เรามีความวางใจในท่านเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
ท่านกำลังประพฤติและจะประพฤติต่อไปตามที่เรากำชับท่าน
2 เธสะโลนิกา 3:4
ตอนนี้เรามาถึงส่วนที่ยากที่สุดของการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ หลายคริสตจักรได้ทำทุกสิ่งที่ผมพูดมาในบทก่อน ๆ พวกเขาได้กำหนดวัตถุประสงค์ของตน และสร้างคำที่ใช้แสดงวัตถุประสงค์ รวมทั้งพวกเขาได้สื่อสารวัตถุประสงค์ให้แก่สมาชิก บางแห่งได้จัดโครงสร้างใหม่ตามวัตถุประสงค์จะต้องก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง และประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์กับทุกส่วนของคริสตจักรอย่างเข้มงวด เช่น การจัดรายการ การจัดตารางเวลา การทำงบประมาณ การจัดสรรเจ้าหน้าที่ การเทศนา และอีกมากมาย
การรวมเอาวัตถุประสงค์ของคุณเข้าในทุกส่วนและทุกแง่มุมของคริสตจักรเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของการเป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ การกระโดดจากคำที่ใช้แสดงวัตถุประสงค์สู่การปฏิบัติที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์นั้นต้องมีผู้นำที่ทุ่มเทให้กระบวนการอย่างสุดตัว การประยุกต์วัตถุประสงค์ของคุณต้องใช้เวลาในการอธิษฐาน วางแผน เตรียมการ และลองปฏิบัติเป็นเดือน ๆ หรืออาจเป็นปี ๆ ก็ได้จงทำอย่างช้า ๆ และจดจ่อที่ความคืบหน้า ไม่ใช่ที่ความสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ของคริสตจักรคุณจะดูแตกต่างจากคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค และจากคริสตจักรอื่น ๆ ที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
มี 10 ด้านที่คุณต้องพิจารณาเมื่อคุณเริ่มต้นดัดแปลงคริสตจักรของคุณให้เป็นคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
10 วิธีในการเป็น
คริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
1. รับสมาชิกใหม่ตามวัตถุประสงค์
ให้วงกลมแห่งการอุทิศชีวิตเป็นกลยุทธ์ในการรับคนเข้าสู่คริสตจักรของคุณ เริ่มต้นโดยการนำคนในขุมชนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนให้เข้ามาเป็นฝูงชนของคุณ (เพื่อการนมัสการ) แล้วนำเขาจากฝูงชนเข้ามาเป็นสมาชิก (เพื่อการสมัคคีธรรม) ต่อจากนั้น นำเขาจากสมาชิกเข้าสู่กลุ่มผู้อุทิศตัว (เพื่อสร้างสาวก) และจากกลุ่มผู้อุทิศตัวเข้าสู่กลุ่มแกน (เพื่อรับใช้) และในที่สุด นำเขาจากกลุ่มแกนกลับเข้าไปสู่ชุมชน (เพื่อการประกาศ) กระบวนการนี้ทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรสำเร็จ
สังเกตว่า ผมแนะนำให้คุณเริ่มที่ชุมชนของคุณไม่ใช่กลุ่มแกน นี่ตรงข้ามกับคำแนะนำในหนังสือการเพิ้มพูนคริสตจักรส่วนมาก วิธีการตามธรรมเนียมในการเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ คือ การสร้างกลุ่มแกนที่อุทิศตัวให้เป็นผู้ใหญ่ก่อนแล้วจึงเริ่มเข้าไปในชุมชน
ปัญหาที่ผมพบในวิธี "จากภายในสู่ภายนอก" คือ พอถึงเวลาที่ผู้ก่อตั้งคริสตจักรได้ " สร้าง" กลุ่มแกนขึ้นมาแล้ว พวกเขามักจะสูญเสียการติดต่อกับชุมชนและที่จริงพวกเขากลัวที่จะติดต่อกับคนไม่เป็นคริสเตียน มันง่ายที่จะเกิดสิ่งที่ปีเตอร์ แวกเนอร์เรียกว่า "กลุ่มสามัคคีธรรม" กลุ่มที่ใกล้ชิดกันมากจนคนมาใหม่กลัว หรือไม่สามารถแหวกเข้าไปได้ บ่อยครั้ง กลุ่มแกนที่วางแผนตั้งคริสตจักรใหม่ใช้เวลาในช่วงที่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ นานเกินไป จนทำให้พวกเขารู้สึกสบายกับมัน และสูญเสียการตระหนักถึงภารกิจไป ดังนั้น ไฟแห่งการประกาศจึงมอดไป
ปัญหาของคริสตจักรเล็ก ๆ คือ พวกเขาเป็นกลุ่มแกนกันหมด ไม่มีกลุ่มอื่นคนหน้าเดิม 50 คนร่วมในทุกอย่างที่คริสตจักรทำ พวกเขาเป็นคริสเตียนมานานมากจนพวกเขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนให้เป็นพยานด้วยซ้ำ คริสตจักรที่ประสบปัญหานี้ต้องเรียนรู้วิธีสร้างวงกลมอีก 4 วง
เมื่อผมเริ่มต้นคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค ผมเริ่มต้นโดยการจดจ่อที่ชุมชน โดยเฉพาะคนไม่เป็นคริสเตียนในชุมชนของผม ผมพบกับคนไม่เป็นคริสเตียนนับร้อย ๆ คนใน 12 สัปดาห์ ผมไปตามบ้าน ฟังคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และสำรวจความต้องการของพวกเขา ผมสร้างสัมพันธ์และสร้างสะพานแห่งมิตรภาพกับคนไม่เป็นคริสเตียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
แล้วผมก็รวบรวมฝูงชนออกจากชุมชนโดยการเขียนจดหมายประกาศการ เริ่มต้นคริสตจักรของเรา และส่งไปยัง 15,000 ครัวเรือน ผมเขียนจดหมายโดยอาศัยสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับชุมชนจากการสำรวจของผม เราใช้การโฆษณาถี่มากในปีแรก เพราะเราไม่มีความสัมพันธ์มากพอที่จะอาศัยแค่คำบอกเล่าปากต่อปาก คริสตจักรเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ แต่ปัจจุบัน การโฆษณาไม่จำเป็นแล้ว เมื่อเรามีสมาชิกนับพัน ๆ เชิญเพื่อน ๆ มาคริสตจักรของเรา
ในปีแรกนั้น ทั้งหมดที่เราทำแทบจะอยู่ที่การพยายามสร้างฝูงชน และแนะนำพวกเขาให้รู้จักพระคริสต์ มันก็เหมือนการส่งจรวดออกจากฐานที่ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล การรวบรวมฝูงชนจากไม่มีอะไรเลยก็ต้องใช้ความพยายามอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน จุดสนใจของเรานั้นแคบมาก ผมเทศนาประกาศเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเป็นหัวข้ออย่างต่อเนื่อง เช่น "ข่าวดีสำหรับปัญหาทั่วไป" และ "แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ" ปลายปีแรกเรามีผู้ร่วมนมัสการประมาณ 200 คน และคนส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนใหม่
ในปีที่ 2 ผมเริ่มเน้นการนำผู้เชื่อในฝูงชนเข้ามาเป็นสมาชิก เราประกาศกับชุมชนต่อไปและเพิ่มขนาดของฝูงชน แต่เราเน้นหนักมากขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์ในการสามัคคีธรรมของเรา เราจดจ่อที่การเปลี่ยนคนมาร่วมนมัสการให้เป็นสมาชิก เราเริ่มต้นพูดมากขึ้นเกี่ยวกับคุณค่าของการเป็นสมาชิก ประโยชน์ของการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวคริสตจักร และความรับผิดชอบของการเป็นสมาชิก ผมเทศนาในหัวข้อเช่น "เราอยู่ที่นี่ด้วยกัน" "ทุกคนอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า" และ "ทำไมเราจึงมีคริสตจักร" ผมยังจำได้ถึงความตื่นเต้นในการเฝ้าดูพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงฝูงชนจากการเป็นผู้มานมัสการที่สนใจตัวเอง ให้เป็นสมาชิกที่มีความรัก
ปีที่ 3 เราวางแผนเพื่อยกระดับการอุทิศตัวของสมาชิก ผมท้าท้ายซ้ำแล้วซ้ำอีกให้สมาชิกถวายตัวเพื่อพระคริสต์มากขึ้น ผมสอนให้พวกเขาสร้างวินัยและอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณ ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ผมเทศนาต่อเนื่องเรื่องการอุทิศตัว ในหัวข้อ "เราเติบโตไปด้วยกัน" และเทศนาต่อเนื่องเรื่องคำสอนพื้นฐานในหัวข้อ "คำถามที่ผมอยากจะถามพระเจ้า" แน่นอน ผมสอนสิ่งเหล่านี้กับผู้เชื่อใหม่ในปีแรกและปีที่ 2 ด้วย แต่ปีที่ 3 ผมเน้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อสมาชิกมั่นคงในความเชื่อแล้ว ผมเริ่มเน้นการมีส่วนในงานรับใช้มากขึ้นเช่น เทศนาหัวข้อเรื่อง "สมาชิกทุกคนคือผู้รับใช้" และหัวข้อต่อเนื่อง "ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่คุณให้เกิดผลมากที่สุด" ผมเน้นว่าคริสเตียนที่ไม่รับใช้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง และเปิดโปงความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณคือจุดหมายในตัวของมันเอง ผมเน้นเรื่องการเป็นผู้ใหญ่เพื่อการรับใช้
แม้ว่าเรามีพันธกิจของฆราวาสตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักร แต่ตอนนี้เราเริ่มต้นรวบรวมพวกเขาให้เป็นกลุ่มแกนที่เห็นได้ชัด ผมเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยผมในการนำการประชุมอบรม หนุนใจ และดูแลบรรดาผู้นำในพันธกิจฆราวาสของเรา
คุณเห็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติไหมครับ คุณสร้างพันธกิจให้มีหลายมิติโดยการรองรับสมาชิกอย่างมีวัตถุประสงค์ และจดจ่อที่การอุทิศตัวทีละระดับอย่าคิดว่าคุณต้องทำทุกอย่างพร้อมกันหมด แม้แต่พระเยซูก็มิได้ทำทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน ให้คุณสร้างจากภายนอกมาสู่ภายใน และเมื่อคุณได้ทั้ง 5 กลุ่ม และคริสตจักรได้ดำเนินไปแล้ว คุณก็ค่อยเน้นแต่ละส่วนให้สมดุล
บางคนอาจวิจารณ์ว่า ช่วงแรกเรานำคนสู่ระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้นได้ช้าเหลือเกิน แต่คุณต้องจำไว้ว่า เราเริ่มต้นจากกลุ่มคนที่ไม่เป็นคริสเตียน และวางแผนปรัชญาการรับใช้จากศูนย์
ผมมักจะมองการสร้างคริสตจักรแซดเดิลแบ็คว่าเป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิต ความปรารถนาของผมเหมือนของเปาโลคือ เพื่อ "วางรากลงเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ" (1 โครินธ์ 3:10) มันต้องใช้เวลาที่จะทำให้คนต้องอุทิศตัว ที่จะพัฒนาคุณภาพ และที่จะนำคนผ่านแต่ละวงกลมแห่งการอุทิศชีวิต ผมสามารถบอกคุณถึงวิธีทำให้คริสตจักรสมดุลและสุขภาพดี แต่ผม ไม่สามารถ บอกคุณถึงวิธีที่จะทำอย่างรวดเร็ว
คริสตจักรที่หนักแน่นมั่นคงไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียว เมื่อพระเจ้าต้องการสร้างเห็ด พระองค์ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เมื่อพระองค์ต้องการสร้างต้นโอ๊ค พระองค์ใช้เวลา 60 ปี แล้วคุณล่ะ คุณต้องการคริสตจักรแบบเห็ด หรือต้นโอ๊ค
2. จัดรายการตามวัตถุประสงค์ของคุณ
คุณต้องเลือกหรือคิดรายการเพื่อทำให้วัตถุประสงค์แต่ละอย่างสำเร็จ พึงระลึกว่า แต่ละวงกลมของการอุทิศตัวต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของคริสตจักรถ้าคุณเลือกใช้ 5 วงกลมเป็นกลยุทธ์สำหรับการจัดรายการ คุณก็จะแยกประเภทกลุ่มเป้าหมายของคุณ (ชุมชน ฝูงชน คริสตจักร ผู้อุทิศตัว และกลุ่มแกน) และกำหนดจุดประสงค์ให้สอดคล้องกับแต่ละกลุ่ม (การประกาศ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การสร้างสาวก และการรับใช้)
คุณต้องทำให้ทุกรายการในคริสตจักรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเสมอ และกำจัดรายการใด ๆ ก็ตามที่ไม่ทำให้วัตถุประสงค์สำเร็จ และทดแทนรายการเมื่อพบรายการอื่นที่ดีกว่ารายการเดิม รายการต้องตอบสนองต่อวัตถุประสงค์เสมอ
รายการพิเศษเพื่อทอดสะพาน ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค รายการหลักที่เราใช้สร้างผลกระทบต่อชุมชน คือ รายการพิเศษประจำปีที่จัดสำหรับทั้งชุมชน เราเรียกรายการเหล่านี้ว่า "รายการพิเศษเพื่อทอดสะพาน" เพราะเราจัดขึ้นเพื่อสร้างสะพานระหว่างคริสตจักรกับชุมชนของเรา รายการเหล่านี้มักจะใหญ่มาก เพื่อจะสร้างความสนใจของทั้งชุมชน เช่น งานเลี้ยงเพื่อเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ในวันฮาโลวีน การนมัสการคืนก่อนคริสมาสสำหรับทั้งชุมชน การนมัสการวันอีสเตอร์สำหรับชุมชน และคืนก่อนวันชาติ รวมทั้งงานพิเศษตามโอกาสอื่น ๆ การแสดงดนตรี และละคร รายการทอดสะพานบางรายการจะมีการประกาศข่าวประเสริฐอย่างชัดเจน แต่บางรายการถือเป็นรายการ "ปูทางสู่การประกาศ" คือ เพียงเพื่อให้ชุมชนได้รู้จักคริสตจักรของเราเท่านั้น
การนมัสการสำหรับผู้สนใจ รายการหลักสำหรับฝูงชน คือ การนมัสการสำหรับผู้สนใจในช่วงสัปดาห์ เป็นการนมัสการที่สมาชิกของเราจะพาเพื่อนที่ยังไม่เชื่อ ซึ่งพวกเขาได้เคยเป็นพยานมาร่วม จุดประสงค์ของการนมัสการสำหรับผู้สนใจคือ เพื่อสนับสนุนการประกาศส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อทดแทนการประกาศส่วนตัว การวิจัยพบว่า คนตัดสินใจเชื่อพระคริสต์เร็วขึ้นเมื่อมีการสนับสนุนจากกลุ่ม
รายการหลักสำหรับสมาชิก คือ เครือข่ายกลุ่มย่อยของเรา ประโยชน์ของกลุ่มย่อย คือ การสามัคคีธรรม การดูแลเอาใจใส่ส่วนตัว และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักร เราบอกสมาชิกว่า "คุณจะไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรนี้จนกว่าคุณจะเข้าร่วมกลุ่มย่อย"
สถาบันพัฒนาชีวิต รายการหลักสำหรับผู้อุทิศตัว คือ สถาบันพัฒนาชีวิต สถาบันพัฒนาชีวิตเปิดโอกาสมากมายเพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ได้แก่ การศึกษาพระคัมภีร์ การสัมมนา การเรียนเชิงปฏิบัติ โอกาสที่จะมีพี่เลี้ยง และรายการศึกษาอิสระ ผู้เรียนจะได้รับหน่อยกิตสำหรับวิชาที่เรียน และในที่สุดจะได้รับประกาศนียบัตร การนมัสการกลางสัปดาห์ของเราก็เป็นส่วนสำคัญของสถาบันพัฒนาชีวิต
การประชุมฝึกฝนผู้นำระดับสูง (SALT) รายการหลักสำหรับกลุ่มแกน คือ การประชุมประจำเดือนเพื่อฝึกฝนผู้นำระดับสูง การประชุม 2 ชั่วโมงนี้จัดขึ้นในค่ำวันอาทิตย์แรกของเดือน มีการรายงานและคำพยานจากพันธกิจของสมาชิกทั้งหมดมีการถ่ายทอดนิมิตจากศิษยาภิบาล มีการเสริมสร้างทักษะ การฝึกฝนผู้นำ การอธิษฐาน และการแต่งตั้งผู้รับใช้ฆราวาสคนใหม่ ในฐานะศิษยาภิบาล ผมถือว่าการประชุมประจำเดือนกับกลุ่มแกนผู้รับใช้ฆราวาสเป็นการประชุมที่สำคัญมากที่สุดที่ผมต้องเตรียมและนำ มันเป็นโอกาสล้ำค่าในการสั่งสอน เร้าใจ และแสดงความขอบคุณคนที่ทำให้คริสตจักรแซดเดิลแบ็คดำเนินไป
สิ่งที่ต้องจำไว้เกี่ยวกับการจัดรายการ คือไม่มีรายการใดที่จะสามารถทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดสำเร็จได้ในรายการเดียว ไม่ว่ารายการนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงไร หรือได้ผลดีเพียงไรในอดีต เช่นเดียวกัน ไม่มีรายการใดที่สามารถรับใช้คนทุกกลุ่มที่อยู่ในวงกลมแต่ละวงได้ คุณต้องอาศัยรายการหลายประเภทเพื่อจะรับใช้คนทั้ง 5 ระดับและทำให้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรสำเร็จได้
3. ให้การศึกษาเรื่องวัตถุประสงค์แก่คนของคุณ
หลักสูตรคริสเตียนศึกษาของคริสตจักรแซดเดิลแบ็คก็ต้องเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เป้าหมายของเราคือช่วยพัฒนาคนให้มีวิถีชีวิตแห่งการประกาศ นมัสการ สามัคคีธรรม สร้างสาวก และรับใช้ เราต้องการสร้างผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่แค่ผู้ฟัง เราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ คำขวัญหนึ่งของเราคือ "คุณเชื่อเฉพาะพระคัมภีร์ตอนที่คุณทำตาม"
การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เราต้องสร้างกระบวนการสร้างสาวกหรือการศึกษาที่ส่งเสริมให้สมาชิกทำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และให้รางวัลพวกเขาเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คเราเรียกสิ่งนี้ว่า "กระบวนการพัฒนาชีวิต"
เราใช้ภาพง่าย ๆ ของสนามเบสบอลเพื่อให้เห็นภาพกระบวนการให้การศึกษาและการรองรับสมาชิกของเรา แต่ละฐานแสดงถึงชั้นเรียนที่สมาชิกได้ผ่าน และระดับการอุทิศตัวที่สูงขึ้น
คุณมาถึงฐานแรกเมื่อคุณเรียนจบชั้น 101 และอุทิศตัวให้พันธสัญญาสมาชิกคุณมาถึงฐานที่ 2 เมื่อเรียนจบชั้น 201 และการอุทิศตัวให้พันธสัญญาการเติบโตฝ่ายวิญญาณ คุณมาถึงฐานที่ 3 เมื่อเรียนจบชั้น 301 และอุทิศตัวเพื่อรับใช้ในพันธกิจของคริสตจักร และในที่สุดคุณกลับมาที่ฐานเริ่มต้นเมื่อเรียนจบ 401 และอุทิศตัวเพื่อการประกาศทั้งที่บ้านและต่างแดน ผมจะอธิบายขั้นตอนเหล่านี้อย่างละเอียดภายหลัง
เช่นเดียวกับกีฬาเบสบอล ต้องวิ่งมาถึงฐานเริ่มต้นจึงจะได้คะแนน เราบอกสมาชิกของเราว่า เป้าหมายของเราคือให้พวกเขาเป็น "สาวกที่พิชิตรางวัลใหญ่" เราต้องการให้พวกเขาเรียนจบใน 16 ชั่วโมงของการฝึกอบรมพื้นฐาน รวมทั้งอุทิศตัวให้พันธสัญญาที่อยู่ในแต่ละฐาน ในแต่ละฐานเรามีพันธสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเราคาดหวังว่าสมาชิกจะลงนามและสัญญาที่จะเดินหน้าต่อไป สมาชิกจะไม่สามารถไปสู่ฐานถัดไปจนกว่าเขาจะได้อุทิศตัวตามข้อกำหนดของพันธสัญญาในแต่ละฐาน
คริสตจักรส่วนใหญ่ทำได้ค่อนข้างดีในการนำคนมาถึงฐานที่ 1 หรืออาจถึงฐานที่ 2 ด้วย คนจะต้อนรับพระคริสต์ รับบัพติศมา และเข้าร่วมคริสตจักร (นั่นคือได้เขามาอยู่ที่ฐานที่ 1) บางคริสตจักรยังทำได้ดีในการช่วยผู้เชื่อพัฒนาอุปนิสัยที่นำไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (นั่นคือฐานที่ 2) แต่มีคริสตจักรไม่กี่แห่งที่มีแผนการเพื่อทำให้แน่ใจได้ว่า ผู้เชื่อทุกคนจะพบพันธกิจที่เหมาะสม (ฐานที่ 3) และมีคริสตจักรน้อยกว่านั้นอีกที่ฝึกฝนสมาชิกให้นำคนอื่นมาถึงพระคริสต์ และทำให้ภารกิจชีวิตของเขาสำเร็จ (ฐานเริ่มต้น)
เป้าหมายสูงสุดของคริสตจักรแซดเดิลแบ็ค คือ เปลี่ยนผู้ฟังให้เป็นกองทัพ คุณไม่อาจประเมินกำลังของกองทัพด้วยจำนวนทหารที่นั่งอยู่ในโรงอาหาร แต่ต้องดูที่การปฏิบัติงานในแนวหน้าของพวกเขา เช่นเดียวกัน กำลังของคริสตจักรไม่ได้วัดกันด้วยจำนวนผู้มานมัสการ (ฝูงชน) แต่วัดกันด้วยจำนวนคนที่รับใช้อยู่ในกลุ่มแกน
ในต้นทศวรรษ 1980 ผมเคยพูดตลกว่า เป้าหมายของผม คือ เปลี่ยนพวกยัปปี้ (หมุ่นสาวที่ทำงานบริษัท) ให้เป็นพวกยัมมี่ (คนหนุ่มสาวที่เป็นมิชชันนารี) ผมได้กล่าวแล้วว่า ผมเชื่อว่าคริสตจักรคือสถานีส่งออกมิชชันนารี เราจะทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราได้นำสมาชิกวนครบทุกฐานจนกลับมาสู่ฐานเริ่มต้น
4. เริ่มต้นกลุ่มย่อยตามวัตถุประสงค์
เราไม่คาดหวังว่าทุกกลุ่มย่อยจะทำงานเหมือนกันหมด แต่เราปล่อยให้พวกเขาเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง
กลุ่มผู้สนใจ กลุ่มผู้สนใจของเราจัดขึ้นเพื่อการประกาศโดยเฉพาะ กลุ่มเหล่านี้จะมีบรรยากาศที่ไม่น่ากลัว เพื่อให้ผู้ไม่เชื่อได้ถามคำถาม แสดงความสงสัย และตรวจสอบคำกล่าวอ้างของพระคริสต์
กลุ่มสนับสนุน เรามีกลุ่มสนับสนุนเพื่อการดูแล สามัคคีธรรม และนมัสการ กลุ่มสนับสนุนของเราส่วนมากทำหน้าที่ให้การสนับสนุนและการสามัคคีธรรมสำหรับคนในช่วงอายุต่าง ๆ เช่น คนที่พึ่งเป็นพ่อแม่ นักศึกษา หรือพ่อแม่ที่ลูกไม่อยู่ด้วยแล้ว บางกลุ่มก็ช่วยบำบัดบาดแผลบางชนิดโดยเฉพาะ เช่น การสูญเสียคู่ครองเพราะความตาย หรือการหย่าร้าง เรายังมีกลุ่มพื้นฟูสภาพชีวิตด้วย
กลุ่มรับใช้ กลุ่มเหล่านี้จัดขึ้นตามการรับใช้เฉพาะ อย่างเช่น สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราในเม็กซิโก พันธกิจเรือนจำ และพันธกิจช่วยคนฟื้นตัวจากการหย่าร้าง กลุ่มเช่นนี้สร้างการสามัคคีธรรมผ่านงาน โครงการ หรือพันธกิจที่ร่วมกันทำ
กลุ่มเติบโต กลุ่มเติบโตของเราทุ่มเทเพื่อทำให้สมาชิกเติบโต เพื่อการฝึกฝนสาวก และศึกษาพระคัมภีร์เจาะลึก เรามีมากกว่า 50 วิชาให้เลือก และบางกลุ่มก็ศึกษาคำเทศนาในสัปดาห์ก่อนให้ลึกยิ่งขึ้น
แทนที่จะบังคับให้ทุกคนยอมรับสิ่งเดียวกันหมด เราอนุญาตให้สมาชิกเลือกชนิดของกลุ่มย่อยที่เหมาะสมกับความต้องการ ความสนใจ วัย หรือระดับการเติบโตของพวกเขามากที่สุด เราไม่คาดหวังว่า แต่ละกลุ่มย่อยต้องทำให้วัตถุประสงค์ทุกอย่างของคริสตจักรสำเร็จ แต่เรากำหนดว่าแต่ละกลุ่มต้องตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์อย่างน้อยหนึ่งอย่าง
5. เพิ่มเจ้าหน้าที่ตามวัตถุประสงค์
แต่ละคนที่เราจ้างเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่คริสตจักร (รวมทั้งผู้รับใช้ด้วย) จะได้รับรายละเอียดของงานซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ในระหว่างการสัมภาษณ์ เราใช้คำถามมาตรฐานเพื่อจะทราบว่าผู้สมัครมีภาระใจกับวัตถุประสงค์ใดมากที่สุด แล้วก็บรรจุเขาตามนั้น เราไม่ได้มองเพียงแค่ชีวิตและความสามารถ เรามองหาภาระใจที่เขามีต่อวัตถุประสงค์หนึ่งของคริสตจักร คนที่มีภาระใจแรงกล้าในสิ่งที่เขาทำย่อมมีแรงจูงใจในตัวเอง
ถ้าวันนี้ผมจะเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ ผมจะเริ่มโดยการหาอาสาสมัคร 5 คนสำหรับ 5 ตำแหน่งที่ไม่มีเงินเดือน ผู้นำเพลงเพื่อช่วยในการนมัสการสำหรับฝูงชน ผู้นำสมาชิกเพื่อสอนชั้น 101 และดูแลสมาชิกในคริสตจักร ผู้นำด้านความเป็นผู้ใหญ่เพื่อสอนชั้น 201 และดูแลรายการศึกษาพระคัมภีร์สำหรับผู้อุทิศตัว ผู้นำการรับใช้สำหรับชั้น 301 สัมภาษณ์คนเพื่อวางตัวในการรับใช้ และดูแลพันธกิจฆราวาสของกลุ่มแกน และผู้นำภารกิจเพื่อสอนชั้น 401 ดูแลการประกาศ และโครงการประกาศในชุมชน เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้น ผมจะย้ายคนเหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ได้รับเงินเดือนครึ่งเวลา และในที่สุดเต็มเวลา โดยแผนการนี้ คุณจะสามารถเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ได้ไม่ว่าคริสตจักรคุณจะมีขนาดใดก็ตาม
6. วางโครงสร้างตามวัตถุประสงค์
แทนที่จะวางโครงสร้างเป็นแผนก ๆ ตามที่เคยทำกันมา ให้คุณวางโครงสร้างเป็นทีมซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค พันธกิจฆราวาสทุกอย่างและเจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์อย่างน้อย 1 อย่าง แต่ละทีมนำโดยศิษยาภิบาลหนึ่งคน ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ประสานงานอีกคนหนึ่ง และประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ที่รับเงินเดือน และผู้รับใช้ฆราวาสอาสาสมัคร พวกเขาช่วยกันนำรายการ พันธกิจและรายการพิเศษเพื่อทำให้วัตถุประสงค์ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ
ทีมประกาศ ทีมประกาศได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการประกาศกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือชุมชน งานของพวกเขาคือวางแผน ส่งเสริม และดูแลรายการสร้างความสัมพันธ์ กลุ่มผู้สนใจ การอบรมประกาศ (รวมทั้งชั้นเรียน 401) กิจกรรมและรายการต่าง ๆ และโครงการประกาศ พวกเขาต้องจัดการทุกอย่างที่จำเป็นในการนำชุมชนและโลกนี้มาหาพระคริสต์
คริสตจักรทำธุรกิจส่งออก เป้าหมายของเราคือในที่สุด 25% ของสมาชิกจะทำโครงการประกาศบางอย่างเป็นประจำทุกปี ผมชอบดูจำนวนคนมาร่วมนมัสการลดลงทุกฤดูร้อน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไปเที่ยว แต่เพราะพวกเขาออกไปประกาศ เป้าหมายอีกอย่าง คือ ส่งมิชชันนารีเลี้ยงตนเอง 200 คนภายใน 20 ปีข้างหน้า ปีที่ผ่านมาเราส่งสมาชิกผู้ใหญ่ออกไปทำโครงการประกาศใน 5 ทวีป ส่งอนุชนของเราไช่วยพันธกิจที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเราในเม็กซิโก และกับคนยากจนในเมืองลอสแองเจลิส
ทีมดนตรี ทีมนี้ได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการนมัสการ กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือฝูงชน งานของพวกเขาคือการวางแผนและดูแลการนมัสการสำหรับผู้สนใจ รายการนมัสการพิเศษ จัดเตรียมสิ่งจำเป็นด้านดนตรีและการนมัสการสำหรับคนอื่น ๆ ในคริสตจักร
ทีมดูแลสมาชิก ทีมนี้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการสามัคคีธรรม กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือสมาชิก งานของเขาคือดูแลฝูงแกะ พวกเขารับผิดชอบชั้นเรียนสำหรับสมาชิกใหม่ (ชั้น 101) พวกเขาดูแลกลุ่มสนับสนุน งานแต่งงาน งานศพ การอภิบาลศิษย์ การเยี่ยมตามโรงพยาบาล และงานให้ความช่วยเหลือภายในคริสตจักร พวกเขาดำเนินงานศูนย์ให้คำปรึกษาด้วย และทีมนี้รับผิดชอบรายการสามัคคีธรรมใหญ่ ๆ ทุกครั้งของคริสตจักรด้วย
ทีมพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ใหญ่ ทีมนี้ได้รับมอบหมายวัตถุประสงค์ของการสร้างสาวก กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาคือผู้ที่อุทิศตัว เป้าหมายคือนำสมาชิกของเราให้อุทิศตัวมากขึ้นและช่วยพวกเขาให้พัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ทีมนี้ดำเนินการชั้น 201 และรับผิดชอบสถาบันพัฒนาชีวิต การนมัสการกลางสัปดาห์ การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมด กลุ่มเติบโตตามบ้าน และการรณรงค์พิเศษเพื่อการเติบโตในฝ่ายวิญญาณสำหรับทั้งคริสตจักร พวกเขายังผลิตคู่มือการนมัสการในครอบครัว หลักสูตรศึกษาพระคัมภีร์ และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อเติบโต
ทีมพันธกิจ ทีมนี้ได้รับมอบหมายให้ทำวัตถุประสงค์ของการรับใช้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มแกน งานของพวกเขาคือเปลี่ยนสมาชิกให้เป็นผู้รับใช้ โดยการช่วยสมาชิกให้ค้นพบงานรับใช้ที่พวกเขาสนใจ และนำพวกเขาให้รู้จักพันธกิจที่มีอยู่แล้วหรือพันธกิจใหม่ ทีมนี้ดำเนินงานศูนย์พัฒนาพันธกิจ และรับผิดชอบทีมรับใช้ทั้งหมดรวมทั้งชั้นเรียน 301 และการประชุมฝึกฝนการเป็นผู้นำระดับสูง (SALT) พวกเขายังช่วยเหลือ อบรม และดูแลผู้รับใช้ฆราวาสในคริสตจักรด้วย เป้าหมายของทีมนี้คือช่วยสมาชิกทุกคนให้พบงานรับใช้ที่มีความหมาย ซึ่งเขาสามารถใช้ของประทานและความสามารถของตน
7. เทศนาตามวัตถุประสงค์
เพื่อจะมีผู้เชื่อที่สุขภาพแข็งแรงและสมดุล คุณต้องวางแผนการเทศนาที่ต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการ ถ้าคุณเทศนา 4 ครั้งสำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ ก็จะใช้เวลาเพียง 20 สัปดาห์ คุณยังเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งปีเพื่อเทศนาหัวข้ออื่น ๆ
การวางแผนเทศนาตามวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสอนแต่เรื่องเกี่ยวกับคริสตจักร จงทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้เป็นของสมาชิกทุกคน จงพูดถึงวัตถุประสงค์เหล่านี้ในฐานะที่เป็นวัตถุประสงค์สำหรับคริสเตียนทุกคน ยกตัวอย่างเช่น ผมได้ตั้งชื่อคำเทศนาเรื่องวัตถุประสงค์ในลักษณะที่เป็นส่วนตัวว่า "พระเจ้าสร้างคุณเพื่อสิ่งที่มีความหมาย" เป็นคำเทศนาต่อเนื่องเพื่อระดมสมาชิกให้นำผู้เชื่อผ่าไป เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ "ฝึกฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า" เป็นคำเทศนาจากหนังสือปัญญาจารย์เพื่อเตรียมสมาชิกสำหรับการประกาศ "สร้างสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม" เป็นคำเทศนาต่อเนื่อง 1 โครินธ์ 13 เพื่อสร้างการสามัคคีธรรมในคริสตจักรให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อคุณใช้วัตถุประสงค์ทั้ง 5 ของคริสตจักรเป็นแนวทางในการวางแผนตารางเทศนาของคุณ คุณก็กำลังเทศนาอย่างมีวัตถุประสงค์
8. จัดทำงบประมานตามวัตถุประสงค์
เราจัดงบประมาณเป็นหมวดหมู่ตามวัตถประสงค์ของคริสตจักร ดูว่าสิ่งนั้น ส่งเสริมหรือเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ใด วิธีที่เร็วที่สุดในการค้นหาว่าคริสตจักรให้ความสำคัญกับสิ่งใด คือ ดูที่งบประมาณและปฏิทินคริสตจักร วิธีที่เราใช้เวลาและเงินทองแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดสำคัญจริง ๆ สำหรับเรา ถ้าหากคริสตจักรคุณอ้างว่า การประกาศสำคัญ คุณก็ต้องสามารถยืนยันคำพูดโดยดูจากงบประมาณของคุณได้ ไม่เช่นนั้น คุณก็เพียงแค่พูดเฉย ๆ
9. ทำปฏิทินตามวัตถุประสงค์
กำหนด 2 เดือนของทุก ๆ ปีเพื่อเน้นวัตถประสงค์แต่ละข้อเป็นพิเศษ แล้วมอบหมายให้ทีมที่รับผิดชอบวัตถุประสงค์นั้น ๆ (ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร) ทำการเน้นวัตถุประสงค์นั้นสำหรับทั้งคริสตจักรในช่วงเดือนเหล่านั้น
ยกตัวอย่าง มกราคมและมิถุนายนอาจเป็นเดือนแห่งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตลอดเดือนที่เน้นการเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้น คุณอาจอ่านพันธสัญญาใหม่ให้จบด้วยกันทั้งคริสตจักร หรือท่องข้อพระคัมภีร์ด้วยทุกสัปดาห์ หรือจัดสัมมนาพระคัมภีร์หรือศึกษาพระคัมภีร์กันทั้งคริสตจักร
กุมภาพันธ์และกรกฎาคมอาจเน้นการทำพันธกิจ ตลอดสองเดือนนี้ คุณก็สามารถจัดงานพันธกิจเพื่อชักชวนคนให้ทำพันธกิจ ศิษยาภิบาลสามารถเทศต่อเนื่องเรื่องการรับใช้ และสนับสนุนให้สมาชิกร่วมกุ่มรับใช้
มีนาคมและสิงหาคมอาจจะเป็นเดือนภารกิจ โดยมีกิจกรรม เช่น อบรมการประกาศส่วนตัว สัมมนาภารกิจคริสเตียน และโครงการทำภารกิจพิเศษ
เมษายนและกันยายนอาจเป็นเดือนแห้งสมาชิกภาพ สองเดือนนี้เป็นเดือนที่เน้นการเชิญชวนให้ผู้ร่วมนมัสการเข้าเป็นสมาชิกใหม่ และคุณสามารถจัดการสามัคคีธรรมสำหรับทั้งคริสตจักร เช่น ปิคนิค การแสดงดนตรี และงานฉลอง
พฤษภาคมและตุลาคมอาจเป็นเดือนแห่งดนตรี สองเดือนนี้เน้นการนมัสการส่วนตัวและการนมัสการร่วมกัน ถ้าคุณให้ 2 เดือนสำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ คุณจะเหลืออีก 2 เดือนว่างไว้ ตามตัวอย่างนี้คือพฤศจิกายนและธันวาคม ซึ่งคุณมักจะต้องยุ่งอยู่กับวันขอบคุณพระเจ้า (เดือนพฤศจิกายน) และวันคริสต์มาส
อย่าหลอกตัวเอง ถ้าคุณไม่จัดเวลาในปฏิทินสำหรับวัตถุประสงค์ของคุณ คุณก็จะไม่ได้เน้นวัตถุประสงค์เหล่านี้เลย
10. ประเมินผลตามวัตถุประสงค์
การจะเป็นคริสตจักรที่มีประสิทธิภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณต้องประเมินผลในสิ่งที่คุณทำเสมอ การทบทวนและปรับเปลี่ยนต้องเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของคุณ ประเมินผลเพื่อความเป็นเลิศในคริสตจักรเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ของคุณคือมาตรฐานที่คุณใช้ประเมินประสิทธิภาพ
การมีวัตถุประสงค์โดยไม่มีวิธีประเมินผล ก็เหมือนกับองค์การนาซ่าวางแผนยิงจรวดไปดวงจันทร์โดยไม่มีระบบการติดตาม ถ้าทำอย่างนั้น คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรกลางคัน และคงไม่สามารถมุ่งไปสู่เป้าได้ ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราสร้างเครื่องมือในการติดตามที่เรียกว่า "ภาพถ่ายแซดเดิลแบ็ค" ทีมศิษยาภิบาลของเราทบทวนทุกเดือน "ภาพถ่าย" เป็นการบรรยายภาพรวมของกระบวนการพัฒนาสาวก มีความยาว 6 หน้า มันบอกว่าใครกำลังอยู่ที่ไหนในกระบวนการพัฒนาชีวิต (สนามเบสบอล) "ภาพถ่าย" ยังแสดงว่าเวลานี้มีกี่คนอยู่ในแต่ละวงกลมแห่งการอุทิศชีวิต รวมทั้งวัดตัวบ่งชี้สำคัญ ๆ ที่บอกถึงสุภาพคริสตจักรด้วย
"ภาพถ่าย" บังคับให้เรามองตรงไปตรงมาทุกเดือนว่า เราทำให้วัตถุประสงค์สำเร็จได้มากน้อยเพียงใด และทำให้สามารถเห็นคอขวดในระบบได้ง่าย ยกตัวอย่าง ถ้าจำนวนผู้มานมัสการเพิ่มขึ้น 35% ใน 1 ปี แต่สมาชิกและกลุ่มย่อยมีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเพียง 20% เราก็รู้ว่าเราต้องแก้ไขช่องว่างบางอย่างในกระบวนการ สถิติเช่นนี้ช่วยเราประเมินผลขั้นตอนการรองรับสมาชิกใหม่ และกำหนดว่าจำเป็นต้องเน้นเรื่องใด ตามที่ผมได้กล่าวในก่อนหน้านี้ คือ เราต้องถามเสมอว่า "ธุรกิจของเราคืออะไร" และ "ตอนนี้ธุรกิจเป็นอย่างไร"
แข็งแรงยิ่งขึ้น
เมื่อคุณพยายามประยุกต์วัตถุประสงค์ของคุณเข้ากับทุกส่วนของคริสตจักรคุณจะสังเกตเห็นว่า คริสตจักรแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะมองดูที่รายการใหม่ ๆ ในแต่ละปีเพื่อทำให้สมาชิกตื่นเต้นและได้รับแรงกระตุ้น คุณจะสามรถจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คุณจะสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดแต่ละครั้ง และสร้างคริสตจักรต่อไปบนความสำเร็จที่ได้รับ ถ้าคริสตจักรคุณนำโดยวัตถุประสงค์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง คุณก็จะสามารถทำให้วัตถุประสงค์เหล่านี้สำเร็จได้มากและดีขึ้นในแต่ละปี พลังที่ผลักดันจะช่วยส่งเสริมคุณ ยิ่งสมาชิกของคุณเข้าใจและอุทิศตัวเพื่อวัตถุประสงค์ของคุณมากเท่าใด คริสตจักรของคุณยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น