตจักรที่เคยได้รับพระพรมากมายในอดีต เพราะพวกเขากลายเป็นคริสตจักรที่พึงพอใจในตัวเองสนใจแต่ตัวเอง และหยุดเกิดผล
การเกิดผลคืออะไร มีการใช้คำว่า ผล หรือ คำที่ใกล้เคียงกัน 55 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ และหมายถึงผลลัพธ์หลายอย่าง พระเจ้าถือว่าสิ่งต่อไปนี้เป็นผลการกลับใจ (มัทธิว 3:8, ลูกา 13:5-9) การกระทำตามความจริง (มัทธิว 7:16-21, โคโลสี 1:10) คำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ (ยอห์น 15:7-8) การถวายทรัพย์โดยผู้เชื่อ (โรม 15:28) ลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ และการนำคนไม่เชื่อมาหาพระคริสต์ (โรม 1:13) เปาโลกล่าวว่า ท่านต้องการเทศนาในโรม "เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่น เดียวกับในหมู่ชนชาติอื่น ๆ" (โรม 1:13) ผลของผู้เชื่อคือ ผู้เชื่ออีกคนหนึ่ง
เมื่อได้พิจารณาพระมหาบัญชาที่พระเยซูประทานแก่คริสตจักร ผมเชื่อว่านิยามการเกิดผลสำหรับคริสตจักรท้องถิ่นต้องครอบคลุมถึงการเติบโตโดยการกลับใจของคนไม่เชื่อ เปาโลเรียกผู้เชื่อรุ่นแรก ๆ ในแคว้นอาคายาว่า "ผลรุ่นแรกในแคว้นอาคายา" (1 โครินธ์ 16:15) (คำแปลในพระคัมภีร์ฉบับนิว อเมริกัน สแตนดาร์ด)
พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า การเพิ่มจำนวนคนในคริสตจักรเป็นผล คำอุปมาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าหลายเรื่องของพระเยซูได้เน้นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าพระเจ้าทรงคาดหวังให้คริสตจักรของพระองค์เติบโต ยิ่งกว่านั้น เปาโลโยงการเกิดเข้ากับการเติบโตของคริสตจักร โคโลสี 1:6 กล่าวว่า "ดั่งที่กำลังเกิดผลและทวีขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับที่กำลังเป็นอยู่ในตัวท่านทั้งหลายด้วย ตั้งแต่วันที่ท่านได้ยิน…" คริสตจักรของคุณเกิดผลและเติบโตหรือไม่ คุณเกิดผลเป็นผู้เชื่อใหม่หรือไม่
พระเจ้าประสงค์ให้คริสตจักรของคุณมีทั้งความสัตย์ซื่อและการเกิดผล ถ้ามีอย่างเดียวก็เป็นสมการเพียงด้านเดียว เราเอาจำนวนคนมาเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการไม่สัตย์ซื่อต่อคำสอนไม่ได้ แต่การสัตย์ซื่อก็ไม่อาจเป็นข้อแก้ตัวเรื่องความไม่เกิดผลเช่นกัน คริสตจักรที่มีการกลับใจน้อยหรือไม่มีเลยมักพยายามแก้ตัวเรื่องความไม่เกิดผลของตนด้วยคำพูดว่า "พระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้ประสบความสำเร็จ พระองค์เรียกเราให้สัตย์ซื่อเท่านั้น" ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะพระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าพระเจ้าคาดหวังทั้งสองอย่าง
เรื่องยากก็คือ คุณจะนิยามคำว่า ประสบความสำเร็จ และ สัตย์ซื่อ อย่างไร ผมนิยาม ประสบความสำเร็จ ว่า เป็นการทำให้มหาบัญชาสำเร็จ พระเยซูประทานงานให้คริสตจักร ถ้าเราทำไม่สำเร็จ เราก็ล้มเหลว เมื่อใช้คำนิยามนี้ ทุกคริสตจักรควรต้องการประสบความสำเร็จ แล้วอีกทางเลือกหนึ่งคืออะไรล่ะ สิ่งที่ตรงข้ามกับความสำเร็จนั้นไม่ใช่ความไม่สัตย์ซื่อ แต่เป็นความล้มเหลว คริสตจักรใดที่ไม่เชื่อฟังพระมหาบัญชาก็ล้มเหลวต่อเป้าหมาย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอื่นอีกก็ตาม
แล้ว ความสัตย์ซื่อ คืออะไร เรามักจะนิยามคำนี้ในแง่ความเชื่อ เราคิดว่าถ้าเรามีความเชื่อที่ถูกต้อง เราก็กำลังทำตามพระบัญชาพระคริสต์ที่ให้เราอย่างสัตย์ซื่อแล้ว เราเรียกตัวเองว่า "ผู้ปกป้องความเชื่อ" แต่เมื่อพระเยซูทรงใช้คำนี้ พระองค์ไม่ได้หมายความแค่การยึดถือความเชื่อ พระองค์ใช้คำว่าความสัตย์ซื่อในความหมายของพฤติกรรม คือ ความเต็มใจที่จะเสี่ยงเพื่อจะเกิดผล (ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ)
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือ คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ในมัทธิว 25:14-30 เจ้านายเรียกชายสองคนซึ่งเพิ่มตะลันต์ของนายเป็นสองเท่าว่า "ทาสดีและสัตย์ซื่อ" กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาพิสูจน์ความสัตย์ซื่อโดยการเสี่ยงซึ่งทำให้เกิดผล พวกเขาประสบความสำเร็จในงานที่ได้รับมอบหมาย และได้รับบำเหน็จจากเจ้านาย
คนใช้ที่กลัวและเฉยเมยไม่ได้ทำอะไรกับตะลันต์ที่เขาได้รับ เขาไม่เกิดผลสำหรับเจ้านายเพราะว่าเขาไม่ยอมเสี่ยง นายเรียกเขาว่า "ข้าชั่วช้าและเกี่ยจคร้าน" ตรงข้ามกับชายสองคนที่เกิดผล ที่นายเรียกว่า "สัตย์ซื่อ" ประเด็นของเรื่องนี้ชัดเจนพระเจ้าคาดหวังผล ความสัตย์ซื่อของเราแสดงออกโดยผลของเรา
ความสัตย์ซื่อคือการทำให้สำเร็จด้วยทรัพยากรและตะลันต์ที่พระเจ้าประทานแก่คุณ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้การเปรียบเทียบระหว่างคริสตจักรเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องในการวัดความสำเร็จ เพราะพระคริสต์มิได้คาดหวังให้เราเกิดผล มากกว่า ที่เราทำได้แต่พระองค์คาดหวังให้เราเกิดผล มากที่สุด ที่เราสามารถทำได้โดยฤทธิ์ของพระองค์ซึ่งอยู่ภายในเรา นั่นคือเกิดผลมากกว่าที่พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปได้หลายเท่า เราคาดหวังจากพระเจ้าน้อยเกินไป และเราพยายามเพื่อพระองค์น้อยเกินไป ถ้าคุณไม่เสี่ยงอะไรเลยในงานรับใช้ คุณก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อ และถ้างานรับใช้ของคุณไม่ต้องใช้ความเชื่อ คุณก็ไม่สัตย์ซื่อ
คุณให้นิยามคำว่าความสัตย์ซื่ออย่างไร คุณกำลังสัตย์ซื่อต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือเปล่า ถ้าคุณยืนกรานที่จะสื่อสารด้วยรูปแบบที่หมดสมัยแล้ว คุณกำลังสัตย์ซื่อต่อพระวจนะหรือเปล่า ถ้าคุณยืนกรานจะรับใช้ด้วยวิธีที่คุณ สะดวก แต่เป็นวิธีที่ไม่เกิดผลสักนิด คุณกำลังสัตย์ซื่อต่อวจนะหรือเปล่า ถ้าคุณให้ความสำคัญกับประเพณีที่มนุษย์สร้างขึ้นมากกว่าการเข้าถึงคนอื่นเพื่อพระเจ้า ผมยืนยันได้เลยว่าเมื่อคริสตจักรยังคงใช้วิธีที่ไม่ได้ผล คริสตจักรก็กำลังไม่สัตย์ซื่อต่อพระคริสต์
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เวลานี้มีหลายคริสตจักรซึ่งมีความเชื่อถูกต้องทั้งหมด แต่ยังไม่สัตย์ซื่อต่อพระคริสต์เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะเปลี่ยนรายการ วิธีการ รูปแบบการนมัสการ อาคารหรือแม้แต่ทำเลที่ตั้ง เพื่อจะเข้าถึงโลกที่ไม่เชื่อพระเจ้า เวนซ์เฮฟเนอร์เคยกล่าวว่า "คริสตจักรอาจตรงเหมือนกับกระบอกปืนในเรื่องหลักข้อเชื่อแต่ยังว่างเปล่าฝ่ายวิญญาณ" เราต้องเต็มใจที่จะกล่าวด้วยใจที่ไม่สงวนสิ่งใดไว้จากพระเยซูว่า "เราจะยอมทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อนำคนมาถึงพระคริสต์"
ความเชื่อผิด ๆ ประการที่ 8
คุณไม่สามารถเรียนรู้จากคริสตจักรใหญ่
เรื่องการเติบโตของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คเป็นพระราชกิจที่เป็นสิทธิ์ขาดของพระเจ้า ซึ่งไม่อาจทำซ้ำลอกเลียนแบบได้ อย่างไรก็ตาม เรา ควร สกัดเอาส่วนที่เป็นบทเรียนและหลักการที่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ การมองข้ามสิ่งที่พระเจ้าสอนคริสตจักรของเราก็เท่ากับการเป็นคนต้นเรือนที่ไม่ฉลาด "ท่านทั้งหลายจงพิจารณาในวันนี้ เพราะข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับลูกหลานของท่านทั้งหลาย ผู้ไม่ได้รู้เรื่องหรือเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น" (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:2) ทุกคริสตจักรไม่ควรต้องเริ่มต้นคิดค้นใหม่ทั้งหมด
เมื่อใดก็ตามที่ผมเห็นรายการที่ใช้ได้ผลในอีกคริสตจักรหนึ่ง ผมจะพยายามสกัดเอาหลักการเบื้องหลังและนำมาใช้ในคริสตจักรของเรา เพราะเหตุนี้ คริสตจักรของเราจึงได้รับประโยชน์จากตัวอย่างมากมายที่เราได้ศึกษา ทั้งตัวอย่างที่ร่วมสมัยและตัวอย่างในประวัติศาสตร์ ผมขอบคุณตัวอย่างเหล่านี้ที่ได้ช่วยผม นานมาแล้วผมได้เรียนรู้ว่า ผมไม่จำเป็นคิดค้นทุกสิ่งด้วยตัวเองแล้วจึงจะใช้ได้ผล พระเจ้ามิได้เรียกเราให้คิดค้นทุกสิ่งด้วยตัวเอง พระองค์เรียกเราให้มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงในการลอกเลียนสิ่งที่ผิด ผมจะบอกว่าอะไรที่คุณนำไปใช้ได้จากตัวอย่างของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และอะไรที่นำไปใช้ไม่ได้
สิ่งที่คุณเลียนแบบไม่ได้
ประการที่ 1 คุณไม่สามารถเลียนแบบบริบทของเรา ทุกคริสตจักรอยู่ในบริบททางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนคริสตจักรอื่นใด แซดเดิลแบ็คตั้งอยู่กลางชานเมืองที่คับคั่งของแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เต็มไปด้วยครอบครัวใหม่หนุ่มสาวที่มีการศึกษา มันไม่ใช่เมืองพีออเรีย ในอิลลินอยส์ เมืองมูลชู ในเท็กซัส หรือแม้แต่เมืองลอสแอนเจลิสในแคลิฟอร์เนีย ทุกชุมชนมีความแตกต่าง การโคลนนิ่งคริสตจักรแซดเดิลแบ็คในอีกสภาพแวดล้อมหนึ่ง คือ สูตรแห่งความล้มเหลว แม้ว่าผมได้เตือนอย่างชัดเจนแล้วแต่บางคนก็ยังพยายามทำอย่างนั้น แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมไม่ได้ผล
ประการที่ 2 คุณไม่สามารถเป็นผม (ไม่มีคนสติดีที่ไหนต้องการจุดอ่อนของผม) ผมเท่านั้นที่เป็นผมได้ และคุณเท่านั้นที่เป็นคุณได้ นั่นคือวิธีที่พระเจ้าประสงค์เมื่อคุณไปสวรรค์ พระเจ้าจะไม่ตรัสว่า "ทำไมคุณไม่เป็นเหมือนริค วอร์เรน ให้มากกว่านี้" แต่เป็นไปได้ที่พระองค์จะตรัสว่า "ทำไมคุณไม่เป็นเหมือนคุณให้มากกว่านี้"
พระเจ้าทรงให้คุณเป็นตัวคุณเอง พระองค์ต้องการให้คุณใช้ของประทานของคุณ ความร้อนรนของคุณ ความสามารถตามธรรมชาติของคุณ บุคลิกของคุณ และประสบการณ์ของคุณ เพื่อสร้างผลกระทบต่อโลกในส่วนของคุณ เราทุกคนเริ่มต้นด้วยการเป็นต้นแบบ แต่น่าเสียดาย หลายคนลงเอยด้วยการเป็นของเลียนแบบคนอื่น คุณไม่สามารถทำให้คริสตจักรเติบโตได้โดยการพยายามเป็นคนอื่น
สิ่งที่คุณเรียนรู้ได้
ประการที่ 1 คุณสามารถเรียนรู้หลักการ มีคำโบราณกล่าวว่า "วิธีการมีมากมาย แต่หลักการมีน้อย วิธีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ แต่หลักการไม่เคยเปลี่ยน" ถ้าหลักการนั้นตรงกับพระคัมภีร์ ผมเชื่อว่าใช้ได้กับทุกที่ การเรียนรู้และใช้หลักการที่ได้จากการเฝ้าดูว่าพระเจ้ากำลังทำงานอย่างไรในโลกเป็นสิ่งที่ฉลาด คุณไม่สามารถทำให้คริสตจักรเติบโตได้โดยการพยายามเป็นคนอื่น แต่คุณสามารถทำให้คริสตจักรเติบโตโดยการใช้หลักการที่คนอื่นค้นพบ จากนั้นก็กลั่นกรองมันอีกทีหนึ่งผ่านทางบุคลิกและบริบทของคุณ
ผมไม่เคยสนใจที่จะผลิตโคลนนิ่งของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกชื่อท้องถิ่นสำหรับคริสตจักรของเรา แทนที่จะใช้ชื่อทั่วไปที่สามารถเลียนแบบได้ คุณใช้ชื่อ "คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค" ไม่ได้เว้นแต่คุณจะอยู่ในชุมชนของเรา คริสตจักรลูก 25 แห่งของเราไม่มีสักแห่งเดียวที่ทำพันธกิจเหมือนคริสตจักรแซดเดิลแบ็คทุกอย่าง ผมหนุนใจให้พวกเขากลั่นกรองสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากเราผ่านบริบทและบุคลิกของพวกเขา
พระเจ้าทรงมีพันธกิจเฉพาะสำหรับทุกคริสตจักร พระเจ้าทรงประทานให้คริสตจักรของคุณมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร แต่คุณสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างได้โดยไม่ต้องเป็นโคลนนิ่ง เราเรียนรู้ได้ดีที่สุดและเร็วที่สุดโดยการดูตัวอย่าง ยิ่งกว่านั้นส่วยใหญ่ของสิ่งที่เราเรียนรู้ในชีวิตก็เกิดจากการดูคนอื่น อย่าอายที่จะมีตัวอย่าง มันแสดงถึงความฉลาด สุภาษิต 18:15 กล่าวว่า "ใจที่มีความคิดย่อมหาความรู้ และหูของปราชญ์แสวงความรู้"
เปาโลไม่กลัวที่จะมีตัวอย่างสำหรับคริสตจักรที่ท่านตั้งขึ้น ท่านบอกคริสตจักรที่เธสะโลนิกาว่า "และท่านก็ทำตามอย่างของเรา และขององค์พระผู้เป็นเจ้า …เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อแล้ว ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา" (1 เธสะโลนิกา 1:6-7) นี่คือคำอธิษฐานของผมสำหรับคริสตจักรของคุณ ผมหวังว่าคุณจะสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และคุณก็จะเป็นตัวอย่างสำหรับคริสตจักรอื่นต่อไป
คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค วาลลีย์ไม่ได้เป็นคริสตจักรที่สมบูรณ์แบบ หากแต่เป็นคริสตจักรที่มีสุขภาพดี (เช่นเดียวกับที่ลูกของผมจะไม่มีวันดีสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีสุขภาพดี) คริสตจักรไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบจึงจะเป็นตัวอย่างได้ ถ้าความสมบูรณ์เป็นเงื่อนไขสำหรับการเป็นตัวอย่าง คุณก็อย่าหวังว่าจะได้เรียนรู้อะไรจากคริสตจักรใดเลย เพราะไม่มีคริสตจักรสมบูรณ์แบบ
ผมขอเตือนคุณว่า ถ้าคุณใช้กลยุทธ์หรือแนวความคิดจากหนังสือเล่มนี้ จะมีคนพูดแน่นนอนว่า "คุณได้สิ่งนี้มาจากคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค" คุณควรจะตอบว่า "แล้วไงเหรอครับ พวกเขาก็ได้สิ่งที่พวกเขารู้จากคริสตจักรอื่น ๆ นับร้อยแห่ง" โปรดระลึกว่า เราต่างอยู่ในทีมเดียวกัน
ผมเชื่อว่า คนที่ไม่สามารถเรียนรู้จากตัวอย่างเลยนั้นมีปัญหาเรื่องความเย่อหนิ่ง พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม" (ยากอบ 4:6) ทำไมพระเจ้าทรงทำเช่นนั้น เหตุผลหนึ่งคือ เมื่อคนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง เขารับการสอนไม่ได้ พวกเขาคิดว่าเขารู้ทุกสิ่ง ผมพบว่าเมื่อคนคิดว่าเขามีคำตอบสำหรับทุกสิ่ง นั่นมักจะแสดงว่าพวกเขาไม่รู้แม้แต่คำถาม เป้าหมายของผมคือ เรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ จากคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่หาได้ และบ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมพยายามเรียนรู้จากคำวพากษ์วิจารณ์ของคนที่ผมไม่เห็นด้วยแม้กระทั่งจากศัตรู
ประการที่ 2 คุณสามารถเรียนรู้กระบวนการ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของกระบวนการ ไม่ใช่รายการ โดยพูดถึงระบบเพื่อพัฒนาคนในคริสตจักร เพื่อทำให้วัตถุประสงค์ของคริสตจักรสมดุล เมื่อได้เฝ้าดูกลยุทธ์ของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คในการดูดซับคนซึ่งต้องทำงานหนักภายใต้การเรียนร้องมากมายของคริสตจักรที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผมมั่นใจว่ากระบวนการที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์นี้สามารถใช้ได้ในคริสตจักรอื่นซึ่งไม่เติบโตเร็วขนาดนี้ ขณะนี้เราเห็นแล้วว่า กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผู้เชื่อที่แข็งแรงและเกิดผลในคริสตจักรขนาดเล็กและขนาดกลางนับพันแห่ง มันไม่ใช่กลยุทธ์สำหรับคริสตจักรใหญ่ ๆ เท่านั้น
คนลืมไปว่า ครั้งหนึ่งคริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็เคยเป็นคริสตจักรเล็ก ๆ มันเติบโตขึ้นได้โดยใช้กระบวนการขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ มีผู้นำคริสตจักรจำนวนมากบอกผมหลังจากที่อธิบายกระบวนการนี้แก่พวกเขาว่า "ใคร ๆ ก็ทำได้นี่" ผมตอบว่า "ใช่เลย" คริสตจักรที่แข็งแรงสร้างขึ้นบนกระบวนการ ไม่ใช่บุคคล
สุดท้าย คุณสามารถเรียนรู้บางวิธีการ ไม่มีวิธีการใดที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์หรือใช้ได้ทุกแห่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันไร้ค่า เมื่อไม่นานมานี้ วิธีการต่าง ๆ ในการเพิ่มพูนคริสตจักรถูกกล่าวถึงในแง่ลบ ในบางแวดวง พวกเขาถือว่ามันไม่ใช่เรื่องฝ่ายวิญญาณแต่เป็นเนื้อหนัง เพราะว่าคนที่ร้อนรนอยากเพิ่มพูนคริสตจักรได้เน้นวิธีการมากเกินไปจนละเลยคำสอนที่ถูกต้องและงานเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางคนก็ตกขอบไปอีกด้านหนึ่งคือ พร้อมที่ปฏิเสธวิธีการทุกอย่าง
ทุกคริสตจักรใช้วิธีการบางอย่าง จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น คำถามจึงมิใช่เรื่องที่ว่าเราจะใช้วิธีการหรือไม่ ปัญหาอยู่ที่วิธีการแบบใดที่คุณใช้ และมันเป็นวิธีการที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์และได้ผลหรือไม่
วิธีการเป็นเพียงการแสดงออกของหลักการ มีหนทางมากมายที่แสดงออกถึงหลักการตามพระคัมภีร์ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หนังสือกิจการมีตัวอย่างมากมายของการที่คริสเตียนยุคแรกใช้วิธีการแตกต่างกันในสถานการณ์ที่ต่างกัน
ถ้าคุณศึกษาเกี่ยวกับคริสตจักรในเวลานี้ จะเห็นชัดว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการสารพัดวิธี และพระองค์อวยพระรพบางวิธีมากกว่า และยังเห็นได้ชัดด้วยว่า บางวิธีที่เคยได้ผลในอดีต ตอนนี้ไม่ได้ผลแล้ว จุดแข็งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคริสเตียนคือ ความสามารถในการเปลี่ยนวิธีการเมื่อเผชิญกับวัฒนธรรมและกาลเวลาใหม่ ๆ ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คริสตจักรต้องสร้าง"ถุงหนังใหม่" อย่างต่อเนื่อง พระเจ้าประทานวิธีการใหม่ ๆ ให้คริสตจักรเพื่อจะเข้าถึงคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ปัญญาจารย์ 3:6 กล่าวว่า "มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป" พระคัมภีร์ข้อนี้ใช้ได้ในเรื่องวิธีการ คริสตจักรในแต่ละยุคแต่ละสมัยต้องตัดสินใจว่าวิธีการไหนจะใช้ต่อไป และวิธีการไหนจะเลิกใช้เพราะมันใช้ไม่ได้อีกแล้ว
คุณอาจไม่ชอบบางวิธีที่ใช้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค นั่นไม่เป็นไร เพราะผมไม่คาดหวังเช่นนั้น ผมเองก็ยังไม่ชอบทุกสิ่งที่เราทำ เวลาอ่านหนังสือเล่นนี้ ขอให้คุณทำเหมือนกินปลา คือกินแต่เนื้อและคายก้างออก รับและปรับสิ่งที่คุณใช้ได้ ความสามารถที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของผู้นำ คือ รู้จักแยกแยะระหว่างสิ่งที่สำคัญและสิ่งที่ไม่สำคัญ วิธีการต้องอยู่ใต้ข่าวประเสริฐเสมอ เมื่อใดที่คุณอ่านหนังสือเรื่องสุขภาพและการเติบโตของคริสตจักร อย่าสับสนระหว่างสิ่งที่สำคัญที่สุดกับสิ่งสำคัญรองลงมา
สิ่งที่สำคัญสำหรับสุขภาพและการเติบโตของคริสตจักรคือ
๐ ใครคือนายของเรา
๐ อะไรคือเนื้อหาข่าวประเสริฐของเรา
๐ อะไรคือแรงจูงใจของเรา
สิ่งสำคัญรองลงมาสำหรับสุขภาพและการเติบโตของคริสตจักรคือ
๐ ใครคือตลาดของเรา
๐ ตัวอย่างของเราคือใคร
๐ วิธีการของเราคืออะไร
ครั้งหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คร่ำครวญว่า จุดอ่อนยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของศตวรรษที่ 20 คือ เราสับสนระหว่างวิธีการและเป้าหมายเสมอ สำหรับคริสตจักรนี่ยิ่งเป็นอันตราย เราต้องไม่หลงเสน่ห์ของวิธีการจนเราพลาดไปจากพันธกิจและลืมข่าวประเสริฐของพระเจ้า
น่าเสียดายที่หลายคริสตจักรกำลังดำเนินไปบนความเข้าใจผิดและความเชื่อผิด ๆ ซึ่งผมกล่าวไว้ในบทนี้ นี่ทำให้พวกเขาไม่สามารถจะแข็งแรงและเติบโตขึ้นอย่างเต็มศักยภาพของเราได้ คริสตจักรต้องการ ความจริงเพื่อการเติบโต กลุ่มสอนเท็จเติบโตโดยไม่ต้องใช้ความจริง แต่คริสตจักรไม่สามารถทำเช่นนั้น 1 ทิโมธี 3:15 กล่าวถึง "หลักการและรากแห่งความจริง" ในตอนต่อไปของหนังสือเล่มนี้ เราจะดูว่าจะวางรากฐานแห่งความจริงซึ่งพระเจ้าใช้สร้างคริสตจักรขึ้นได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น